1. นักวิจารณ์สับกันมัน สับกันเละ
หนังสือนวนิยายของนายกบินทร์ โศกนาฏกรรมวงการวรรณกรรมไทย ทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างเลวร้าย
นักอนุรักษ์ธรรมชาตินับพันชีวิต ยืนไว้อาลัย ชีวิตต้นไม้หลายล้านต้น สละมาเพื่อพิมพ์ขยะวรรณกรรมเรื่องนี้
นักอ่าน นักวิจารณ์ นักอนุรักษ์ธรรมชาติ ดักปาขี้ปาไข่หน้าบ้าน ผลัดเวรกันยี่สิบสี่ชั่วโมง
กบินทร์ออกจากบ้านไม่ได้ ต้องจ้างเด็กอ่านหนังสือไม่ออกคนหนึ่ง ไปซื้อข้าวมาส่งทางหลังบ้าน
ชื่อเสียงนักเขียนนั้นสำคัญ ถูกตราหน้าว่าเละขนาดนี้ ไม่ต้องหมอเละฟันทวนก็ฟันธงได้ ชีวิตนักเขียนของกบินทร์ดับแล้ว จบจริงๆ
แต่หารู้ไม่ ใจเขายังไม่จบ ไฟยังไม่ดับ บ้านมืดสนิท เงียบสงัด แต่โป๊ะไฟเล็กๆเปิดอยู่ตลอด ปิดวันละสี่ชั่วโมงตอนนอน
กบินทร์เป็นคนไม่ยอมใคร เขาจะต้องกลับมาดัง ทุกคนที่อ่านหนังสือออกจะต้องลืมว่าเคยด่าเขา คลั่งไคล้เขาชนิดยอมให้นั่งตักเขียนหนังสือ
เวลาที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน ความเกลียดชังที่โลกภายนอกมีต่อเขา ถูกเอามาใช้เป็นวัตถุดิบ ผลิดตวรรณกรรมเอกชิ้นใหม่
แล้วจะได้เห็นกัน
2. ถล่มทลาย เหยียบกันตายหน้าโรงพิมพ์
ในความเห็นนักวิจารณ์ นวนิยายของกบินทร์ หม่นหมอง หดหู่ อ่านแล้วเหมือนโลกพร้อมถล่มลงมาทับ รสชาติแปลกใหม่
ยอดขายประเมินไม่ได้ มาแรงแซงนิยายชวนฝัน รักหวานแหวว ทุกเรื่องในตลาด
มีข่าว ปล้นโรงพิมพ์สามแห่งในสองวัน นวนิยายของกบินทร์ถูกกวาดเกลี้ยง นำไปขายโก่งราคาในตลาดมืด
นักอ่านคลั่งไคล้ ผลัดเวรกันมายืนกรี๊ดหน้าบ้านกบินทร์ ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ออกบ้านไม่ได้
เด็กอ่านหนังสือไม่ออก โตแล้ว กลายเป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์ พากบินทร์ไปคฤหาสน์ สร้างเสร็จใหม่ ห่างไกลคน
กบินทร์จรดปากกา พยายามเขียนนวนิยานเรื่องใหม่
แต่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ไม่คาดคิด ก่อตัวเป็นความกดดัน กบินทร์ไม่กล้าเสี่ยงกับชื่อเสียงตน
แม้แต่ตัวจะเขียนอักษรตัวเดียว ยังไม่กล้า
ชีวิตนักเขียนของกบินทร์ จบแล้วจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น