วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

โลกต่างใบในโลกใบเดียวกัน






นายตำรวจเล็งปืน...เหนี่ยวไก
ผู้ร้ายล้มลงต่อหน้าฝูงชน
ฝูงชนโห่ร้องสรรเสริญ

พ่อหนูแค่ถือปืนเข้าธนาคาร
เพื่อหาเงินมาซื้อของเล่นให้หนู
ทำไมต้องฆ่าพ่อหนูด้วย 



ชายหนุ่มแตะเนื้อต้องตัวหญิงสาว
โน้มหน้าเข้าไปกระซิบข้างๆหู
สุภาพบุรุษพากันหยามประนาม

ฉันว่าเขาไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป
เขาไม่ซ่อนความต้องการใต้หน้ากาก
เขาทำให้ฉันตื่นเต้น



เขาทำเพื่อคนรักได้ทุกอย่าง
เอาใจ ตามใจ และยอมตายแทนได้
เขาคือชายที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝัน
 
ฉันเบื่อ  ฉันไม่ได้ต้องการ
อยากบอกว่าฉันดูแลตัวเองได้
ฉันต้องการคนรัก ไม่ใช่ข้าราชบริพาร




คุณครูตักเตือนนักเรียนแต่งตัวไม่เรียบร้อย
ต่อหน้าเพื่อนๆและเหล่าผู้ปกครอง
เหล่าผู้ปกครองผงกศีรษะเห็นชอบ

ผมนับถือเพื่อนคนนี้
เขาไม่ยอมตกเป็นทาสกรอบสังคม
เขากล้าพอจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ



พ่อแม่ว่ากล่าวเคี่ยวเข็ญลูก
กันลูกออกจากอบายมุขทั้งปวง
เพื่อบั้นปลายที่ดีของลูกในอนาคต

พ่อแม่ปิดกั้นผม
ให้ผมมีชีวิตแบบที่พวกท่านต้องการ
ไม่ให้ผมมีชีวิตของตัวเองเลย



ชายคนนี้แลดูช่างน่าเบื่อ
วันๆก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือ
ชีวิตของเขาดูไม่มีอะไรเลย

ผมอ่านงานเขียนตัวเองอย่างตื่นตะลึง
เพียงตัวอักษรกับสระสลับกันไปมา
ก็พาพร้อมจะพาผมไปยังโลกที่ผมใฝ่ฝัน....และผมจะพาทุกคนไปด้วยกัน

เสียงของหัวใจ ... ที่เหือดหายไปกับการผูกมัด



“หัวใจเต้นแรง หน้าแดงทุกที  ใช่เธอหรือนี่  ที่คอยตลอดมา...” หัวใจมันเต้นเป็นเพลงชวนเขิน  เมื่อได้เห็นเธอแวบแรก  ผู้หญิงที่ไม่ได้สวยขนาดนางสาวไทย  แต่โดนใจมากมายอย่างอธิบายไม่ถูก  เขาใช้เวลารวบรวมความกล้าอยู่นานจนในที่สุดก็บังคับตัวเองให้เดินเข้าไปหาเธอได้   เมื่ออยู่ต่อหน้า  ต่างฝ่ายต่างหัวใจเต้นแรงจนพูดไม่เป็นประโยค   แต่ต่างก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร   แรกๆก็ดูขัดเขิน  พอรู้จักกันมากขึ้น ความตื่นเต้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความวาบหวาม   ไปกินข้าวด้วยกันบ้าง  ไปดูหนังด้วยกันก็บ่อย  เขาลองใช้มือลูบผมเธอ เธอตอบสนองด้วยการหัวเราะคิกคัก  ในโรงหนังตาของทั้งสองจับจ้องไปยังจอภาพยนตร์  เขาค่อยๆเอื้อมมือไปกุมมือของเธอ เธอก็บีบมือเขาตอบ   เมื่อมีโอกาสได้ไปเที่ยวชายทะเล ทั้งคู่เล่นวิ่งไล่จับกันบนหาดทราย  เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้ว ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่ต่างจากวัยเด็กที่เล่นได้ทั้งวัน  เขาวิ่งตามเธอทัน คว้าตัวเธอมากอดในอ้อมอกแล้วล้มตัวลงบนหาดทรายขาวใต้ต้นมะพร้าว  เธอนอนซบอกเขา  เขาเกลี่ยใบไรผมบนใบหน้าของเธอออก  มองจ้องดวงตาที่ดูหวานหยาดเยิ้มของเธอ แล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ฉันสัญญา ฉันจะรักเธอคนเดียวตลอดไป” เธอก็ตอบเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่แพ้กันว่า “ฉันก็สัญญาด้วยหัวใจของลูกผู้หญิง ว่าชีวิตนี้จะมีแต่เธอคนเดียวตลอดไป”   เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้  เธอเองก็พริ้มตาลง   จากนั้นทุกสิ่งก็เป็นไปตามธรรมชาติ ระลอกคลื่นเกยหาดเป็นระยะตามอารมณ์ของท้องทะเล  เขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดสวยงามยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว  โลกสีชมพูที่มีเพียงแต่เราสองคน  เธอเองก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากเขา

  เขาและเธอโหยหากันแทบจะทุกวินาที จึงตัดสินใจลองเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกัน เขาถนอมน้ำใจเธอ เธอก็ให้เกียรติเขา  แต่สิ่งหนึ่งที่กวนใจเขาก็คือบ่อยครั้งเธอมักจะชอบหลบไปคุยโทรศัพท์คนเดียว  ท่าทีเวลารับโทรศัพท์แต่ละครั้งของเธอดูตื่นเต้นกระตือรือร้น บางครั้งที่เธอไม่ว่าง ทิ้งโทรศัพท์ไว้เขาก็เห็นชื่อคนที่โทรมาเป็นชื่อผู้ชาย แรกๆเขาสลัดความคิดรกสมองออกจากหัว  แต่ยิ่งนานวันความระแวงสงสัยก็ยิ่งพอกพูนจึงเลียบเคียงถามไป   เธอตอบว่าคุยกันเหมือนพี่ชาย   เขาก็เชื่อแต่ก็อดสงสัยไม่ได้  วันหนึ่งจึงแอบเช็คโทรศัพท์ของเธอ  ข้อความหวานๆระหว่างเธอกับเค้าคนนั้นปรากฏต่อหน้าสายตา  เขาโกรธและเจ็บจี๊ดที่หัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาในชีวิต  เขาเอาเรื่องนี้ไปโวยวายกับเธอ  เธอปฏิเสธและโกรธที่เขาถือวิสาสะละเมิดความเป็นส่วนตัวของเธอ  หลังจากวันนั้นเขาก็แอบเช็คโทรศัพท์เธอทุกวัน  แต่ละวันที่เธอกลับมาเขาก็จะถามตลอดว่าวันนี้ไปที่ไหนกับใครบ้าง   แต่เขาก็ยังกลัวเธอจะโกหกอยู่ดี   ท่าทีของเธอดูเย็นชาขึ้นผิดจากเมื่อก่อน  เขาพยายามโทรเช็คทุกชั่วโมง  เธอเริ่มรับสายเขาน้อยลง  บางวันก็ไปค้างที่บ้านเพื่อน  เมื่อได้เจอหน้ากันก็มักจะมีแต่คำถามที่ว่า “ทำไมพักนี้เธอดูเปลี่ยนไป” “ เธอแอบมีคนอื่นใช่ไหม” “ยังรักฉันอยู่หรือเปล่า”   คำตอบที่ได้ก็มักจะเหมือนเดิมคือ “ก็บอกไปตั้งกี่รอบแล้ว” ยิ่งเขาเซ้าซี้เธอมากเท่าไหร่   เธอก็ยิ่งรำคาญจนถึงขั้นขึ้นเสียงกับเขา  ไม่พอเธอยังขู่ว่าจะเลิก   เขาใจหายและหวนนึกถึงวันวานอันแสนหวาน  วันที่หัวใจของทั้งสองหวั่นไหวไปด้วยกัน  เขาคิดหาทุกวิถีทางที่จะดึงเอาความรู้สึกอันวาบหวามเหล่านั้นกลับมาเหมือนเดิม  เขาเอาใจเธอทุกอย่าง  เธอบ่นอยากได้อะไรก็หาให้จนได้  บางครั้งเธออารมณ์เสียอย่างไม่มีสาเหตุเขาก็มักจะพร่ำขอโทษอย่างไม่มีเหตุผล  แต่ยิ่งเขาพยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่  ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองกลับยิ่งเลวร้ายลง  เธอขู่จะเลิกกับเขาหลายครั้ง จนเขาต้องร้องไห้ฟูมฟายรั้งเธอไว้สุดชีวิต   วันหนึ่งเขาสุดจะทนกับความระแวงสงสัยที่อัดแน่นเต็มอก  เขาจ้างนักสืบเอกชนคอยจับตาดูเธอ  สุดท้ายก็จับได้คาหนังคาเขาว่าเธอมีคนอื่น  เขายืนอยู่หน้าเตียงนอน ที่เธอนอนอยู่กับเค้าคนนั้น  ชี้หน้าและถามเธออย่างเจ็บแค้น “ ไหนสัญญาว่าชีวิตนี้จะมีแต่ฉันคนเดียวยังไงล่ะ”   เขาได้คำตอบพร้อมกับน้ำตาของเธอว่า “ขอโทษนะ  ฉันอยู่กับเธอฉันไม่มีความสุขเลยจริงๆ  ฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ   เราไปกันไม่ได้หรอก” เขาอ้อนวอนให้เธออย่าไปจากเขา ฟูมฟายแลกศักดิ์ศรีลูกผู้ชายที่มีทั้งหมดของเขา  แต่เธอก็เลือกจะจากไปอย่างไม่ใยดี

เขารู้สึกว่าโลกนี้ช่างเคว้งคว้างว่างเปล่า  อากาศรอบตัวเขาดูหนักเกินกว่าจะสูดหายใจเข้าไปได้  เขาไม่อยากทำอะไรอีกนอกจากนอนทอดตัวบนเตียงแล้วปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป   ภาพความทรงจำเก่าๆที่แสนสวยงามคืออาวุธอันร้ายกาจที่สุดที่กรีดหัวใจจนต้องหลั่งน้ำตาอยู่เสมอ  เขาอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน หลับตาแล้วตื่นขึ้นมาพบกับโลกความจริงอันแสนวาบหวาม  เขาอยากหลอกตัวเองให้จมอยู่โลกแห่งความฝันอันแสนหวานตลอดไป  นึกภาพเธอขึ้นมานอนเคียงข้างเขา  แต่ผ่านไปจนแล้วจนเล่าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  เขารู้สึกว่าควรจะพอได้แล้ว  ชีวิตถึงเวลาที่จะต้องเดินต่อไปข้างหน้า  เขาไล่ลบข้อความในโทรศัพท์ที่เป็นสิ่งเตือนถึงความทรงจำเก่าๆ  โละข้าวของของเธอที่มีอยู่ทิ้งจนหมด  แต่ในขณะที่เขากำลังเก็บรวบรวมรูปภาพจะไปเผา  เขาบังเอิญเห็นรูปตอนภาพเขาและเธอวิ่งเล่นไล่จับบนชายทะเล  ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นเป็นคนถ่ายให้  เขามองดูใบหน้าทั้งสองที่เปื้อนรอยยิ้มในรูป  ทำไมถึงมีความสุขได้ถึงขนาดนั้น  และมันทำให้เขานึกถึงวันแรกที่เขาเดินเข้าไปหาเธอ  เขายังจำความรู้สึกหัวใจเต้นแรงนั้นได้  สิ่งที่นำเขาเข้าไปหาเธอจะเป็นอะไรไปได้อีกนอกจากเสียงเรียกร้องจากหัวใจ  วินาทีนั้นในหัวของเขาไม่มีความคิดใดๆอยู่เลย  เธอจะแอบมีคนอื่นหรือไม่  ทำอย่างไรถึงจะรักเขาคนเดียว  เธอจะทิ้งเขาไปหรือไม่   ความคิดเหล่านั้นไม่มีในหัวเลยจริงๆ  มีแต่เสียงของหัวใจที่เรียกร้องให้เขาเข้าไปหาสิ่งที่เป็นแก่นสารที่สำคัญที่สุดของธรรมชาติ  จะเป็นอะไรไปอีกไม่ได้ นอกจาก... ความสุข

เขาเข้าใจแล้ว   ผมเองยังไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือไม่  แต่หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจกัน     

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เลนส์ใจฉายภาพโลก




ผมเคยเกิดความสงสัยเวลา มองคนสองคนที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกันเดินมาด้วยกัน   แต่เพียงปราดเดียวผมก็มองออกว่าคนทั้งสองคนมีนิสัยและวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน  ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลองพูดคุยทำความรู้จัก  ราวกับว่ามีภาพฉายสะท้อนผ่านทาง สายตา การก้าวเดิน   และทุกๆอิริยาบถในชีวิตประจำวัน  บางครั้งเพียงแค่อยู่เฉยๆผมก็สามารถสัมผัสถึงความเป็นตัวตนของเขาที่ฉายออกมาได้    
สิ่งที่ผมสัมผัสได้ ผมคิดว่ามันคือ  พลังแห่งทัศนคติที่เขามองโลกใบนี้
ทำไมเธอคนนี้ถึงร่าเริง  ยิ้มได้ทั้งวัน   ยิ้มแต่ละทีทำให้คนรอบข้างรู้สึกว่าโลกสดใส  ในขณะที่อีกคนหนึ่งพยายามยิ้มครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่รอยยิ้มก็ยังดูเจื่อนๆ    ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่ผ่านการฝึกมาอย่างเช่นรอยยิ้มของนางงาม  แต่ผมก็ดูออกว่าเป็นรอยยิ้มที่ผ่านการฝึกมา  เป็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นตามหน้าที่ของการเป็นนางงาม     เพียงแค่รอยยิ้มและการสบตาก็สามารถพาเราไปเห็นภาพที่พวกเขากำลังมองโลกในขณะนี้ 
อยู่กับใครบางคนแล้วรู้สึกอบอุ่นเป็นมิตร ในขณะที่อยู่กับอีกคนแล้วรู้สึกอึดอัด   นั่นคงเป็นเพราะเรามองเห็นภาพที่เขามองโลกใบนี้และมองตัวเอง    แต่ในบางครั้งอาจจะเป็นเพราะภาพที่เรามองเห็นเขาและโลกใบนี้ด้วยก็ได้
ผมเคยอ่านหนังสือหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา  บางเล่มกล่าวว่า สิ่งทั้งปวงล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง  เมื่อมีทุกข์ก็ย่อมมีสุขเป็นของคู่กัน  แปรเปลี่ยนไปมาเสมอ   บางเล่มก็กล่าวว่า  โลกนี้มีแต่ความทุกข์  การที่เรารู้สึกสุขก็เพราะเรามีความทุกข์น้อยลงก็แค่นั้น
แต่ผมก็แอบมีแนวคิดแย้งขึ้นมาในหัวว่า  เราอาจจะสามารถมีความสุขตลอดเวลาก็ได้  ถ้าเราเปลี่ยนแนวคิดของเรา   เปลี่ยนภาพที่เรามองโลกใบนี้ใหม่    ผมเคยคิดว่าผมทำได้  แต่ด้วยเวลาที่ผ่านเลยและประสบการณ์ที่ผ่านมา   ผมเริ่มคิดว่า “ มันทำได้จริงหรือเปล่าหว่า”
การที่จะคงแนวคิด คงภาพอันสดใสสวยงามของโลกไว้ในใจของเราให้ได้ตลอดนั้นไม่ง่ายเลย  เหมือนตอนผมเล่นเกมส์  แรกๆก็รู้สึกสนุก สบายๆกับมัน  แต่พอเล่นไปสักพักผมเริ่มรู้สึกอินกับมัน  ถึงขั้นโวยวายออกมาเมื่อผมตายในเกม 
แต่สุดท้ายนี้ผมก็ยังคิดว่า เราสามารถสนุกไปกับชีวิตและโลกใบนี้ได้  มองว่ามันเป็นหนังเรื่องหนึ่ง  มีอารมณ์ รักบ้าง สุขบ้าง โกรธบ้าง  เสียใจบ้าง   พอหนังจบ เราก็รู้สึกคุ้มค่าตั๋วไปกับการดื่มอารมณ์ที่หลากหลายเหล่านั้น  ก็แค่นี้ล่ะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หมาไม่รับประทาน




มันเป็นศึกดวลลูกสักกะหลาดที่มันส์ระเบิด ไม่ใช่ศึกแกรนด์แสลมระหว่างเฟเดอร์เรอปะทะนาดาล แต่เป็นศึกระหว่างผมกับรุ่นน้องชั้นม.2คนหนึ่ง ตีไม่แรงเท่าไหร่แต่เหนียวมาก และโยกดีด้วย ผมอาศัยข้อได้เปรียบตรงที่ช่วงแขนขายาวกว่าและกำลังที่มากกว่าเพราะอยู่ม.6แล้ว ไล่ตามเก็บได้หมดทุกลูก ไม่มัวเสียเวลาคิดว่าควรจะปล่อยลูกไหนทิ้งไป เพิ่งผ่านไปสามเกมอย่างกะเล่นมาแล้วสี่เซ็ต แสบคอ ปากแห้ง น้ำลายเหนียว เนื้อตัวกระปลกกระเปลี้ยเบาหวิว กติกากำหนดไว้ว่าตัดสินภายในเซ็ตเดียวโดยที่ไม่มีการพักระหว่างเกม จึงไม่มีโอกาสงามๆสำหรับดื่มน้ำดับกระหาย ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามซึ่งเด็กกว่ายังไม่ดื่ม ผมในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ก็ต้องไม่ดื่มเช่นกัน ดวงอาทิตย์ยามก่อนบ่ายฉายแสงแรงกล้า เปียกทั้งตัวราวกับไปอาบน้ำมาทั้งชุด ผลสุดท้ายผมชนะได้ด้วยการเล่นไทเบรคเจ็ดต่อหก
พี่วิ่งเร็วจริงๆ แถมยังอึดมากด้วย
ผมโบกมือตอบรับคำชมของรุ่นน้อง แต่ปากคอแห้งจนพูดลำบากมากจึงเปลี่ยนใจไม่พูดเสียดีกว่า คู่แข่งและเพื่อนๆชั้นม.2ของมันสวัสดีผมด้วยความยำเกรงกึ่งเป็นกันเอง จากนั้นก็เดินออกจาคอร์ทไป ส่วนตัวผมพออะดรีนาลีนหยุดหลั่ง ขาก็ทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น
โอ๊ยๆๆๆขาหลังข้างซ้ายดันมาเป็นตะคริวเสียได้
ผมพยายามยืดเส้นต้นขาตัวเอง ปล่อยให้แดดแผดเผาตัวเองต่อไป ยืดจนรู้สึกว่าดีขึ้นแต่ยังไม่หายดี ความกระหายรุกเร้าให้ผมเดินขะย่องขะแย่งไปยังเก้าอี้ยาวๆตัวหนึ่งสำหรับวางข้าวของและให้ผู้ชมสามสี่คนนั่งดู มีหลังคาสังกะสีสีเขียวให้ร่มเงาด้วย ร่างกายโหยหาเครื่องดับกระหาย ที่ผมเตรียมเอาไว้ก็คือแก้วน้ำเปล่าใส่น้ำแข็ง แต่พอไปถึงก็พบว่ามันถูกซดไปเสียเกลี้ยงไม่เหลือน้ำแข็งสักก้อน ไอ้กลุ่มเด็กม.2บางคนคงแอบซดเพราะทนกระหายไม่ไหว อาจจะทุกคนรวมใจกันซดก็ได้ ผมแหงนหน้าอ้าปากยกแก้วพลาสติกที่เหลือเพียงกลุ่มหยดน้ำก้นแก้ว เมื่อหยดน้ำที่ไหลอ้อยอิ่งผ่านช่องปากลงสู่ลำคอ แทนที่จะดับกระหายกลับกระตุ้นความกระหายของผมให้แรงขึ้นกว่าเก่า ผมกวาดตาล่อกแล่ก ที่พึ่งแรกที่นึกได้ก็คือร้านภิรมย์นมสด ซึ่งอยู่เยื้องสนามเทนนิสไปเล็กน้อยพอไปถึง คำตอบแรกที่ผมได้จากป้าภิรมย์ หญิงวัยสี่สิบปลายผมสั้นประท้ายทอย ผิวคล้ำ ใบหน้าขรุขระคือ
น้ำเปล่าหมดลูก
ผมเหลือบมองน้ำปั่นหลากสี จากนั้นล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาเปิดดู ไอ้หยา! เหลืออยู่ยี่สิบบาท หวุดหวิดค่านั่งรถสองแถวกลับบ้านพอดี(ต้องต่อราคาก่อน) ผมเหลือบมองกระปุกผงโกโก้ เหลือบมองเครื่องปั่น พลางกลืนน้ำลายเอื้อกอย่างยากเย็น ใจหนึ่งก็อยากจะเอ่ยปากขอแปะเงินป้าภิรมย์ไว้ก่อน แต่คิดดูแล้วช่างน่าอาย ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยยืมหรือติดเงินใครเลย
เอาไว้วันหลังแล้วกันครับผมพูดเสียพร่า ฉีกรอยยิ้มแห้งผาก
ตู้กดน้ำดื่มของโรงเรียนนั้นเอาไว้ก่อน เพราะรสชาดไม่ค่อยดี เป้าหมายที่สองชองผมคือเซเว่นอีเลฟเว่น ระหว่างการเดินจะเดินเร็วไปก็ไม่ได้ มิฉะนั้นอาการตะคริวที่ขาหลังด้านซ้ายจะกำเริบแปล๊บขึ้นมาทันที ดวงอาทิตย์แผดแสงอย่างไร้ความปราณี เนื้อตัวที่ทำว่าจะแห้งก็ชุ่มอีกครั้งด้วยเหงื่อที่ออกไม่หยุด พอมาถึงริมถนนก็หยุดยืนให้รถราวิ่งผ่านหน้าไป สายลมตีอุ่นๆชวนหายใจมิใคร่ออก มองขวามองซ้ายแล้วข้ามไป เซเว่นรออยู่เบื้องหน้า พอผลักประตูกระจกใสเข้าไปเสียงกริ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเซเว่นอีเลฟเว่นก็ดัง เข้ามาในร้านแล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่าตังค์ไม่มีนี่หว่า ผมเดินถอยหลังออกมาจากร้าน เดินช้ามไปอยู่เส้นสีเหลืองแบ่งครึ่งกลางถนน รถราตรงหน้าผมแล่นมาจากไหนไม่รู้ต่อกันเป็นแถวยาวพรืด วิ่งกันเฟี้ยวฟ้าวตีลมผ่านหน้าผม เมฆก้อนเล็กๆบดบังแสงชั่ววูบหนึ่งแล้วคล้อยผ่านไป ความกระหายรุกเร้าให้ผมเดินกลับเข้าไปในเซเว่นอีกครั้ง
ผมเดินเข้ามาอย่างไม่สนใจใครเพราะการดับร้อนดับกระหายสำคัญที่สุดในยามนี้ รู้แต่ว่ามีคนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยม นิสิตนักศึกษา หรือมนุษย์เงินเดือน ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างๆตู้กดน้ำเกล็ดหิมะ(สเลอร์ปี้) คนแรกเป็นชายศีรษะล้านเลี่ยนมันปลาบ สวมเสื้อเชิร์ตสีชาว กางเกงสแล็คและแว่นตา กดน้ำเกล็ดหิมะสีน้ำตาลคล้ำที่ต่อกันเป็นสายลงไปในแก้วอย่างไม่ชาดไม่เกิน แล้วเดินออกไปอย่างเคร่งขรึม ไม่สนใจเด็กนักเรียนชายผู้ต่อแถวอยู่ข้างหลังที่ซึ่งกำลังส่งยิ้มให้ เด็กนักเรียนเดินเข้าไปกดต่อ เขาเลือกแก้วขนาดกลาง กดเสียพูนแก้ว เอาริมฝีปากเม้มเขมือบหายไปพร่องปากแก้ว เติมใหม่แล้วเขมือบใหม่ ทำเช่นนี้หลายครั้งจนผมต้องกระดิกเท้าแต่ไม่กล้ากระแอมไอเพราะกลัวอ้วก ผ่านไปสี่ห้ารอบคาดว่าเด็กคนนั้นคงหนำใจแล้ว เขาหันมาส่งยิ้มให้ผมแล้วเดินเฉียดไหล่ผ่านผมไป ผมรีบเดินเข้าไปประกบเครื่องกดอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่สามารถ มือกระชับคันโยกเล็กๆ ย่อเข่าก้มหน้าแหงนคออ้าปากรอให้น้ำเกล็ดหิมะไหลลงสู่ช่องปาก แต่ก่อนที่จะกดหางตาผมก็เหลือบเห็นเงาคนตะคุ่มๆอยู่ข้างหลัง ผมหันไปดูพบว่าเป็นพนักงานชายสวมเสื้อเชิร์ตสีเขียวอ่อน รูปร่างเตี้ยล่ำ ผมรองทรงไว้เคราแพะ มือขาวกำผ้าขี้ริ้วขนหนู สายตามองมายังผมอย่างเฉยชา แต่ผมนี่รู้สึกชาที่หน้าขึ้นมาเลย แกล้งหันกลับไปก้มหัวต่ำลง แหงนหน้ามองส่องขึ้นไปเพื่อให้เขาเข้าใจว่าเรากำลังดูอะไรบางอย่างทีอยู่ในรูทางออกของน้ำเกล็ดหิมะอยู่ จากนั้นเดินก้มหน้างุดๆเฉียดไหล่พนักงานคนนั้นออกจากเซเว่นมา เสียเวลายืนตากแดดบนเส้นเหลืองแบ่งครึ่งถนนครู่หนึ่ง หน้ามืดวูบวาบร่างส่ายโงนเงน มีจังหวะหนึ่งที่โตโยต้ายาริสสีชาวเฉี่ยวผ่านหน้าผมไปพร้อมเสียงแตรดังลั่น ช่วยปลุกผมจากภวังค์ ผมสั่นศีรษะสลัดความมึน รอให้ชบวนรถราทิ้งช่วงห่างแล้วจึงข้ามไป
เป้าหมายที่สามคือตู้กดน้ำของโรงเรียน ลำคอแสบ น้ำลายเหนียวจนกลืนไม่ได้ เพราะถ้ากลืนอาจจะไอและอ้วกออกมา ผมไม่ชอบรสชาดน้ำดื่มสาธารณะเพราะรสชาดมันคล้ายน้ำประปราที่มีกลิ่นโลหะเจือปน ตู้กดน้ำดื่มตั้งอยู่ในโรงอาหาร ระยพทางที่เคยคิดว่าใกล้บัดนี้รู้สึกว่าไกลโข มันเป็นตู้ทำจากเหล็กตู้หนาๆสี่ขาตั้ง สูงระดับอก ผมก้มหน้าแหงนคออ้าปาก สันมือกดประทับปุ่มทรงกระบอก แต่น้ำดื่มสาธารณะเจ้ากรรมดันไม่ไหลลงมา เปลี่ยนไปใช้อีกสองก๊อกข้างเคียงก็ไม่ไหลเช่นกัน ผมรีบมองหาเป้าหมายที่สี่นั่นก็คือห้องน้ำชาย
ห้องน้ำชายปูพื้นและผนังด้วยกระเบื้องสีเหลืองนวล พอแสงแดดจากภายนอกที่ส่องผ่านช่องประตูและหน้าต่างกระจกฝ้าเข้ามาตกกระทบ ทั้งห้องก็จะมีบรรยากาศสีเหลืองนวลไปด้วย ซิงค์น้ำอยู่หน้าทางเข้า มีสองอ่างติดกัน ทางขวามือเป็นโถปัสสาวะสามโถคั่นระหว่างกลางด้วยแผ่นเซรามิกซ์หนาๆ โถกลามีรุ่นน้องม.4คนหนึ่งประกบอยู่ ผมเดินเข้าประชิดอ่างล้างหน้า จุ่มหน้าลงไปแล้วหมุนก๊อก ไม่รู้ว่าโรงเรียนนี้เป็นบ้าอะไรในวันนี้ น้ำไม่รู้จักไหลสักที่ น้องม.4มองผมแล้วพูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า
น้ำไม่ไหลตั้งแต่เช้าแล้วพี่ ทั้งโรงเรียนเลย
ผมเกือบทุบกระจกแตก ดีที่หักใจเดินออกมาได้เสียก่อน เมื่อออกมาสู่โรงอาหารที่นักเรียนคราคร่ำ ผมสอดส่ายสายตาไปตามเครื่องประดับฉากที่มีชีวิตเหล่านี้
บังเอิญเหลือบไปเห็นเพื่อนร่วมชั้นชายคนหนึ่ง จักรินทร์เดินสะพายกระเป๋าด้วยไหล่ขวาข้างเดียวมาพอดี มันเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่เมื่อก่อนผมไม่อยากนับเป็นเพื่อนเท่าใดนัก แต่ตอนนี้คงต้องนับไปพลางๆก่อน จักรินทร์ไม่มีเพื่อนสนิท เพราะมันชอบพูดอะไรขวานผ่าซากไม่เกรงใจใคร และชอบพูดอะไรเป็นเชิงปรัชญาและนามธรรมที่เข้าใจยาก ออกจะติดเพ้อเจ้อเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆผมไม่อยากคุยด้วย แต่ตอนนี้ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองแล้วเดินเข้าไปหา
จักรินทร์ ขะ..ขอผมกระแอมสบัดความแห้งที่ลำคอและความอายออกไปอย่างระมัดระวังไม่ให้อ้วกออกมา ขอยืมเงินหน่อย
จักรินทร์ยืนนิ่งสบตาผมด้วยท่าทีที่เฉยชาครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นว่า
เราไม่ชอบนายในตอนนี้ สายตานายบ่งบอกว่านายเห็นแต่ความสำคัญของตัวเอง นายมองคนอื่นเป็นเหมือนฉากที่ดิ้นได้ เราสาบานกับฟากฟ้าว่าจะไม่ช่วยเหลือคนแบบนี้ ดังนั้นเราจะไม่ช่วยเหลือนาย สุดท้ายก็จะไม่ให้นายยืมเงิน
มันเดินชนไหล่ผ่านผมไป ผมหันหลังไปชูนิ้วกลางให้แทนคำด่าที่แห้งผากทั้งหมดทั้งมวล เพิ่งจะครึ่งวันก็สะพายกระเป๋ากลับบ้านแล้ว ไม่เสียดายตังค์พ่อแม่ส่งมาเรียนหรือวะ ไอ้ถ่วงความเจริญชาติ วันๆดีแต่เพ้อเจ้ออวดฉลาด ผมเดินออกจากโรงอาหารมา เพื่อนร่วมชั้นชายซึ่งเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่งเดินผ่านหน้าผมไปหยกๆ ผมนึกชื่อไม่ออก ผมหยิกติดหนังศีรษะ หูกาง ช่วงปากกว้างและยื่นออกมามากกว่าช่วงหน้าผาก ไม่ได้สวมแว่นตา จมูกใหญ่ๆชอบขยับไปมาเหมือนเจ้าตูบพิฆาตกลิ่น ผมเดินขะย่องแขย่งตามให้ทัน ต้องคอยระวังไม่ให้ตะคริวกำเริบด้วย ช่างเหนื่อยและลำบากเหลือแสน ผมเอื้อมมือไปสะกิดหลังของเขา เขาหยุดเดินแล้วหันหลังมา
สวัสดี มีธุระอะไรกับเราเหรอ
ผมรวมความกล้าอ้าปากกล่าวออกไปว่า คือเรา..แค่กๆผมไอแห้งๆจนเกือบอ้วกออกมา
เพื่อนเด็กเรียนใช้สายตาสำรวจร่างที่โชกเหงื่อของผมอย่างหวั่นๆ
หักโหมเล่นมากไปแล้ว ดื่มน้ำสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น
คือเราอยาก....แค่กๆๆ..ผมไอแห้งๆจนเกือบอ้วกออกมาอีกครั้ง ขย้อนจนรู้สึกเปรี้ยวๆที่ลำคอแต่ก็กลืนกลับลงไป จากนั้นก็ไอต่ออีกยกใหญ่ ไอ้ร่างกายเวรนี่เป็นของเราเแท้ๆ ดันมาทรยศในช่วงเวลาสำคัญเสียได้
เรามีงานค้างอยู่ ต้องไปรีบสะสาง รักษาตัวดีๆนะ
เพื่อนเด็กเรียนดีเดินจากไป ไม่มีกะจิตกะใจจะเดินตามไปไอใส่หน้ามันอีกแล้ว ที่พึ่งอีกที่หนึ่งที่นึกได้ ที่ๆไม่เคยได้เฉียดกายเข้าใกล้มากว่าสามปีนั่นก็คือห้องสมุด จำได้ว่าที่นั่นมีที่กดน้ำเย็นเจี๊ยบอยู่ด้วย ระยะทางสองร้อยเมตรตอนนี้ไกลยังกะสองไมล์ ทนเดินขะย่องขะแย่งบากหน้าไป ระหว่างทางผ่านบริเวณหน้าศาลาสำหรับประกอบกิจกรรมซึ่งเป็นลานจอดรถ มีเชิงปูนก่อสูงขึ้นมาสำหรับปลูกดอกเข็มเรียงราย กำลังเดินได้จังหวะข้อเท้าก็เสือกพลิก ตัวก็ทรุดล้มลงไป พยายามชันกายลุกขึ้นตะคริวก็ดันกำเริบจนต้องล้มลงไปนอนปวดอยู่กับพื้น ไอ้ร่างกายทรพี! ไม่รู้จักบุญคุณกูที่เป็นผู้คุ้มหัวกบาลมึงอยู่ แดดแม่งก็เปรี้ยงๆ กูยังไม่อยากตายเพราะเรื่องโง่ๆแบบนี้ แค่อ้าปากส่งเสียงร้องขอชีวิตกูยังไม่มีปัญญาจะทำเลย ไอ้รถและคนที่ผ่านมาก็ดีแต่มอง จะมีใครมีน้ำใจช่วยดับกระหายให้กูบ้างมั้ยโว้ย! ทำไมโลกมันถึงได้เส็งเคร็งอย่างนี้!

15 นาทีผ่านไป

แดดยังคงแผดเผาเปรี้ยงๆไม่ราแรง รอบข้างปราศจากผู้คนและรถราเพราะได้เวลาเข้าเรียนภาคบ่ายแล้ว ผมอ่อนแรงเกินกว่าจะขบถต่อความตายที่กรายเข้ามาใกล้ ผมกลัวและคอแห้งเกินกว่าจะร้องไห้กับสิ่งที่มวลมนุษยชาติยากจะยอมรับ ผมเลือกทำใจปลงซึ่งเป็นทางเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ มีเวลาและความจำเป็นให้ผมฝึกหลักสูตรการปลงเร่งรัดนี้อยู่มากโข สายตาเริ่มพร่าเลือน ผมพยายามใช้เทคนิคของหนูน้อยไม้ขีดไฟบิดเบือนภาพที่เห็นให้กลายเป็นสวนสวรรค์ขนาดย่อม ได้ผลจริงด้วย สักพักก็มีนางฟ้าชุดขาวองค์หนึ่ง โฉบเข้ามาเหนือบใบหน้าของผม ยกคนโทขึ้นเท ผมอ้าปากรองรับน้ำอัมฤตนั้น สายน้ำสีเหลืองเข้มกลิ่นเตะจมูกพุ่งลงมาเป็นสายอย่างสวยงาม นางฟ้ายิ้มพริ้มตา พอน้ำอมฤตไหลผ่านลำคอ ความกระหายส่วนใหญ่ก็ปลาศนาการหายไป ภาพแห่งความเป็นจริงกระจ่างชัดขึ้นอีกครั้ง ไอ้โจ้ ลาบราดอร์ตัวสีขาวประจำโรงเรียนกำลังพริ้มตายกขาปล่อยน้ำแสดงอาณาเขต จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆจากไป ผมชันกายขึ้นนั่ง เอาข้อมือเช็ดป้ายรอบปาก จากนั้นค่อยลุกขึ้นยืน อาการตะคริวกินหายเป็นปลิดทิ้ง ผมเดินไปก้มสำรวจดูต้นดอกเข็มบนเชิงปูนบริเวณนั้น

พระเจ้า! เพิ่งเคยเห็นเอ็งสวยงามขนาดนี้ก็วันนี้ล่ะผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ชุ่มชื่นที่สุดเท่าที่เคยพูดมา


วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

...รู้ว่าผมรู้ว่า...






ผมยืนมองเพชรสิบเอ็ดกะรัต
คนขายเพชรไม่ต้อนรับผม
แกรู้ว่าผมรู้
ว่าผมไม่มีเงินซื้อมัน

ผมนั่งมองสาวสวยโต๊ะตรงข้าม
สาวสวยไม่สนใจผม
หล่อนรู้ว่าผมรู้
ว่าผมไม่กล้าเข้าไปคุย

ผมก้มมองหมาข้างถนน
หมาข้างถนนไม่กลัวผม
มันรู้ว่าผมรู้
ว่าผมไม่มีอำนาจ

ผมจ้องมองตัวผมในกระจก
ผมในกระจกไม่ยอมยิ้ม
ผมรู้ว่าผมรู้
ว่าผมไม่มีความสุข

ผมหลับตามองตัวผมในอุดมคติ
ผมในอุดมคติส่งมือมาให้
เขารู้ว่าผมรู้
ว่าผมเป็นเขาได้

ผมลองมองตัวเองในตอนนี้ใหม่
สายตาที่ทุกคนมองผมล้วนเปลี่ยนไป
ทุกคนรู้ว่าผมรู้
ว่าผมรู้ว่าผมเป็นใคร