วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ระวังตัวดีๆ


หนึ่งปีเต็มที่ผมไม่กลับบ้านอำเภอเพ็ญ  จากถนนซุปเปอร์ให้เวย์ระหว่างจังหวัดเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆที่ทอดตัวผ่านกลางดงไม้ ราวกับเป็นอำเภอที่ขอแยกตัวเป็นเอกเทศจากจังหวัดอุดรราชธานี  เหมือนเมืองลับแลในนวนิยายที่ซ่อนกายหลังป่าเขาลำเนาไพร  ทว่าในตัวอำเภอก็คือเมืองเล็กๆดีๆนี่เอง พร้อมด้วยร้านอำนวยความสะดวกที่เดินเท้าเพียงครู่เดียวก็ถึงที่  มีเซเว่นอีเลเว่น มีตลาด  มีร้านคอมพิวเตอร์ โลตัสเอ็กเพรซกำลังจะมาเปิด   ไม่มีโรงภาพยนต์แต่ก็มีร้านเช่าวีซีดี  ถนนมีรถราวิ่ง โดยเฉพาะรถสกายแล็บที่พบเห็นได้มากกว่าเมื่อก่อน  เป็นบริการรถรับส่งซึ่งเป็นที่นิยมของคนท้องที่  ไม่ต่างจากรถสองแถวในท้องที่อื่น  หรือรถตุ๊กๆในกรุงเทพฯ แต่ผมว่ายังไงสกายแล็ปก็เจ๋งรถขนส่งอื่นๆในประเทศไทย   ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตา  เสียดายที่นักท่องเที่ยวฝรั่งเข้ามาไม่ถึงที่นี่เท่าไหร่  ไม่เช่นนั้นรถสกายแล็ปคงต้องถูกถ่ายรูปลงโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่เว้นวันแน่ๆ     เมืองเปลี่ยนไปแต่ก็เปลี่ยนไม่มาก ไม่เหมือนบางที่ที่จากไปปีเดียวแล้วกลับมาก็จำแทบไม่ได้  ร้านโชว์ห่วยที่ผมอาศัยอยู่ติดกับตลาด  ร้านของผมยังอยู่ดี  แต่ช่วงที่ผมไม่อยู่ตลาดโดนไฟไหม้ไปเสียบางส่วน  แต่ดูจากเค้าโครงการก่อสร้างใหม่ก็คงมีแผนจะซ่อมแซมปรับปรุงให้ดูดียิ่งกว่าเดิม
"กลับมาแล้วเหรอคนเก่งของแม่ โอ้โห  โตเป็นหนุ่มจนแม่แทบจำไม่ได้เลยนะ ไหนขอหอมแก้มหน่อยซิ" แม่สวมกอดแล้วหอมผมฟอดใหญ่
"แม่  ทำอย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีไปได้" ผมรู้สึกเขินๆ ถ้าเพื่อนดูอยู่ตอนนี้ผมคงอายแทบเอาหน้าแทรกแผ่นดิน  เด็กเฝ้าร้านก็ขายของไป  ลูกมือหลังร้านก็จัดการโกดังสินค้าไป  ตอนนี้ทั้งโลกเหมือนมีแค่ผมกับแม่
"ไปเก็บของ พักผ่อนสักแป๊บก็ได้นะคนเก่งของแม่   เดินทางมาตั้งไกล คงเหนื่อยล่ะสิ"
"ไม่หรอกแม่  จากกรุงเทพฯนั่งเครื่องบินมาแป๊บเดียวสบายจะตายไป"
"แหม ดูผมเผ้าซิ"แม่ลูบหัวผม ขยุ้มปอยผม " คราวก่อนยังหัวเกรียนอยู่เลย  เดี๋ยวนี้ยาวดกดำจะเป็นหนุ่มเกาหลีอยู่แล้ว  "
"หนูว่าจะไปตัดซะหน่อย" ผมตอบ "ที่โรงเรียนเข้มงวดมาก ให้ไว้แต่ทรงนักเรียน  แต่ตอนนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หนูเลยรอให้ยาวๆก่อนจะได้ตัดรองทรงทีเดียวไปเลย"
"ฮ่วย  บักหำของแม่สิหล่อแท่เด้อ จะได้เป็นเฟรชชี่น่ำ" แม่แซวขำๆ  ผมเป็นคนอีสานโดยกำเนิดก็จริง ฟังภาษาอีสานออก แต่พูดไม่ได้ เพราะพ่อผมไม่ใช่คนอีสาน  เวลาคุยกันแบบพ่อแม่ลูกจึงพูดเป็นภาษากลาง "ไปเก็บของพักผ่อนก่อนเถอะ"
ผมหิ้วกระเป๋าสัมภาระเดินขึ้นบันไดไม้  ห้องผมยังคงเหมือนเดิม  ฝุ่นแทบไม่เกาะ  แม่คงทำความสะอาดเตรียมไว้ตอนผมกลับมา  วางกระเป๋าสัมภาระตรงมุมห้อง  ถอดทุ้งเท้า  ทิ้งตัวลงนอนบนฟูกผ่อนคลายสักพักหนึ่ง  ยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อย  สลัดความคิดทิ้งบ้านคิดถึงแม่กว่าหนึ่งปีเต็มที่อยู่ในกรุงเทพฯทิ้งไปจนหมด   จากนั้นก็ค่อยลุกจากที่นอน  เดินลงบันได  สวมรองเท้าแตะ  ระหว่างจะเดินออกจากร้านก็สวนกับแม่ที่กำลังสั่งงานลูกน้องพอดี
"ถ้าลูกจะไปตัดผมยังไงก็ระวังตัวไว้หน่อยนะลูก   พักนี้มีข่าวเด็กหนุ่มราวๆลูกหายตัวไปบ่อย  โดยเฉพาะพวกหน้าตาดีๆหน่อย  คราวก่อนก็มีเด็กหายแถวๆร้านตัดผมนี่แหละ"
"แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  หนูระวังตัวได้อยู่แล้ว  ที่กรุงเทพฯอันตรายกว่าที่นี่เยอะ"
"อย่าประมาทดีกว่า แม่เป็นห่วง  คนเล่ากันว่ามีผู้ชายคนหนึ่งใส่หมวกอะไรนะ คล้ายๆหมวกลูกเสือสีดำ"
"หมวกไบเล่หรือเปล่าฮะ"
"อ้า นั่นแหละๆ  ผู้ชายสวมหมวกไบเล่สีดำ ท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจ ชอบไปป้วนเปี้ยนแถวร้านตัดผม  ลูกระวังตัวดีๆนะ"
"ขอบคุณที่เตือนฮะแม่  หนูจะระวังตัว"
ผมเดินออกจากร้าน  เดินผ่านซอยบ้านผมซึ่งไม่มีร้านตัดผม  ออกถนนแล้วเดินวกเข้าซอยเล็กๆอีกซอยหนึ่ง  ระหว่างทางพบเห็นภาพเด็กผิวกร้านร่างผอมได้เป็นระยะๆ   ต่างจากเด็กในเมืองลูกมนุษย์เงินเดือนที่ผิวขาวและพ่อแม่ขุนให้อ้วนตั้งแต่เด็ก   ร้านตัดผมเล็กๆร้านหนึ่ง  ชื่อ"ร้านตัดผมชาย" ดูธรรมดาๆ  ตั้งอยู่ตรงข้ามร้านขายหนังสือพิมพ์นิตยาสารเล็กๆ  หน้าร้านกรุกระจกใสมองเห็นเข้าไปด้านในเห็นเก้าอี้เบาะปรับระดับได้ด้วยมือหนึ่งที่นั่ง  ชายผิวดำแดงตามแบบฉบับชาวอีสานคนหนึ่งกำลังนอนให้ช่างร่างท้วมสวมเสื้อสีขาวชายผ้ายาวโกนหนวดให้  ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน
ช่างมองผม  ยิ้มให้ ประเมินผมด้วยสายตา ก่อนจะพูดภาษากลางด้วยสำเนียงอีสานนิดหน่อยว่า "นั่งรอแป๊บเดียวนะ เดี๋ยวเสร็จแล้ว"
ผมนั่งรอบนเบาะนั่งหลังเก้าอี้ตัดผม  คุ้ยดูกองหนังสือพิมพ์และนิตยาสารบนชั้นข้างๆ  เจอการ์ตูนขายหัวเราะเล่มหนึ่ง  แต่อ่านได้ไม่กี่หน้าก็ถึงคิวผมแล้ว  ขณะนั้นเองอะไรบางอย่างดลใจผมให้มองไปยังร้านหนังสือฝั่งตรงข้าม  สิ่งที่ผมเห็นทำเอาใจเต้นระทึกขึ้นมา  ชายสวมหมวกไบเล่สีดำทำท่าหยิบหนังสือพิมพ์บนแผงขึ้นอ่าน  แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าสายตานั้นจ้องมองผมอยู่   ผมทำเป็นไม่ได้สังเกตุเห็น เดินไปนั่งบนเก้าอี้  ช่างคลุมผ้ารองเศษผมบนไหล่ ใช้คลิปหนีบ
"เอาทรงอะไรดีล่ะ"
"เอารองทรงสูงครับ"ผมตอบ แต่หางตาชำเลืองด้านข้าง มองไปยังนอกร้าน
ช่างเปิดแบตเตอเรี่ยนแล้วเริ่มเล็มผมออกทีละน้อยอย่างปราณีต  ช่างคนนี้มือนิ่มใช้ได้เลยทีเดียว  แต่กะจิตกะใจตอนนี้สนใจชายหมวกไบเล่ดำฝั่งตรงข้ามมากกว่า   ผมเหลือบมองด้วยหางตา แม้มองไม่ถนัด  แต่รู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามันกำลังมองผมอยู่
"เป็นคนที่ไหนเหรอเราน่ะ" ช่างตัดผมเปิดการสนทนา  ตามแบบฉบับช่างตัดผมที่ฝีมือและอัธยาศัยดี
"อ๋อ ความจริงผมเป็นคนที่นี่แหละครับ  แต่ไปเรียนที่กรุงเทพฯ"
"เอ  แต่ดูหน้าตาไม่ใช่คนแถวนี้เลย  ขาวๆตี๋ๆเหมือนคนจีนมากกว่า"
"ครับ พ่อผมมีเชื้อสายจีนน่ะ"
"ถึงว่า" ช่างตัดผมหัวเราะ "ที่อำเภอเพ็ญน่ะ  อย่างเราถือว่าหน้าตาดีเลย  หายากนะขาวๆตี๋ๆแบบนี้  สาวๆเห็นคงเหลียวมองกันหน้าดู"
"ขอโทษที่จะถามนะครับ" ผมเริ่มเปิดประเด็น "แต่ได้ข่าวว่าพักนี้มีเด็กหนุ่มหายตัวไปหลายคน"
"ใช่  ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่หน้าตาดีๆหน่อย  คราวแล้วก็มีเด็กหายแถวๆร้านพี่นี่ล่ะ งานเข้าเลย ต้องทำเรื่องกับตำรวจยกใหญ่   เราเองก็ระวังตัวไว้ดีๆล่ะ  มันอาจจะกำลังเล็งอยู่ก็ได้นา"
"พี่หมายถึงผู้ชายหมวกไบเล่สีดำหรือเปล่าครับ"
"เห็นคนเขาเล่ากันว่าอย่างนั้นนะ" ช่างตัดผมตอบ
"พี่พอจะบอกได้ไหมครับว่าเขาเป็นใคร เอ่อ... แบบว่ามีแรงจูงใจอะไรที่ทำแบบนี้  อย่างเช่น ต้องการจับเด็กหนุ่มไปขาย  หรือว่าเป็นเกย์โรคจิต"
"พี่ก็ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอกนะ"ช่างตัดผมหัวเราะ " อาศัยฟังเขาเล่ามานั่นแหละ  ว่ากันว่าคนนี้น่ะเดิมทีเป็นคนปรกตินี่แหละ  เพิ่งแต่งเมียไปแล้วก็รักเมียมาก  แต่ต่อมาจับได้ว่าเมียเล่นชู้กับหนุ่มหน้าตาดี   เลยฆ่าทิ้งทั้งเมียทั้งชู้  จากนั้นก็เลยฝังใจ หาวิธีเอาคืนกับเด็กหนุ่มหน้าตาแบบไม่เลือกหน้า  เหมือนกลายเป็นโรคจิตนั่นแหละ"
"ถ้าอย่างนั้น เด็กหนุ่มที่โดนจับไปก็อาจจะถูกจับไปฆ่าหรือทรามานได้ใช่มั้ยครับ" ผมพูดเอง เริ่มใจคอไม่ดีเสียเอง
"ก็มีสิทธินะ  ระวังตัวไว้ก็ดี เดี๋ยวนี้หนุ่มๆต้องระวังตัวยิ่งกว่าสาวๆอีก"
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  มันอาจจะดูกระโตกกระตากเกินไปในมุมหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งมันเกี่ยวพันถึงสวัสดิภาพของผม ผมมองช่างในกระจกแล้วตัดสินใจบอกออกไป
"พี่ครับ ที่แผงหนังสือฝั่งตรงข้าม  ผมเห็นผู้ชายใส่หมวกไบเล่สีดำกำลังมองมาทางนี้"
"จริงเหรอ"สีหน้าของช่างเปลี่ยนไปทันที  เหลียวหน้าไป
"อย่าหันไปมองครับพี่!"ผมร้องเตือน "เดี๋ยวมันจะรู้ตัวเสียก่อน พี่ทำเป็นตัดผมต่อไปนะครับ"
ต้องขอบคุณประสบการณ์จากเมืองหลวง ทำให้ผมเป็นคนหูตาไวขึ้น  ช่างทำท่าตัดต่อไป  แต่มือไม้ของแกเริ่มสั่นจนผมรู้สึกได้  ผมจะแหว่งนิดหน่อยก็ช่างมันปะไร ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า
"ทำยังไงดี โทรแจ้งตำรวจดีไหม"ช่างตัดผมกระซิบถาม  แทบถูกเสียงแบตเตอเรียนกลบ
"เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ  พี่ทำเป็นรับโทรศัพท์เดินเข้าไปหลังร้านก็ได้" ผมเสนอแนะ "ไม่แน่ถ้ามันเห็นพี่ไม่อยู่ในร้านมันอาจจะเข้ามา  ถึงตอนนั้นพี่ก็ออกมาช่วยผม"
"โอเค เดี๋ยวพี่จะเข้าไปเอาอาวุธออกมาจากหลังบ้าน  พี่จะแอบอยู่หลังประตูนะ  ท่าไม่ดีเมื่อไหร่ส่งเสียงร้องดังๆเลย"
ช่างตัดผมตัดต่ออีกหน่อย  จากนั้นปิดแบตเตอเรียนเสียบเข้าที่แขวน  ปรับระดับเตียงผมให้อยู่ในท่านอนเตรียมจะโกนหนวด  ทำท่าเป็นรับโทรศัพท์แล้วเดินหายไปหลังร้าน
ผมเอียงคอเล็กน้อยลอบมองไปยังฝั่งตรงข้าม   จริงดังคาด!! ชายหมวกไบเล่ดำวางหนังสือพิมพ์ลง  หันซ้ายแลขวามองด้วยสายตาระแวดระวัง  ก่อนจะตัดสินใจเดินข้ามมายังร้านตัดผม  วูบเดียวที่เห็นแววตาของเขาสะท้อนให้เห็นว่าชายผู้นี้มีจุดประสงค์อะไรบางอย่างซึ่งผมก็เดาไม่ถูก  เขามองซ้ายมองขวาอย่างระวังอีกครั้งก่อนจะเดินเข้ามาในร้านตัดผม  ผมใจเต้นระทึก  เสียงหักใจตึกๆระรัวดังระงมในหัวผมไปหมด รู้สึกว่าเหงื่อเย็นๆซึมที่แผ่นหลัง  ถึงจะเตรียมพร้อมจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันไว้แล้ว  แต่คิดไม่ถึงว่าพอกำลังจะเจอจริงๆจะตื่นเต้นขนาดนี้    ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อถึงเวลาที่มันจะลงมือ  ผมจะกล้าพอที่จะส่งเสียงร้องหรือเปล่า
ตอนนี้มันมาหยุดยืนข้างๆเบาะที่ผมเอนกายอยู่  ผมทำแกล้งหลับตาทำเป็นไม่ได้สังเกต
"น้องครับ"มันเรียกผมด้วยเสียงเย็นยะเยียบชอบกล
ผมลืมตาขึ้นมามองหน้ามัน  มันเป็นชายกลางคนเคราดก  มีรอยมีดกรีดหนึ่งรอยที่แก้มซ้าย  แววตาเปล่งประกาย  พยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุด  ข่มความตื่นตระหนกไว้  รู้สึกปากตัวเองเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ "มีอะไรเหรอครับ"
"คืออย่างนี้" มันแสยะยิ้มโชว์ฟันหน้าเลี่ยมทองซี่หนึ่ง  มือขวาล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกงแสล็คของมัน
หัวใจเต้นเร็วแต่ความคิดผมเร็วกว่า  ผมพยายามเดาว่าสิ่งที่มันจะล้วงออกมาคืออะไร   อาจจะเป็นผ้าชุบยาสลบเอาไว้โปะหน้า  อาจจะเป็นมีดมาจ่อให้ผมทำตามคำสั่ง  ขอบคุณที่พี่ช่างตัดผมเอนเบาะไว้ให้  หากเป็นมีดผมจะได้กลิ้งหลบทิ้งตัวลงข้างๆเบาะได้ง่าย  ถึงตอนนั้นก็เรียกพี่ช่างตัดผมออกมา  แต่ถ้าเป็นปืนล่ะ ชิบหาย! ผมลืมคิด  แต่ปืนไม่น่าใส่กระเป๋ากางเกงได้  ไม่มีดก็ยาสลบนี่ล่ะวะ  หรืออาจจะเครื่องช็อตไฟฟ้า ไม่น่าใช่กระเป๋ามันเล็กไป
ทันใดนั้น  มือของมันโผล่พ้นกระเป๋าออกมาอย่างรวดเร็ว!  เสี้ยววินาทีนั้นผมเหลือบเห็นสิ่งที่ติดมือออกมา  สัญญาชาตญาณสั่งให้ผมกลิ้งตัวลงจากเบาะ  ร่างร่วงลงกระแทกพื้น  แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง  
ในมือของชายหมวกไบเล่ดำเป็นแค่นามบัตรเล็กๆใบหนึ่ง    "เป็นอะไรมากไหม" เขาทำท่าจะเข้ามาช่วยแต่ผมโบกมือปฏิเสธ  พยุงตัวลุกขึ้นเองได้ "ผมตกใจไปหน่อย"
"ขอโทษนะครับที่ทำให้น้องตกใจ" เขายิ้มอวดฟันเลี่ยมทองอีกครา "อ่านี่นามบัตรครับ"
ผมค่อยๆเอื้อมไปหยิบอย่างระวัง  ไม่รู้ตัวบัตรฉาบสารระเหยอะไรหรือเปล่า
"พี่เปิดผับอยู่ในเมือง"
"บาร์เกย์เหรอครับ" ผมถาม สังเกตจากรูปเงาผู้ชายกล้ามใหญ่ข้างๆชื่อ Banana Boys Bar โพสต์ท่าทายั่วยวนใจเกย์
"ใช่ ตอนนี้ต้องการเด็กหนุ่มหน้าตาดีจำนวนมาก  แต่ในเมืองเด็กนักศึกษามันโก่งค่าตัวกันเกินไป  จะเอาเด็กต่างด้าวก็ไม่ไหว  พี่ก็เลยก็ต้องมาหาเด็กต่างอำเภอแบบนี้แหละ  งานสบายรายได้ดีเลยนะ  ถ้าเต้นเป็นด้วยค่าตัวยิ่งงามเลย"
"ไม่เป็นไรล่ะครับ" ผมส่งนามบัตรคืนให้ "ผมไม่นิยมแนวนี้เท่าไหร่"
"เฮ้ย เก็บไว้เถอะ เอาไปคิดดูดีๆก่อน  สังคมเดี๋ยวนี้   งานแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ไม่ได้เสียหายอะไร  บาร์พี่มีแค่ยั่วน้ำลาย  ไม่มีการอ๊อฟเด็กแน่ไม่ต้องห่วง   เงินดีนะเว้ย"
"อ่าได้ครับ  งั้นผมจะเก็บไว้" ผมเห็นว่าเก็บไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร  และเขาจะได้ไปเสียที "หน้าพี่ไปโดนอะไรมาล่ะครับ"
"อ๋อ รอยที่แก้มนี่เหรอ  ธุรกิจกลางคืนก็อย่างงี้แหละ  วันดีคืนดีใครเมาคลั่งขึ้นมาก็ไม่รู้  แต่น้องมาทำงานกับพี่ไม่ต้องห่วงไป  ร้านพี่ดูแลสวัสดิภาพพนักงานดีเยี่ยม  สนใจเมื่อไหร่โทรมาตามเบอร์ในบัตร  โทรได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง"
"ครับ"
"พี่ไปก่อนล่ะ  อยู่นานไม่ดี คนแถวนี้เขามองว่าพี่เป็นพวกลักเด็กอยู่ด้วย" พูดจบชายหมวกไบเล่ดำก็วิ่งออกจากร้านไป
ผมลุกขึ้นมานั่งที่เบาะ หัวเราะกับความตื่นตูมจนถึงกับกลิ้งตกเก้าอี้ตัดผมเมื่อครู่  ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กหนุ่มหน้าตาดีถูกเพ่งเล็ง  สรุปแล้วชายคนนั้นก็ไม่ใช่คนฆ่าเมียตามขี้ปากชาวบ้าน  ส่วนเรื่องเด็กหนุ่มหลายคนหายตัวไปก็อาจเป็นเพราะแอบเข้าเมืองไปทำงานบาร์เกย์   เรื่องแบบนี้คงไม่ค่อยอยากบอกทางบ้านเท่าไหร่
"มันไปแล้วเหรอ" ช่างตัดผมออกมาจากหลังร้าน มือหนึ่งถือมีดโกน อีกมือหนึ่งถือหม้อมีด้าม  ราวกับอัศวินพร้อมดาบและโล่คู่ใจ  เห็นภาพนี้แล้วทำเอาผมแทบขำกลิ้งตกเก้าอี้
"เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น" ช่างตัดผมยังคงหน้าตื่น  เดินไปรูดผ้าม่านปิดกระจกหน้าร้าน ชะเง้อหน้าออกไปดูนอกร้าน  "มันไม่อยู่แล้วนี่" จากนั้นหันกลับมาถามผม "เป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม"
"เปล่าเลยครับ  ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้เป็นโรคจิตฆ่าเมียเหมือนที่ชาวบ้านเล่ากันหรอกครับ"
"อ้าว!" ช่างตัดผมอุทาน "ไหนเล่าให้ฟังหน่อยเรื่องมันเป็นยังไง"
"เขามามองหาเด็กหนุ่มหน้าตาดีไปทำงานบาร์เกย์ในเมืองแค่นั้นเองครับ"
"อย่างนี้นี่เอง" ช่างตัดผมทำท่าเข้าใจ จากนั้นก็หัวเราะก๊ากออกมา "เราก็ทำเอาพี่ตื่นตูมไปด้วย  อุตส่าห์ไปเอาอาวุธหลังบ้านมาเตรียมต่อสู้  ใครรู้เข้านี่อายแย่เลย"
"เหตุการณ์ไม่คาดฝันมักจะไม่เกิดตอนเราระวังตัวดีๆนะครับ" ผมออกความเห็น
"ใช่ๆ  เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็มักจะเกิดตอนเราไม่ระวังตัว"
ทันใดนั้นผมรู้เสียวแปลบที่ลำคอ  รู้ตัวอีกทีเลือดก็ฉีดพุ่งออกจากรอยกรีดที่คอโค้งลงหม้อที่รองไว้อย่างแม่นยำ  มือนิ่มและไว  กะระยะได้พอดีได้ขนาดนี้  แสดงว่าผมไม่ใช่รายแรก เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็มักจะเกิดตอนเราไม่ระวังตัวจริงๆ
"ไอ้พวกหน้าตาหล่อๆก็เหมือนกันหมดทั้งโลกนั่นแหละ  ชอบเล่นชู้กับเมียชาวบ้าน  กูละเกลียดนัก!!"
คนนี้ต่างหาก...โรคจิตฆ่าเมียตัวจริง

--------------------------
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นบนฟูกในห้องนอนของผมเอง  หอบหายใจอย่างใจหาย รีบคลำดูคอหอยตัวเองพบว่ายังเรียบเนียนสนิทอยู่ดีอยู่  เป็นฝันที่เหมือนจริงอะไรขนาดนี้  ผลข้างเคียงจากการฝันร้ายทำให้คอแห้งผาก  ผมเดินลงบันไดไปข้างล่าง กะจะหาน้ำอะไรหวานๆในตูดื่มเติมพลังงานเสียหน่อย
แตะ  ระหว่างจะเดินออกจากร้านก็สวนกับแม่ที่กำลังสั่งงานลูกน้องพอดี
"ถ้าลูกจะไปตัดผมยังไงก็ระวังตัวไว้หน่อยนะลูก   พักนี้มีข่าวเด็กหนุ่มราวๆลูกหายตัวไปบ่อย  โดยเฉพาะพวกหน้าตาดีๆหน่อย  คราวก่อนก็มีเด็กหายแถวๆร้านตัดผมนี่แหละ"
"ผมจะไม่ตัดผมแล้วแม่"ผมพูดอย่างมั่นใจ  "ผมจะไว้ผมยาวให้เหมือนพวกยิปปี้เลย!"

เนื่องจากวันนี้เป็นวันแม่ จะจบโหดๆเลยก็กะไรอยู่  ขอจบแบบ Happy panic ending ก็แล้วกันนะ ^ ^


วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ใครฆ่า?


"ห้ามใครแตะต้องศพเด็ดขาด" ผมสั่งอย่างเฉียบขาดไม่แพ้คำว่าเด็ดขาด
ผมและเพื่อนร่วมคณะถ่ายทำหนังสั้นแนวสยองขวัญอีกสี่คนยืนล้อมรอบอดีตเพื่อนผู้หนึ่ง  ที่บัดนี้นอนคว่ำหน้า  ด้ามมีดปักโชว์หราอยู่กลางหลัง  ของเหลวสีแดงไหลเป็นทางไปตามพื้น  โต๊ะอาหารถูกดันไปจากตำแหน่งเดิม  ดูได้จากรอยครูดกับพื้นไม้จางๆ คงเป็นจังหวะที่จิมมี่ล้มลงตอนโดนแทง  บนเตาแก๊สมีหม้อสปาเก็ตตี้เพิ่งทำเสร็จหมาดๆ  นุ่มเพื่อนสาวร่างสูงโปร่งร่างสั่นสะท้าน รีบผละวิ่งออกจากห้องครัวไปทันที  เธอคงทำใจไม่ได้ที่ได้เห็นคนถูกฆ่าตายจริงๆเป็นครั้งแรก  และคนๆนั้นก็เป็นแฟนหนุ่มของเธอ
"ให้ตาย!  บ้าชะมัด บ้า บ้า บ้า!"  ท็อปเริ่มหยิกทึ้งผมตัวเอง  เดินไปเดินมา
"ใครเป็นคนทำวะเนี่ย" โตร้องถามในสิ่งที่คนรู้คงไม่อยากตอบ
"มีโจรแอบเข้ามาหรือเปล่า โอ้!  ฉันว่าเราควรจะโทรแจ้งตำรวจ" เชอร์รี่ว่า
"โจร!" โตทวนคำอย่างตื่นตระหนก "ไอ้ท็อป เอ็งรีบไปดูนุ่มเร็ว อยู่คนเดียวเธออาจจะโดนทำร้ายได้นะเว้ย"
"เอ็งก็ไปเองสิวะ  มาใช้ข้าทำแมวอะไร!" ท็อปโวย
"เดี๋ยวฉันไปดูให้เอง" เชอร์รี่ก็ปลีกตัวออกจากห้องครัวไป  โตเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร  แต่แล้วก็บ่นออกมา "บ้าชะมัด  แถวนี้ไม่มีสัญญาณเลย"
"ทำยังไงกันดีล่ะทีนี้" ท็อปถาม
"เราควรอยู่รวมกันไว้ก่อน  แถวนี้อาจมีโจร" โตเสนอแนะ
"ไม่มีโจรที่ไหนหรอก" ผมพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด โดยอาศัยประสบการณ์การเขียนบทฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนมาก่อน เพื่อนสองคนหันมามองหน้าผมเป็นเชิงถามไถ่ว่ารู้ได้อย่างไร  "ทางเข้ามีแค่ด้านหน้า ต้องผ่านห้องนั่งเล่นที่พวกเรานั่งดูหนังกันอยู่   อีกอย่าง   จิมมี่โดนมีดเสียบเข้าข้างหลัง โดยไม่ทันตะโกนขอความช่วยเหลือ  แสดงว่าคนที่แทงจิมมี่ได้ต้องเป็นคนที่จิมมี่ไว้ใจ"
"เอ็งหมายความว่า  หนึ่งในพวกเราเป็นคนฆ่าจิมมี่งั้นเรอะ" โตถามอย่างไม่เชื่อหู
"ระหว่างนี้  แต่ละคนต่างก็แวบออกมาเข้าห้องน้ำบ้าง ห้องครัวบ้าง  ใครคนหนึ่งคงฉวยโอกาสนั้น แวบเข้ามาฆ่าจิมมี่ตอนกำลังทำข้าวกลางวันให้เราอยู่"
"ไอ้ท็อป  เมื่อกี้เอ็งลุกไปฉี่บ่อยกว่าเพื่อนเลยนะเว้ย  ท่าทางมีพิรุธ" โตว่า  มองหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
"เฮ้ย!  อย่ามากล่าวหาข้า ปรกติข้าก็ฉี่บ่อยอย่างนี้อยู่แล้ว  ถ้าถามว่าใครฆ่าจิมมี่ ข้าว่าเอ็งนั่นแหละ เอ็งมีเหตุจูงใจ นุ่มเลิกกับเอ็งแล้วไปคบกับมันนี่หว่า"
"ว่าไปเรื่อย  ข้ากับนุ่มตกลงกันเข้าใจแล้วว่าจะเป็นแค่เพื่อนกัน  ข้ายินดีกับไอ้จิมมี่ด้วยซ้ำที่มันกับนุ่มไปกันได้ดี"โตอธิบาย
"ฟังไม่ขึ้นว่ะ" ท็อปขัด "แฟนเลิกกับตัวเองมาคบกับเพื่อน เป็นใครมันก็ต้องรู้สึกรับไม่ได้บ้างล่ะวะ"
"หาเรื่องกันนี่หว่า!" โตเดินเข้าไปหาท็อป  ท็อปก็ยืดอกขึ้น  พร้อมจะวางมวย
"อย่าเพิ่งทะเลาะกัน  ตอนนี้ยังสรุปไม่ได้หรอกว่าใครฆ่า" ผมพูด  โตผละออกมาจากท็อปอย่างไม่สบอารมณ์  ผมถามต่อว่า "ใครเป็นคนออกความคิดให้มาถ่ายหนังสั้นกันที่นี่"
"ฉันเอง"เสียงเชอร์รี่ดังขึ้น  ทุกคนหันไปมองเด็กสาวที่เพิ่งเดินเข้าประตูมา "ฉันรู้จักกับเจ้าของบ้านหลังนี้  นานๆทีเขาจะแวบเข้ามา  ฉันเห็นว่าสถานที่มันเหมาะกับตัวหนัง ไม่ต้องเสียตังค์  และวันนี้ก็วันเกิดของเธอด้วย ฉลองวันเกิดให้เธอที่นี่คงจะแจ๋วมากมาย" เชอร์รี่หมายถึงผมซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิด " พวกเธอมีสิทธิ์สงสัยได้ว่าฉันทำ  แต่โทรแจ้งตำรวจแล้วใช่มั้ย"
"แถวนี้ไม่มีสัญญาณ" โตตอบ "แล้วนุ่มล่ะ"
ทันใดนั้นเอง ผมได้ยินเสียงนุ่มหัวเราะดังออกมาจากห้องน้ำ  ฟังดูเหมือนเสียงหัวเราะเพราะความขำขัน    ผม โต และท็อปมองหน้ากันอย่างงุนงง
"อันที่จริงแล้วเธอมีอาการทางจิตอ่อนๆน่ะ" เชอร์รี่ในฐานะเพื่อนสนิทของนุ่ม "เห็นแฟนเป็นศพอยู่ต่อหน้า  นุ่มเลยสะเทือนใจแล้วเกิดภาวะสับสนทางอารมณ์"
"นุ่มอยู่คนเดียวจะดีเหรอ" โตถามอย่างเป็นห่วง
"นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้"
"นุ่มเป็นโรคจิตอ่อนๆ  แถมยังเป็นคนเจอศพคนแรกอีกด้วย  นุ่มอาจจะเป็นคนทำ" ท็อปตั้งข้อสังเกต
"ไอ้บ้านี่! เอาแต่โทษคนอื่นไปเรื่อย" โตเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อ  ท็อปผลักโตออก
"เอาละ!" ผมขึ้นเสียง"ตอนนี้ทุกคน  มีข้อให้ถูกสงสัยว่าฆ่าจิมมี่ได้ทั้งนั้น   เอาแบบนี้ เท่าที่สังเกตดูตอนนี้ยังไม่มีใครเปลี่ยนเสื้อผ้า  ตอนใครคนนั้นฆ่าจิมมี่อาจมีเลือดกระเซ็นติดเสื้อได้  เราจะจับคู่กับโต  เชอร์รี่จับคู่กับท็อป  สำรวจดูอีกฝ่ายว่ามีรอยเลือดติดอยู่หรือไม่"
เริ่มการสำรวจ  ผมสวมเสื้อยืดสีแดงเลือดหมูกับกางเกงยีน  โตตรวจไม่พบรอยที่น่าสงสัย ผมตรวจโตบ้าง  เขาสวมเสื้อกล้ามสีฟ้า ไม่เจอรอยเลือดบนเสื้อเหมือนกัน
"ท็อป ที่เสื้อเธอมีรอยหยดแดงๆติดอยู่นะ" เชอร์รี่พูดขึ้น
ผมกับท็อปหันไปมองในทันที  ท็อปเริ่มมีท่าทีเลิ่กลั่ก กระชากเสื้อยืดสีขาวออกมาจากมือของเพื่อนสาว "นี่..นี่ ไม่ใช่หรอก  นี่มันคงเป็นรอยหยดสีตอนทำงานที่คณะน่ะ ตั้งนานแล้ว"
"ไหนดูซิ!" โตเดินดุ่มๆเข้าไปดึงเสื้อของท็อปดู ใช้นิ้วสัมผัสมัน "รอยหยดแดงๆติดที่เสื้อ  ยังดูใหม่ๆอยู่เลย  เอ็งเป็นฆ่าจิมมี่ใช่มั้ยไอ้ท็อป!!"
"เปล่า! ข้าไม่รู้  ข้าไม่รู้ว่าเสื้อข้าเปื้อนได้ยังไง  ข้าโดนใส่ร้าย"
"อย่ามาปากแข็ง!" โตตะคอก   กระชากคอเสื้อ
"หลักฐานมันฟ้องว่าเอ็งเป็นคนฆ่า" ผมพูด  "ทำไมเอ็งต้องฆ่าจิมมี่ด้วย"
"ข้าจะไปรู้ได้ไง  ข้าไม่ได้ทำโว้ย!" ท็อปโวย
ขณะนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น  ขัดจังหวะการโต้เถียงภายในห้อง  ผมล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง  กำลังจะกดรับอยู่แล้ว  แต่ทันใดนั้นผมก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้  ผมกดตัดสายทิ้ง  ยังไม่ใช่เวลาคุย
"โต  ข้าขอดูโทรศัพท์มือถือเอ็งหน่อย"
"ทำไม.... มีอะไรเหรอ"โตเริ่มมีท่าทีอึกอัก
"ตอนแรกเอ็งบอกว่าไม่มีสัญญาณไม่ใช่เหรอ" ท็อปพูดและเริ่มลงมือค้นกระเป๋ากางเกงโตทันที  โตขัดขืน  ผมเลยไปช่วยล็อคเขาไว้อีกแรงหนึ่ง  ในที่สุดท็อปก็เอามือถือมันออกมาดูได้สำเร็จ
"เป็นพยานนะ" ท็อปยื่นมือถือให้ผมดู "มือถือมันมีสัญญาณตั้งสามขีด"
"โต  เธอตั้งใจจะไม่ให้เราโทรแจ้งตำรวจใช่มั้ย" เชอร์รี่ถาม มองเขาด้วยสายตาเสียดแทง
"เมื่อกี้มันไม่มีสัญาณจริงๆ  แต่ตอนนี้มันมีสัญญาณแล้ว" โตอธิบาย
"แก้ตัวน้ำขุ่นๆ!" ท็อปเป็นฝ่ายตะคอกบ้าง
ตอนนี้ผมมองเพื่อนชายทั้งสองคน  คนหนึ่งมีวัตถุพยานบนเสื้อ  แต่อีกคนนั้นมีพิรุธจากการกระทำ  ผมคิดใตร่ตรองดูแล้ว   เพียงรอยเลือดบนเสื้ออาจจะโดนคนอื่นมาป้ายใส่ก็ได้  คดีนี้ควรชี้ตัวคนร้ายจากการกระทำจึงจะถูก
"โต" ผมชี้หน้าเขาอย่างมั่นใจ "เอ็งนั่นแหละที่เป็นคนฆ่าจิมมี่ มีอะไรจะสารภาพไหม"
ม่านตาของโตขยายออก  สีหน้าพรั่นพรึงคล้ายกับเจอเรื่องตื่นตระหนกสุดขีด
"ข้าไม่มีอะไรจะสารภาพ  ถ้าเอ็งอยากรู้ว่าใครฆ่า  เอ็งหันไปถามคนข้างหลังเอ็ง"
ผมประหลาดใจในทันที  หันหลังไปมองตามที่โตบอก
"เอ็งนั่นแหละ!!!" เสียงตะคอกแหบแห้งตอบกลับปะทะหน้าผมจนล้มหงายไปข้างหลัง
จิมมี่!!  ยืนจ้องผมด้วยสองตาเหลือกขาวดุจผีจากนรก  ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใคร่เอาชีวิต  เนื้อตัวเปรอะด้วยของเหลวสีแดง
วินาทีนั้นผมใจหาย  เหมือนใจมันหายไปจริงๆ  กลัวตัวเองจะตาย  แต่ก็กลัวที่จะหายใจต่อไปจริงๆ
ผมอยากรีดร้องระบายความตื่นตระหนกครั้งนี้ออกมา  แต่ส่งเสียงอะไรไม่ออกเลย   ความอัดอั้นทั้งหมดกระหน่ำอัดหัวใจ  เกินกว่าก้อนเนื้อขนาดเท่ากำมือดวงนี้จะรับมือไหว  ผม... ผม....

บ้านเล็กกลางป่าหลังนี้เคยมีคนตาย
เหตุเกิดเมื่อนักศึกษากลุ่มหนึ่ง  มาถ่ายทำหนังสั้นแนวสยองขวัญ ซึ่งเป็นโปรเจคก่อนจบการศึกษาของคณะสื่อสารมวลชน
ซึ่งในวันที่เกิดเหตุ  ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของคนเขียนบทประจำกลุ่ม
เพื่อนๆเลยวางแผนเซอร์ไพรส์วันเกิด   ตามแบบฉบับหนังสืบสวน  ฆาตกรรม  และสยองขวัญวิญญาณอาฆาต  เพื่อจะได้สมกับฐานะคนเขียนบท
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง กลัวจะหลุดหัวเราะทำแผนแตก  เลยปลีกตัวออกมารับหน้าที่เตรียมเค้กวันเกิดข้างนอก
แต่แล้วเมื่อมาถึงฉากเด็ดของการแสดง  คนที่แกล้งตายฟื้นขึ้นมาสร้างความตกใจ
เจ้าของวันเกิดตกใจเกินไป  วิญญาณเลยออกจากร่าง  วันคล้ายวันเกิดตรงกับวันตายพอดี
ถ้าถามนักศึกษากลุ่มนี้ว่า  สรุปแล้ว  ใครฆ่า?
คำตอบที่จะได้ก็คือ "เอ็งนั่นแหละ!!!"

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ดูคนออก



ณ ภัตตาคารเสต็คกลางเมืองแห่งหนึ่งในยามค่ำ   ชายหนุ่มเน็กไทด์แดงผมหวีเรียบแปล้นั่งอยู่ตรงข้ามกับหญิงสาวงามเฉิดฉาย  ร่างสูง  แต่หุ่นดีมีเนื้อมีนวลคล้ายผู้หญิงฝรั่ง  ซ่อนร่างอยู่ในชุดแซคสีขาวที่ดูมีระดับ  เผยส่วนเว้าส่วนโค้งให้เห็นพอกรุ้มกริ่ม พวกวัยรุ่นเห็นแล้วอาจรู้สึกเฉยๆ  แต่สำหรับชายวัยทำงานนั้นโดนดึงดูดสายตาได้ดีนัก  พอเลิกงานผู้บริหารระดับกลางของบริษัทประกันภัยก็มาบริหารเสน่ห์ต่อ  เผยรอยยิ้ม  บรรยากาศภายในร้านสว่างไสวด้วยแสงสีแสดนวลตา ส่องถึงทั่วทุกมุมร้าน   หญิงสาวยิ้มตอบ
"คุณเลือกร้านใช้ได้เลยทีเดียว" ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ "บรรยากาศดูดีมีระดับ  ราคาอาหารก็ไม่แพงเท่าไหร่"
"ค่ะ" หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนหวาน "ร้านโปรดฉันเลย  พอรู้สึกชอบฉันก็อยากแนะนำคนอื่นต่อค่ะ"
"มื้อนี้ผมเลี้ยงนะครับ"
"หารครึ่งดีกว่านะคะ" หญิงสาวว่า "เราเพิ่งรู้จักกัน ฉันถือเป็นเคล็ดค่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ  มื้อแรกให้ผมเลี้ยง เพื่อเป็นเกียรติที่ได้รู้จักกับคนสวยน่ารักอย่างคุณ  เอาไว้มื้อหน้าค่อยเลี้ยงผมตอบก็ได้" ความจริงชายหนุ่มเน็คไทด์แดงก็กะจะเลี้ยงทุกมื้ออยู่แล้ว
ระหว่างรออาหาร  ทั้งสองจิบไวน์ประกอบการสนทนา  ในความรู้สึกชายเน็คไทด์แดง เวลาผ่านไปไวราวกับถูกเร่ง   ชายหนุ่มได้รู้จักในแง่มุมต่างๆของหญิงสาวผู้นี้มากขึ้น  เธอชื่อ เสมอใจ  เธอทำงานเป็นพนักงานธนาคาร เวลาว่างๆเธอชอบอ่านหนังสือ  ทำอาหาร  ช่วงนี้เธอกำลังคร่ำเคร่งศึกษาเรื่องการทำเบเกอรี่อยู่   นอกจากที่ทำงานแล้วเธอเป็นคนติดบ้าน   ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงประเมินผู้หญิงคนนี้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงสไตล์เฉี่ยวโฉบไปมา  เธอเหมาะจะมาเป็นแม่ของลูกมากกว่าคู่ควง  ซึ่งจุดนี้ต้องใช้เวลาดูกันนานอยู่  ชายหนุ่มมักเป็นฝ่ายยิงคำถามให้หญิงสาวเล่าตัวตนออกมา  นี่คือเทคนิคประการหนึ่งที่ทำให้เขาจับจุดมัดจัดผู้หญิงหลายคนที่เข้ามาในชีวิตเขาได้  เหมือนกับการเล่นพนันที่อีกฝ่ายหงายไพ่ในขณะที่ตนคว่ำไพ่อยู่ในมือ เขาได้เปรียบเห็นๆ
"ชักจะนานแล้ว" ชายหนุ่มเหลือบดูนาฬิกา  ในความรู้สึกเหมือนผ่านไปแวบเดียว  แต่เขาดูจากเข็มนาทีในนาฬิกาข้อมือเป็นหลัก "คนในร้านก็ไม่เยอะนะ"
"วันนี้ช้ากว่าปรกติจริงๆ  แต่เดี๋ยวก็คงมาแล้วค่ะ"
พูดไม่ทันขาดคำ บริกรชายผมสั้นเกรียนร่างผอมเกร็งในเสื้อกั๊กสีแดงเดินตรงมาที่โต๊ะ เสต็กสองจานในถาดใหญ่บนมือสองข้างก็ถูกนำมาเสิร์ฟ  มันถูกวางบนโต๊ะแล้วเปิดฝาเหล็กครอบจานออก  กรุ่นไอควันจากเนื้อย่างหอมฉุยลอยขึ้นมากระทบจมูก
"ทำไมนานอย่างนี้ล่ะ" ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่พอใจ  "ลูกค้าก็ไม่ได้เยอะอะไร  ปล่อยให้รอจนแสบท้องไปหมด"
"ขอโทษด้วยครับ" บริกรชายค้อมตัวปะหลกๆ ยิ้มแห้งๆ
"สเต็กหมูของคุณผู้หญิงสั่งมีเดียมไป  แต่ย่างมาซะแห้งยิ่งกว่าเวลดัน  ใช้ไม่ได้เลย"
"ใจเย็นๆดีกว่าค่ะ  เรื่องแค่นี้เอง" หญิงสาวเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
"ไม่ได้นะครับ  เราเป็นผู้บริโภค เรามีสิทธิที่จะได้รับบริการที่ดี  เพราะเราเป็นฝ่ายเสียเงินให้  จะให้เราไปง้อเขาผมว่าไม่ถูก  ขอโทษนะครับ" ชายหนุ่มเลื่อนจานสเต็กของหญิงสาวเข้ามา  เอามีดของตนผ่าดูข้างในของสเต็คเนื้อ  แห้งกรังดูเห็นริ้วเนื้อเป็นซี่ๆ
"เห็นมั้ยว่ามันแห้งขนาดไหน  เอาไปเปลี่ยนมาใหม่"
"อ่า..ครับ  แต่ว่า..."
"ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง ไปเรียกเจ้าของร้านมาคุย"
"ไม่เป็นไรค่ะ  ฉันจะทานสเต็คหมูจานนี้เอง"
"แต่ว่า..."
หญิงสาวตัดบทโดยหันไปคุยกับบริกร  "ทำงานต่อเถอะค่ะ"
บริกรชายกล่าวขอบคุณก่อนผละออกไป  ชายเน็คไทด์แดงยังอารมณ์กรุ่น แต่พอหันหน้ามามองหญิงสาว  สีหน้าของเขาก็อ่อนลง
"ขอโทษด้วยนะครับ  ผมติดนิสัยมาจากการทำงานเป็นซุปเปอร์แอดไวเซอร์ของบริษัท  เลยติดนิสัยเจ้ากี้เจ้าการกับการบริการของเด็ก"
"อย่าคิดมากเลยค่ะ  แต่ฉันว่าคุณกล้าหาญดีนะ  กล้าแสดงจุดยืนของตัวเอง"
ชายหนุ่มยิ้มอย่างภูมิใจ  ก่อนรับประทานเขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน  เมื่อครู่เขากระดกแก้วไวน์เพลิน ดื่มไปหลายแก้ว  ติดนิสัยกระดกแก้วเหล้ามาจากการเที่ยวกับลูกน้องทุกเย็นวันศุกร์  เขาเดินไปเข้าห้องน้ำ บรรยากาศคล้ายๆกับห้องน้ำโรงแรมสี่ดาว  ดูมีมาตรฐาน จำนวนห้องกำลังดี รองรับลูกค้าได้สบาย ทำธุระ  ล้างเมือเสร็จ เขาเดินผลักประตูออกไป เผอิญบานประตูไปกระแทกใส่ชายคนหนึ่งข้างนอกล้มลง
"ขอโทษครับๆ" ชายหนุ่มเน็กไทด์แดงกุลีกุจอออกจากประตูไปช่วยพยุงชายคนนั้นขึ้น คนที่ถูกประตูกระแทกอยู่ในช่วงวัยกลางคน เคราดก สวมเสื้อกั๊กสีดำ กางเกงยีนส์ และหมวกแก๊ปสีน้ำเงิน ดูลักษณะเหมือนก้ำกึ่งสาวกเพลงเพื่อชีวิต
"ไม่เป็นไรครับ"ชายสวมหมวกแก็ปยิ้มอ่อนโยน แต่พอกำลังจะยืนขึ้นสุดก็ทำท่าจะล้มอีก   เซไปคว้ากอดร่างชายเน็คไทด์แดง  มือเปะป่ายไปมาค่อยพยุงตัวขึ้นยืนได้ "ต้องขอโทษคุณบ้างแล้ว  ผมเป็นความดันต่ำครับ ผลข้างเคียงจาการใช้ยานอนหลับน่ะครับ ลุกยืนแต่ละทีมีปัญหาตลอด"
"ไม่เป็นไรครับ  ถือว่าเสมอกัน" ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงพูด  ชายสวมหมวกแก๊ปหัวเราะฮ่าๆ  ก่อนขอตัวเข้าไปในห้องน้ำ  ชายเน็คไทด์เดินกลับมาที่โต๊ะ  รู้สึกถูกชะตากับชายสวมหมวกแก๊ปเมื่อครู่อย่างบอกไม่ถูก  การแต่งกายตัดสินเนื้อแท้ของคนไม่ได้จริงๆ
ลงมือรับประทาน  สนทนาไปพลาง ระหว่างนั้นก็สังเกตบุคลิกท่าทางของหญิงสาวไปพลาง  เป็นการศึกษาตัวตนของหล่อนอีกทางหนึ่ง
"ให้ผมเดานะ" ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงเอ่ยขึ้น หลังกลืนเสต็คคำโต "คุณคงผ่านการเดทกับผู้ชายมาเยอะแล้วใช่ไหม"
"ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะคะ" เธอหยุดรับประทาน สบตาเขา ม่านตาเธอขยาย
"บุคลิกท่าทางของคุณดูแบบว่า.." เขาพยายามหาคำอธิบาย "ไม่รู้สิ  คุณดูไม่มีความประหม่าอะไรเลย  นั่งหลังตรง  ไม่รีบและไม่ช้าจนเกินไป เหมือนถูกฝึกมาดี"
"ดูท่าคุณอ่านคนเก่งไม่เบา" หญิงสาวโน้มหน้าเข้ามาหาเล็กน้อย  รอยยิ้มจางๆเริ่มปรากฎ
"ผมทำงานกับคนนี่ครับ  และผมก็ดูออกด้วยว่าผมคงเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกของคุณ"
"ไม่หรอก" เธอปฏิเสธ หัวเราะระรี้ "ฉันก็ยอมรับว่ามีคนคุยด้วยเยอะ  เคยเดทกับผู้ชายมาบ้าง  แต่ก็ไม่ได้แทงกั๊กไว้เป็นตัวเลือกนะคะ  ผู้ชายเขาอยากทำความรู้จัก ฉันก็โอเค  แต่ก็ไม่เคยเจอใครที่ถูกใจเลย"
สิ่งที่หญิงสาวบอกเป็นไปตามที่ชายเน็คไทด์แดงคิดเอาไว้จริงๆ  เขาภูมิใจในความสามารถอ่านคนออกของตัวเอง  หญิงสาวคนนี้เหมาะสำหรับเป็นคู่ชีวิต  ซึ่งทุกวันนี้ไม่ได้จะเจอง่ายๆ  เขารู้ว่าขืนรีบเผด็จศึกในสองวันสามคืน เนื้อสมันจะตื่นหนีรอดกรงเล็บเสือไปได้  และเขาก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้น  เขาเริ่มรู้สึกอยากลองทำความรู้จักใครสักคนอย่างจริงจัง  สัมผัสตัวตนจริงๆมากกว่าสนุกไปคืนๆ
สเต็กทั้งสองจานหมด  ทั้งคู่สนทนาต่ออีกครู่หนึ่งก็ถึงเวลา  ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงยกมือเรียก
"น้อง  เช็คบิลล์ด้วย"
บริกรชายคนเดิมเดินมา  บิลล์ในถาดบอกราคาทั้งหมด  สเต็คไม่เท่าไหร่ แพงเพราะค่าไวน์มากกว่า  ชายหนุ่มเน็กไทด์แดงล้วงหากระเป๋าตังค์  นั่งล้วงอยู่สามสี่รอบค่อนยืนล้วง  จนกระเป๋ากางเกงปลิ้นออกมาว่างเปล่า  ลองล้วงอีกข้าง  เจอแต่โทรศัพท์มือถือ  เขามองหน้าบริกรชาย  มันมองตอบอย่างเย็นชาท้าทาย  เรื่องเรียกร้องสิทธิผู้บริโภคเมื่อครู่อาจได้ขึ้นอุทรณ์ต่อในชั้นศาลเตี้ย
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันออกให้"
หญิงสาววางแบงค์พันลงในถาดบิลล์ บริกรชายค้อมรับอย่างนอบน้อม  ส่งรอยยิ้มเย้ยหยันให้ชายเน็คไทด์แดงก่อนเดินจากไป  เขาทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ เหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามใบหน้า
"กระเป๋าเงินผมหาย"
"ใจเย็นๆนะคะ" หญิงสาวกล่าวอย่างเข้าใจ "คุณอาจจะทำตกไว้ในรถก็ได้"
"ผมจอดรถไว้  แล้วค่อยต่อรถไฟฟ้ามา"
"หืมม์  หรือว่าจะโดนล้วงในรถไฟฟ้า"
ชายหนุ่มเน็กไทด์แดงคิดตาม  ก็อาจจะเป็นไปได้   ในรถไฟฟ้าที่โดยสารเบียดเสียดกัน  เปิดโอากาสให้พวกมือเบาล้วงได้สบาย  
เงินทอนมาถึงโต๊ะ  หญิงสาวทิปบริกรห้าสิบกว่าบาท  อีกหนึ่งร้อยบาทให้เป็นค่ารถไฟฟ้าของชายหนุ่มเน็กไทด์แดง  บริกรชายยิ้มเยาะอีกรอบ ทำท่าถุยน้ำลายลับหลัง  ชายหนุ่มไม่กล้าพูดอะไรใส่
"อย่าคิดมากนะคะเรื่องกระเป๋า  ลองไปแจ้งความที่โรงพักนะคะ   ถ้าเผื่อโจรใจดีมันอาจจะส่งกระเป๋ากับบัตรคืนให้  คุณจะได้ไม่ต้องไปทำบัตรใหม่ "
"ขอบคุณมากครับ  เอาไว้คราวหน้าผมจะเลี้ยงคุณคืนให้ได้"
"ค่า" หญิงสาวหัวเราะกลั้ว "อย่าคิดมากล่ะ"
ทั้งสองคนจากกันด้วยดีหน้าภัตตาคาร  ถึงวันนี้จะผิดคาด เสียหน้า  แต่ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงก็ยังดีใจ อย่างน้อยเขาก็ดูคนไม่ผิด
------------------------------
ณ ลานจอดรถหลังภัตตาคารสเต็ก  ชายสวมหมวกแก๊ปยื่นนับแบ็งค์พันบนหลังมอเตอร์ไซต์ สนุกมือ  ระหว่างนั้นมีมือข้างหนึ่งมาสะกิดหลัง  ชายสวมหมวกแก๊ปสะดุ้งวาบคว้าเงินยัดในอกเสื้อ  พอหันขวับไปก็โดนประกบปากจูบทันที
"วันนี้ได้เยอะมั้ยจ๊ะ พี่" หญิงสาวหุ่นดีร่างสูงในชุดแสคสีขาวออดอ้อน
"มาไม่ให้สุ้มใส้เสียงเลยนะ   ไอ้นี่มันตังค์เยอะอยู่  เลือกเหยื่อใช้ได้เลยนี่"
"พี่ก็เก่งเหมือนกันแหละจ้ะ  ล้วงได้เนียนจริงๆ  ไอ้โง่นั่นรู้สึกดีกับพี่ด้วยซ้ำ"
"เอ็งต้องแต่งชุดเชยๆส่งตาหวานผู้ชายอีกกี่คนถึงจะพอวะ   ข้าเห็นแล้วขัดหูขัดตาชอบกล"
"โถ อย่าหึงไปเลยจ้ะพี่  อีกแค่สิบกว่าคนเราจะมีบ้านเป็นของเราเองแล้ว  อดทนหน่อย นะนะ นะจ๊ะ"
"เออๆ  ว่าแต่กระเป๋าของมันยังมีบัตรอะไรสำคัญๆอยู่  ส่งคืนทางไปรษณีย์ดีไหมวะ เห็นใจมัน"
"โยนทิ้งแม่น้ำดีกว่าพี่  เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องของเรา" หญิงสาวชุดแสคขาวตอบเรียบๆ

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Monster University รั้วมหาวิทยลัยในอนิเมชั่น



หลังจากโดนข้อสอบซ้อมหัวใจซะอ่วม ก็ไปปลอบใจตัวเองกับพ่อและก็พี่สาวด้วยหนังในโรงสักเรื่อง  ทีแรกครั่นตาครั่นใจใคร่อยากดู Wolverine revenge แต่แล้วก็ได้คำสารภาพหลุดปากมาจากพี่สาว(ช้างป่าไทย)ว่า "แอบโหลดบิทมาดูซูมก่อนแล้ว" แม่! อย่างนี้มันน่าแจ้งสวนสัตว์ เอ้ย! โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับข้อหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและแอบดูก่อนผมซะให้เข็ด  แล้วรอบหนังก็บีบบังคับให้มันตรงกับรอบฉายของ Monster University  ในใจไม่ค่อยใคร่อยาก(ไข้อยาก)ดูเหมือน wolverine แต่ก็เอาเหอะ ดูก็ได้ ไหนก็มาแล้ว  หนังเหมือนกัน




บริษัท Pixar ขึ้นชื่อนี้เมื่อไหร่เป็นต้องเชื่อใจได้ในเรื่องอนิเมชั่น  ถึงแม้ได้ดูตัวอย่างหนังในโรงมาหลายรอบและรู้สึกเฉยๆกับมัน  แต่เมื่อไหร่ที่ด่วนตัดสินไปแบบนี้ก็มักจะเจอกับหนังดีผิดคาดอยู่เรื่อยไป  หลังยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และโฆษณา Hilux Vigo Champ หนึบ ก็ได้รับชมกับ "ร่มน้อยสีฟ้า" โปรเจคเล็กๆที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์  น่ารัก ลุ้นไปกับชะตาของร่มฟ้าหนุ่มน้อยที่มีชีวิต  ไปตกหลุมรักกับร่มสาวสีชมพูที่มีความรู้สึก โดยที่ผองเพื่อนอย่าง ไฟจราจร  ฝาท่อน้ำ ร่องระบายน้ำหลังคา และคณะ  คอยเอาใจและตัวช่วยโดยไม่ไม่ตกเป็นที่สังเกตแก่คนอย่างเราๆที่เดินไปเดินมา  และเรื่องก็จบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง  เป็นหนังอนิเมชั่นสั้นๆที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องหลักเลย  เหมือน Pixar ต้องการเอามานำเสนอเฉยๆ  สวยงามและสร้างสรรค์ดีครับ

Monster University นั้นคือการบอกเล่าความเป็นมาก่อนจะมาเป็น Monster Inc   นักล่าเสียงกรีดร้องของเด็กๆ  ซึ่งบุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือนฮีโร่ เพราะโลกของสัตว์ประหลาดนั้นต้องอาศัยพลังงานความกลัวจากโลกมนุษย์มาใช้เป็นพลังงาน  ไม่ต่างจากน้ำมัน หรือไฟฟ้าบ้านเรา  หนังเล่าเรื่องราวของ  ไมเคิล ซาวาซกี้ เจ้าตัวเขียวตาเดียวหน้าตาน่ารัก  ใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆว่าโตขึ้นมาจะเป็น  นักล่าเสียงกรีดร้อง   ไมเคิลความมุ่งมั่นและพยายาม ชดเชยปมด้อยเรื่องความน่าเอ็นดูของตัวเองจนสามารถสอบเข้า Monster University คณะ เขย่าขวัญ ได้สำเร็จ  และที่นั่นเอง เขาได้เจอกับ เจมส์ แซลลิแวน  สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ขนปุยที่เกิดมาในตระกูลที่มีชื่อเสียง  พร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่น่ากลัวซึ่งเป็นที่อิจฉาของบรรดาสัตว์ประหลาด  ในภาคนี้หนังจะพาเราไปเยี่ยมชมในรั้วมหาวิทยลัยในรูปแบบของมอนสเตอร์น่ารักๆ  และจะได้รู้ว่าก่อนที่ทั้งสองจะเป็นซี้ปึกกัน Monster Inc. นั้น เคยเขม่นกันมาขนาดไหน

ถึงจะเป็นอนิเมชั่นที่มุ่งเจาะตลาดสำหรับเด็ก  แต่ดูไปดูมาแล้วสะท้อนให้เห็นสังคมนักเรียนในปัจจุบัน  เด็กบางกลุ่มเกิดมามีข้อจำกัดบางอย่างเลยมีแรงขับดันให้เรียนเก่ง และมีความรับผิดชอบ  เด็กบางกลุ่มมีพ่อแแม่หาทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว เลยไม่รู้จะดิ้นรนไปทำไม  ทำเท่ห์เอาหน้าเอาตาตามใจตัวเองไปวันๆ  อีกทั้งสะท้อนทัศนคติคนส่วนใหญ่ที่เดี๋ยวนี้มักตัดสินคนจากภายนอก   การที่สัตว์ประหลาดตัดสินอนาคตคนอื่นจากความน่ากลัวของรูปลักษณ์ ผมว่าไม่ต่างจากการที่คนเราตัดสินคนอื่น ตรงหน้าตา บุคลิก หรือความรวยเลย  และนอกจากนี้หนังยังต้องการจะสื่อถึงคนดูว่า  ความต่างไม่ใช่จะต้องหมายถึงความแปลกแยกหรือปมด้อยเสมอไป  แต่เราสามารถนำมาพัฒนาเป็นจุดเด่นได้    อย่างในเรื่องนี้ สัตว์ประหลาดที่ลงแข่งขัน " Scare Game" (ไปดูกันไหนหนังนะครับ อิอิ) ทีมเดียวกับไมเคิล ซัลลิแวนนั้น แต่ละตัวดูประหลาดแต่บ้องแบ๊วไร้น้ำพิษเอามากๆ  แต่ตอนหลังๆของเรื่องกลับดึงเอาจุดประหลาดของตนมาใช้หลอกให้คนอื่นกลัวได้สำเร็จ  ดูแล้วชวนให้นึกย้อนถึงการทำงานในชีวิตประจำวัน  ที่บ่อยครั้งคนอื่นมักมาด่วนตัดสินเรา(หรือไม่ก็เราตัดสินคนอื่น) ว่าทำนู่นไม่ได้หรอก นี่ไม่ได้นะ  ก็อยู่ที่เราเลือกเชื่อเลือกทำล่ะครับ  ออกจากโรงแล้วอยากทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง



วิพากษ์มาซะเยอะเลย เข้าเรื่องวิจารณ์กันบ้างดีกว่า  เรื่องความสนุกสนานแบบอนิเมชั่นน่ารักๆนั้นเรื่องนี้รับประกันได้ครับ  ไอเดียเรื่องโลกสัตว์ประหลาดและการออกแบบสัตว์ประหลาดแต่ละตัวแสดงถึงความสร้างสรรค์และใส่ใจของผู้สร้าง  มีมุกตลกแทรกมาอยู่เรื่อยๆ  ไม่ถึงขั้นขำก๊ากจนตกเก้าอี้  แต่ขำแบบพาเพลินเหมือนดื่มกาแฟเบอร์ดี้(มีก๊ากอยู่เหมือนกันนะ) หนังมีครบทุกอารมณ์ครับ สนุก ตลก ตื่นเต้น  ซึ้ง  สะท้อนสังคม หลอน(แอบมีนะ  ผมหลอนวิธีหลอกเจ้าหลายตาเอามาก  ฮ่าๆ) แต่ไม่มีอารมณ์ หื่น กับซาดิสซ์นะครับ  ใครหวังสองอารมณ์หลังรับรองผิดหวัง  และคงบ้าไปแล้วถ้าจะหวังมันจากการ์ตูนอนิเมชั่น
ขี้เกียจวิจารณ์ข้อด้อยแล้วครับ   โดนข้อสอบเล่นมาเยอะแล้ว  ขอโลกสวยวันหนึ่งเถอะ  เรื่องนี้ผมให้คะแนน 9.5/10 ครับผม