วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ระวังตัวดีๆ
หนึ่งปีเต็มที่ผมไม่กลับบ้านอำเภอเพ็ญ จากถนนซุปเปอร์ให้เวย์ระหว่างจังหวัดเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆที่ทอดตัวผ่านกลางดงไม้ ราวกับเป็นอำเภอที่ขอแยกตัวเป็นเอกเทศจากจังหวัดอุดรราชธานี เหมือนเมืองลับแลในนวนิยายที่ซ่อนกายหลังป่าเขาลำเนาไพร ทว่าในตัวอำเภอก็คือเมืองเล็กๆดีๆนี่เอง พร้อมด้วยร้านอำนวยความสะดวกที่เดินเท้าเพียงครู่เดียวก็ถึงที่ มีเซเว่นอีเลเว่น มีตลาด มีร้านคอมพิวเตอร์ โลตัสเอ็กเพรซกำลังจะมาเปิด ไม่มีโรงภาพยนต์แต่ก็มีร้านเช่าวีซีดี ถนนมีรถราวิ่ง โดยเฉพาะรถสกายแล็บที่พบเห็นได้มากกว่าเมื่อก่อน เป็นบริการรถรับส่งซึ่งเป็นที่นิยมของคนท้องที่ ไม่ต่างจากรถสองแถวในท้องที่อื่น หรือรถตุ๊กๆในกรุงเทพฯ แต่ผมว่ายังไงสกายแล็ปก็เจ๋งรถขนส่งอื่นๆในประเทศไทย ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตา เสียดายที่นักท่องเที่ยวฝรั่งเข้ามาไม่ถึงที่นี่เท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นรถสกายแล็ปคงต้องถูกถ่ายรูปลงโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่เว้นวันแน่ๆ เมืองเปลี่ยนไปแต่ก็เปลี่ยนไม่มาก ไม่เหมือนบางที่ที่จากไปปีเดียวแล้วกลับมาก็จำแทบไม่ได้ ร้านโชว์ห่วยที่ผมอาศัยอยู่ติดกับตลาด ร้านของผมยังอยู่ดี แต่ช่วงที่ผมไม่อยู่ตลาดโดนไฟไหม้ไปเสียบางส่วน แต่ดูจากเค้าโครงการก่อสร้างใหม่ก็คงมีแผนจะซ่อมแซมปรับปรุงให้ดูดียิ่งกว่าเดิม
"กลับมาแล้วเหรอคนเก่งของแม่ โอ้โห โตเป็นหนุ่มจนแม่แทบจำไม่ได้เลยนะ ไหนขอหอมแก้มหน่อยซิ" แม่สวมกอดแล้วหอมผมฟอดใหญ่
"แม่ ทำอย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีไปได้" ผมรู้สึกเขินๆ ถ้าเพื่อนดูอยู่ตอนนี้ผมคงอายแทบเอาหน้าแทรกแผ่นดิน เด็กเฝ้าร้านก็ขายของไป ลูกมือหลังร้านก็จัดการโกดังสินค้าไป ตอนนี้ทั้งโลกเหมือนมีแค่ผมกับแม่
"ไปเก็บของ พักผ่อนสักแป๊บก็ได้นะคนเก่งของแม่ เดินทางมาตั้งไกล คงเหนื่อยล่ะสิ"
"ไม่หรอกแม่ จากกรุงเทพฯนั่งเครื่องบินมาแป๊บเดียวสบายจะตายไป"
"แหม ดูผมเผ้าซิ"แม่ลูบหัวผม ขยุ้มปอยผม " คราวก่อนยังหัวเกรียนอยู่เลย เดี๋ยวนี้ยาวดกดำจะเป็นหนุ่มเกาหลีอยู่แล้ว "
"หนูว่าจะไปตัดซะหน่อย" ผมตอบ "ที่โรงเรียนเข้มงวดมาก ให้ไว้แต่ทรงนักเรียน แต่ตอนนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หนูเลยรอให้ยาวๆก่อนจะได้ตัดรองทรงทีเดียวไปเลย"
"ฮ่วย บักหำของแม่สิหล่อแท่เด้อ จะได้เป็นเฟรชชี่น่ำ" แม่แซวขำๆ ผมเป็นคนอีสานโดยกำเนิดก็จริง ฟังภาษาอีสานออก แต่พูดไม่ได้ เพราะพ่อผมไม่ใช่คนอีสาน เวลาคุยกันแบบพ่อแม่ลูกจึงพูดเป็นภาษากลาง "ไปเก็บของพักผ่อนก่อนเถอะ"
ผมหิ้วกระเป๋าสัมภาระเดินขึ้นบันไดไม้ ห้องผมยังคงเหมือนเดิม ฝุ่นแทบไม่เกาะ แม่คงทำความสะอาดเตรียมไว้ตอนผมกลับมา วางกระเป๋าสัมภาระตรงมุมห้อง ถอดทุ้งเท้า ทิ้งตัวลงนอนบนฟูกผ่อนคลายสักพักหนึ่ง ยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อย สลัดความคิดทิ้งบ้านคิดถึงแม่กว่าหนึ่งปีเต็มที่อยู่ในกรุงเทพฯทิ้งไปจนหมด จากนั้นก็ค่อยลุกจากที่นอน เดินลงบันได สวมรองเท้าแตะ ระหว่างจะเดินออกจากร้านก็สวนกับแม่ที่กำลังสั่งงานลูกน้องพอดี
"ถ้าลูกจะไปตัดผมยังไงก็ระวังตัวไว้หน่อยนะลูก พักนี้มีข่าวเด็กหนุ่มราวๆลูกหายตัวไปบ่อย โดยเฉพาะพวกหน้าตาดีๆหน่อย คราวก่อนก็มีเด็กหายแถวๆร้านตัดผมนี่แหละ"
"แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หนูระวังตัวได้อยู่แล้ว ที่กรุงเทพฯอันตรายกว่าที่นี่เยอะ"
"อย่าประมาทดีกว่า แม่เป็นห่วง คนเล่ากันว่ามีผู้ชายคนหนึ่งใส่หมวกอะไรนะ คล้ายๆหมวกลูกเสือสีดำ"
"หมวกไบเล่หรือเปล่าฮะ"
"อ้า นั่นแหละๆ ผู้ชายสวมหมวกไบเล่สีดำ ท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจ ชอบไปป้วนเปี้ยนแถวร้านตัดผม ลูกระวังตัวดีๆนะ"
"ขอบคุณที่เตือนฮะแม่ หนูจะระวังตัว"
ผมเดินออกจากร้าน เดินผ่านซอยบ้านผมซึ่งไม่มีร้านตัดผม ออกถนนแล้วเดินวกเข้าซอยเล็กๆอีกซอยหนึ่ง ระหว่างทางพบเห็นภาพเด็กผิวกร้านร่างผอมได้เป็นระยะๆ ต่างจากเด็กในเมืองลูกมนุษย์เงินเดือนที่ผิวขาวและพ่อแม่ขุนให้อ้วนตั้งแต่เด็ก ร้านตัดผมเล็กๆร้านหนึ่ง ชื่อ"ร้านตัดผมชาย" ดูธรรมดาๆ ตั้งอยู่ตรงข้ามร้านขายหนังสือพิมพ์นิตยาสารเล็กๆ หน้าร้านกรุกระจกใสมองเห็นเข้าไปด้านในเห็นเก้าอี้เบาะปรับระดับได้ด้วยมือหนึ่งที่นั่ง ชายผิวดำแดงตามแบบฉบับชาวอีสานคนหนึ่งกำลังนอนให้ช่างร่างท้วมสวมเสื้อสีขาวชายผ้ายาวโกนหนวดให้ ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน
ช่างมองผม ยิ้มให้ ประเมินผมด้วยสายตา ก่อนจะพูดภาษากลางด้วยสำเนียงอีสานนิดหน่อยว่า "นั่งรอแป๊บเดียวนะ เดี๋ยวเสร็จแล้ว"
ผมนั่งรอบนเบาะนั่งหลังเก้าอี้ตัดผม คุ้ยดูกองหนังสือพิมพ์และนิตยาสารบนชั้นข้างๆ เจอการ์ตูนขายหัวเราะเล่มหนึ่ง แต่อ่านได้ไม่กี่หน้าก็ถึงคิวผมแล้ว ขณะนั้นเองอะไรบางอย่างดลใจผมให้มองไปยังร้านหนังสือฝั่งตรงข้าม สิ่งที่ผมเห็นทำเอาใจเต้นระทึกขึ้นมา ชายสวมหมวกไบเล่สีดำทำท่าหยิบหนังสือพิมพ์บนแผงขึ้นอ่าน แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าสายตานั้นจ้องมองผมอยู่ ผมทำเป็นไม่ได้สังเกตุเห็น เดินไปนั่งบนเก้าอี้ ช่างคลุมผ้ารองเศษผมบนไหล่ ใช้คลิปหนีบ
"เอาทรงอะไรดีล่ะ"
"เอารองทรงสูงครับ"ผมตอบ แต่หางตาชำเลืองด้านข้าง มองไปยังนอกร้าน
ช่างเปิดแบตเตอเรี่ยนแล้วเริ่มเล็มผมออกทีละน้อยอย่างปราณีต ช่างคนนี้มือนิ่มใช้ได้เลยทีเดียว แต่กะจิตกะใจตอนนี้สนใจชายหมวกไบเล่ดำฝั่งตรงข้ามมากกว่า ผมเหลือบมองด้วยหางตา แม้มองไม่ถนัด แต่รู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามันกำลังมองผมอยู่
"เป็นคนที่ไหนเหรอเราน่ะ" ช่างตัดผมเปิดการสนทนา ตามแบบฉบับช่างตัดผมที่ฝีมือและอัธยาศัยดี
"อ๋อ ความจริงผมเป็นคนที่นี่แหละครับ แต่ไปเรียนที่กรุงเทพฯ"
"เอ แต่ดูหน้าตาไม่ใช่คนแถวนี้เลย ขาวๆตี๋ๆเหมือนคนจีนมากกว่า"
"ครับ พ่อผมมีเชื้อสายจีนน่ะ"
"ถึงว่า" ช่างตัดผมหัวเราะ "ที่อำเภอเพ็ญน่ะ อย่างเราถือว่าหน้าตาดีเลย หายากนะขาวๆตี๋ๆแบบนี้ สาวๆเห็นคงเหลียวมองกันหน้าดู"
"ขอโทษที่จะถามนะครับ" ผมเริ่มเปิดประเด็น "แต่ได้ข่าวว่าพักนี้มีเด็กหนุ่มหายตัวไปหลายคน"
"ใช่ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่หน้าตาดีๆหน่อย คราวแล้วก็มีเด็กหายแถวๆร้านพี่นี่ล่ะ งานเข้าเลย ต้องทำเรื่องกับตำรวจยกใหญ่ เราเองก็ระวังตัวไว้ดีๆล่ะ มันอาจจะกำลังเล็งอยู่ก็ได้นา"
"พี่หมายถึงผู้ชายหมวกไบเล่สีดำหรือเปล่าครับ"
"เห็นคนเขาเล่ากันว่าอย่างนั้นนะ" ช่างตัดผมตอบ
"พี่พอจะบอกได้ไหมครับว่าเขาเป็นใคร เอ่อ... แบบว่ามีแรงจูงใจอะไรที่ทำแบบนี้ อย่างเช่น ต้องการจับเด็กหนุ่มไปขาย หรือว่าเป็นเกย์โรคจิต"
"พี่ก็ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอกนะ"ช่างตัดผมหัวเราะ " อาศัยฟังเขาเล่ามานั่นแหละ ว่ากันว่าคนนี้น่ะเดิมทีเป็นคนปรกตินี่แหละ เพิ่งแต่งเมียไปแล้วก็รักเมียมาก แต่ต่อมาจับได้ว่าเมียเล่นชู้กับหนุ่มหน้าตาดี เลยฆ่าทิ้งทั้งเมียทั้งชู้ จากนั้นก็เลยฝังใจ หาวิธีเอาคืนกับเด็กหนุ่มหน้าตาแบบไม่เลือกหน้า เหมือนกลายเป็นโรคจิตนั่นแหละ"
"ถ้าอย่างนั้น เด็กหนุ่มที่โดนจับไปก็อาจจะถูกจับไปฆ่าหรือทรามานได้ใช่มั้ยครับ" ผมพูดเอง เริ่มใจคอไม่ดีเสียเอง
"ก็มีสิทธินะ ระวังตัวไว้ก็ดี เดี๋ยวนี้หนุ่มๆต้องระวังตัวยิ่งกว่าสาวๆอีก"
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มันอาจจะดูกระโตกกระตากเกินไปในมุมหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งมันเกี่ยวพันถึงสวัสดิภาพของผม ผมมองช่างในกระจกแล้วตัดสินใจบอกออกไป
"พี่ครับ ที่แผงหนังสือฝั่งตรงข้าม ผมเห็นผู้ชายใส่หมวกไบเล่สีดำกำลังมองมาทางนี้"
"จริงเหรอ"สีหน้าของช่างเปลี่ยนไปทันที เหลียวหน้าไป
"อย่าหันไปมองครับพี่!"ผมร้องเตือน "เดี๋ยวมันจะรู้ตัวเสียก่อน พี่ทำเป็นตัดผมต่อไปนะครับ"
ต้องขอบคุณประสบการณ์จากเมืองหลวง ทำให้ผมเป็นคนหูตาไวขึ้น ช่างทำท่าตัดต่อไป แต่มือไม้ของแกเริ่มสั่นจนผมรู้สึกได้ ผมจะแหว่งนิดหน่อยก็ช่างมันปะไร ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า
"ทำยังไงดี โทรแจ้งตำรวจดีไหม"ช่างตัดผมกระซิบถาม แทบถูกเสียงแบตเตอเรียนกลบ
"เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ พี่ทำเป็นรับโทรศัพท์เดินเข้าไปหลังร้านก็ได้" ผมเสนอแนะ "ไม่แน่ถ้ามันเห็นพี่ไม่อยู่ในร้านมันอาจจะเข้ามา ถึงตอนนั้นพี่ก็ออกมาช่วยผม"
"โอเค เดี๋ยวพี่จะเข้าไปเอาอาวุธออกมาจากหลังบ้าน พี่จะแอบอยู่หลังประตูนะ ท่าไม่ดีเมื่อไหร่ส่งเสียงร้องดังๆเลย"
ช่างตัดผมตัดต่ออีกหน่อย จากนั้นปิดแบตเตอเรียนเสียบเข้าที่แขวน ปรับระดับเตียงผมให้อยู่ในท่านอนเตรียมจะโกนหนวด ทำท่าเป็นรับโทรศัพท์แล้วเดินหายไปหลังร้าน
ผมเอียงคอเล็กน้อยลอบมองไปยังฝั่งตรงข้าม จริงดังคาด!! ชายหมวกไบเล่ดำวางหนังสือพิมพ์ลง หันซ้ายแลขวามองด้วยสายตาระแวดระวัง ก่อนจะตัดสินใจเดินข้ามมายังร้านตัดผม วูบเดียวที่เห็นแววตาของเขาสะท้อนให้เห็นว่าชายผู้นี้มีจุดประสงค์อะไรบางอย่างซึ่งผมก็เดาไม่ถูก เขามองซ้ายมองขวาอย่างระวังอีกครั้งก่อนจะเดินเข้ามาในร้านตัดผม ผมใจเต้นระทึก เสียงหักใจตึกๆระรัวดังระงมในหัวผมไปหมด รู้สึกว่าเหงื่อเย็นๆซึมที่แผ่นหลัง ถึงจะเตรียมพร้อมจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันไว้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพอกำลังจะเจอจริงๆจะตื่นเต้นขนาดนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อถึงเวลาที่มันจะลงมือ ผมจะกล้าพอที่จะส่งเสียงร้องหรือเปล่า
ตอนนี้มันมาหยุดยืนข้างๆเบาะที่ผมเอนกายอยู่ ผมทำแกล้งหลับตาทำเป็นไม่ได้สังเกต
"น้องครับ"มันเรียกผมด้วยเสียงเย็นยะเยียบชอบกล
ผมลืมตาขึ้นมามองหน้ามัน มันเป็นชายกลางคนเคราดก มีรอยมีดกรีดหนึ่งรอยที่แก้มซ้าย แววตาเปล่งประกาย พยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุด ข่มความตื่นตระหนกไว้ รู้สึกปากตัวเองเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ "มีอะไรเหรอครับ"
"คืออย่างนี้" มันแสยะยิ้มโชว์ฟันหน้าเลี่ยมทองซี่หนึ่ง มือขวาล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกงแสล็คของมัน
หัวใจเต้นเร็วแต่ความคิดผมเร็วกว่า ผมพยายามเดาว่าสิ่งที่มันจะล้วงออกมาคืออะไร อาจจะเป็นผ้าชุบยาสลบเอาไว้โปะหน้า อาจจะเป็นมีดมาจ่อให้ผมทำตามคำสั่ง ขอบคุณที่พี่ช่างตัดผมเอนเบาะไว้ให้ หากเป็นมีดผมจะได้กลิ้งหลบทิ้งตัวลงข้างๆเบาะได้ง่าย ถึงตอนนั้นก็เรียกพี่ช่างตัดผมออกมา แต่ถ้าเป็นปืนล่ะ ชิบหาย! ผมลืมคิด แต่ปืนไม่น่าใส่กระเป๋ากางเกงได้ ไม่มีดก็ยาสลบนี่ล่ะวะ หรืออาจจะเครื่องช็อตไฟฟ้า ไม่น่าใช่กระเป๋ามันเล็กไป
ทันใดนั้น มือของมันโผล่พ้นกระเป๋าออกมาอย่างรวดเร็ว! เสี้ยววินาทีนั้นผมเหลือบเห็นสิ่งที่ติดมือออกมา สัญญาชาตญาณสั่งให้ผมกลิ้งตัวลงจากเบาะ ร่างร่วงลงกระแทกพื้น แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง
ในมือของชายหมวกไบเล่ดำเป็นแค่นามบัตรเล็กๆใบหนึ่ง "เป็นอะไรมากไหม" เขาทำท่าจะเข้ามาช่วยแต่ผมโบกมือปฏิเสธ พยุงตัวลุกขึ้นเองได้ "ผมตกใจไปหน่อย"
"ขอโทษนะครับที่ทำให้น้องตกใจ" เขายิ้มอวดฟันเลี่ยมทองอีกครา "อ่านี่นามบัตรครับ"
ผมค่อยๆเอื้อมไปหยิบอย่างระวัง ไม่รู้ตัวบัตรฉาบสารระเหยอะไรหรือเปล่า
"พี่เปิดผับอยู่ในเมือง"
"บาร์เกย์เหรอครับ" ผมถาม สังเกตจากรูปเงาผู้ชายกล้ามใหญ่ข้างๆชื่อ Banana Boys Bar โพสต์ท่าทายั่วยวนใจเกย์
"ใช่ ตอนนี้ต้องการเด็กหนุ่มหน้าตาดีจำนวนมาก แต่ในเมืองเด็กนักศึกษามันโก่งค่าตัวกันเกินไป จะเอาเด็กต่างด้าวก็ไม่ไหว พี่ก็เลยก็ต้องมาหาเด็กต่างอำเภอแบบนี้แหละ งานสบายรายได้ดีเลยนะ ถ้าเต้นเป็นด้วยค่าตัวยิ่งงามเลย"
"ไม่เป็นไรล่ะครับ" ผมส่งนามบัตรคืนให้ "ผมไม่นิยมแนวนี้เท่าไหร่"
"เฮ้ย เก็บไว้เถอะ เอาไปคิดดูดีๆก่อน สังคมเดี๋ยวนี้ งานแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ไม่ได้เสียหายอะไร บาร์พี่มีแค่ยั่วน้ำลาย ไม่มีการอ๊อฟเด็กแน่ไม่ต้องห่วง เงินดีนะเว้ย"
"อ่าได้ครับ งั้นผมจะเก็บไว้" ผมเห็นว่าเก็บไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร และเขาจะได้ไปเสียที "หน้าพี่ไปโดนอะไรมาล่ะครับ"
"อ๋อ รอยที่แก้มนี่เหรอ ธุรกิจกลางคืนก็อย่างงี้แหละ วันดีคืนดีใครเมาคลั่งขึ้นมาก็ไม่รู้ แต่น้องมาทำงานกับพี่ไม่ต้องห่วงไป ร้านพี่ดูแลสวัสดิภาพพนักงานดีเยี่ยม สนใจเมื่อไหร่โทรมาตามเบอร์ในบัตร โทรได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง"
"ครับ"
"พี่ไปก่อนล่ะ อยู่นานไม่ดี คนแถวนี้เขามองว่าพี่เป็นพวกลักเด็กอยู่ด้วย" พูดจบชายหมวกไบเล่ดำก็วิ่งออกจากร้านไป
ผมลุกขึ้นมานั่งที่เบาะ หัวเราะกับความตื่นตูมจนถึงกับกลิ้งตกเก้าอี้ตัดผมเมื่อครู่ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กหนุ่มหน้าตาดีถูกเพ่งเล็ง สรุปแล้วชายคนนั้นก็ไม่ใช่คนฆ่าเมียตามขี้ปากชาวบ้าน ส่วนเรื่องเด็กหนุ่มหลายคนหายตัวไปก็อาจเป็นเพราะแอบเข้าเมืองไปทำงานบาร์เกย์ เรื่องแบบนี้คงไม่ค่อยอยากบอกทางบ้านเท่าไหร่
"มันไปแล้วเหรอ" ช่างตัดผมออกมาจากหลังร้าน มือหนึ่งถือมีดโกน อีกมือหนึ่งถือหม้อมีด้าม ราวกับอัศวินพร้อมดาบและโล่คู่ใจ เห็นภาพนี้แล้วทำเอาผมแทบขำกลิ้งตกเก้าอี้
"เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น" ช่างตัดผมยังคงหน้าตื่น เดินไปรูดผ้าม่านปิดกระจกหน้าร้าน ชะเง้อหน้าออกไปดูนอกร้าน "มันไม่อยู่แล้วนี่" จากนั้นหันกลับมาถามผม "เป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม"
"เปล่าเลยครับ ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้เป็นโรคจิตฆ่าเมียเหมือนที่ชาวบ้านเล่ากันหรอกครับ"
"อ้าว!" ช่างตัดผมอุทาน "ไหนเล่าให้ฟังหน่อยเรื่องมันเป็นยังไง"
"เขามามองหาเด็กหนุ่มหน้าตาดีไปทำงานบาร์เกย์ในเมืองแค่นั้นเองครับ"
"อย่างนี้นี่เอง" ช่างตัดผมทำท่าเข้าใจ จากนั้นก็หัวเราะก๊ากออกมา "เราก็ทำเอาพี่ตื่นตูมไปด้วย อุตส่าห์ไปเอาอาวุธหลังบ้านมาเตรียมต่อสู้ ใครรู้เข้านี่อายแย่เลย"
"เหตุการณ์ไม่คาดฝันมักจะไม่เกิดตอนเราระวังตัวดีๆนะครับ" ผมออกความเห็น
"ใช่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็มักจะเกิดตอนเราไม่ระวังตัว"
ทันใดนั้นผมรู้เสียวแปลบที่ลำคอ รู้ตัวอีกทีเลือดก็ฉีดพุ่งออกจากรอยกรีดที่คอโค้งลงหม้อที่รองไว้อย่างแม่นยำ มือนิ่มและไว กะระยะได้พอดีได้ขนาดนี้ แสดงว่าผมไม่ใช่รายแรก เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็มักจะเกิดตอนเราไม่ระวังตัวจริงๆ
"ไอ้พวกหน้าตาหล่อๆก็เหมือนกันหมดทั้งโลกนั่นแหละ ชอบเล่นชู้กับเมียชาวบ้าน กูละเกลียดนัก!!"
คนนี้ต่างหาก...โรคจิตฆ่าเมียตัวจริง
--------------------------
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นบนฟูกในห้องนอนของผมเอง หอบหายใจอย่างใจหาย รีบคลำดูคอหอยตัวเองพบว่ายังเรียบเนียนสนิทอยู่ดีอยู่ เป็นฝันที่เหมือนจริงอะไรขนาดนี้ ผลข้างเคียงจากการฝันร้ายทำให้คอแห้งผาก ผมเดินลงบันไดไปข้างล่าง กะจะหาน้ำอะไรหวานๆในตูดื่มเติมพลังงานเสียหน่อย
แตะ ระหว่างจะเดินออกจากร้านก็สวนกับแม่ที่กำลังสั่งงานลูกน้องพอดี
"ถ้าลูกจะไปตัดผมยังไงก็ระวังตัวไว้หน่อยนะลูก พักนี้มีข่าวเด็กหนุ่มราวๆลูกหายตัวไปบ่อย โดยเฉพาะพวกหน้าตาดีๆหน่อย คราวก่อนก็มีเด็กหายแถวๆร้านตัดผมนี่แหละ"
"ผมจะไม่ตัดผมแล้วแม่"ผมพูดอย่างมั่นใจ "ผมจะไว้ผมยาวให้เหมือนพวกยิปปี้เลย!"
เนื่องจากวันนี้เป็นวันแม่ จะจบโหดๆเลยก็กะไรอยู่ ขอจบแบบ Happy panic ending ก็แล้วกันนะ ^ ^
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ใครฆ่า?
"ห้ามใครแตะต้องศพเด็ดขาด" ผมสั่งอย่างเฉียบขาดไม่แพ้คำว่าเด็ดขาด
ผมและเพื่อนร่วมคณะถ่ายทำหนังสั้นแนวสยองขวัญอีกสี่คนยืนล้อมรอบอดีตเพื่อนผู้หนึ่ง ที่บัดนี้นอนคว่ำหน้า ด้ามมีดปักโชว์หราอยู่กลางหลัง ของเหลวสีแดงไหลเป็นทางไปตามพื้น โต๊ะอาหารถูกดันไปจากตำแหน่งเดิม ดูได้จากรอยครูดกับพื้นไม้จางๆ คงเป็นจังหวะที่จิมมี่ล้มลงตอนโดนแทง บนเตาแก๊สมีหม้อสปาเก็ตตี้เพิ่งทำเสร็จหมาดๆ นุ่มเพื่อนสาวร่างสูงโปร่งร่างสั่นสะท้าน รีบผละวิ่งออกจากห้องครัวไปทันที เธอคงทำใจไม่ได้ที่ได้เห็นคนถูกฆ่าตายจริงๆเป็นครั้งแรก และคนๆนั้นก็เป็นแฟนหนุ่มของเธอ
"ให้ตาย! บ้าชะมัด บ้า บ้า บ้า!" ท็อปเริ่มหยิกทึ้งผมตัวเอง เดินไปเดินมา
"ใครเป็นคนทำวะเนี่ย" โตร้องถามในสิ่งที่คนรู้คงไม่อยากตอบ
"มีโจรแอบเข้ามาหรือเปล่า โอ้! ฉันว่าเราควรจะโทรแจ้งตำรวจ" เชอร์รี่ว่า
"โจร!" โตทวนคำอย่างตื่นตระหนก "ไอ้ท็อป เอ็งรีบไปดูนุ่มเร็ว อยู่คนเดียวเธออาจจะโดนทำร้ายได้นะเว้ย"
"เอ็งก็ไปเองสิวะ มาใช้ข้าทำแมวอะไร!" ท็อปโวย
"เดี๋ยวฉันไปดูให้เอง" เชอร์รี่ก็ปลีกตัวออกจากห้องครัวไป โตเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร แต่แล้วก็บ่นออกมา "บ้าชะมัด แถวนี้ไม่มีสัญญาณเลย"
"ทำยังไงกันดีล่ะทีนี้" ท็อปถาม
"เราควรอยู่รวมกันไว้ก่อน แถวนี้อาจมีโจร" โตเสนอแนะ
"ไม่มีโจรที่ไหนหรอก" ผมพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด โดยอาศัยประสบการณ์การเขียนบทฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนมาก่อน เพื่อนสองคนหันมามองหน้าผมเป็นเชิงถามไถ่ว่ารู้ได้อย่างไร "ทางเข้ามีแค่ด้านหน้า ต้องผ่านห้องนั่งเล่นที่พวกเรานั่งดูหนังกันอยู่ อีกอย่าง จิมมี่โดนมีดเสียบเข้าข้างหลัง โดยไม่ทันตะโกนขอความช่วยเหลือ แสดงว่าคนที่แทงจิมมี่ได้ต้องเป็นคนที่จิมมี่ไว้ใจ"
"เอ็งหมายความว่า หนึ่งในพวกเราเป็นคนฆ่าจิมมี่งั้นเรอะ" โตถามอย่างไม่เชื่อหู
"ระหว่างนี้ แต่ละคนต่างก็แวบออกมาเข้าห้องน้ำบ้าง ห้องครัวบ้าง ใครคนหนึ่งคงฉวยโอกาสนั้น แวบเข้ามาฆ่าจิมมี่ตอนกำลังทำข้าวกลางวันให้เราอยู่"
"ไอ้ท็อป เมื่อกี้เอ็งลุกไปฉี่บ่อยกว่าเพื่อนเลยนะเว้ย ท่าทางมีพิรุธ" โตว่า มองหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
"เฮ้ย! อย่ามากล่าวหาข้า ปรกติข้าก็ฉี่บ่อยอย่างนี้อยู่แล้ว ถ้าถามว่าใครฆ่าจิมมี่ ข้าว่าเอ็งนั่นแหละ เอ็งมีเหตุจูงใจ นุ่มเลิกกับเอ็งแล้วไปคบกับมันนี่หว่า"
"ว่าไปเรื่อย ข้ากับนุ่มตกลงกันเข้าใจแล้วว่าจะเป็นแค่เพื่อนกัน ข้ายินดีกับไอ้จิมมี่ด้วยซ้ำที่มันกับนุ่มไปกันได้ดี"โตอธิบาย
"ฟังไม่ขึ้นว่ะ" ท็อปขัด "แฟนเลิกกับตัวเองมาคบกับเพื่อน เป็นใครมันก็ต้องรู้สึกรับไม่ได้บ้างล่ะวะ"
"หาเรื่องกันนี่หว่า!" โตเดินเข้าไปหาท็อป ท็อปก็ยืดอกขึ้น พร้อมจะวางมวย
"อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ตอนนี้ยังสรุปไม่ได้หรอกว่าใครฆ่า" ผมพูด โตผละออกมาจากท็อปอย่างไม่สบอารมณ์ ผมถามต่อว่า "ใครเป็นคนออกความคิดให้มาถ่ายหนังสั้นกันที่นี่"
"ฉันเอง"เสียงเชอร์รี่ดังขึ้น ทุกคนหันไปมองเด็กสาวที่เพิ่งเดินเข้าประตูมา "ฉันรู้จักกับเจ้าของบ้านหลังนี้ นานๆทีเขาจะแวบเข้ามา ฉันเห็นว่าสถานที่มันเหมาะกับตัวหนัง ไม่ต้องเสียตังค์ และวันนี้ก็วันเกิดของเธอด้วย ฉลองวันเกิดให้เธอที่นี่คงจะแจ๋วมากมาย" เชอร์รี่หมายถึงผมซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิด " พวกเธอมีสิทธิ์สงสัยได้ว่าฉันทำ แต่โทรแจ้งตำรวจแล้วใช่มั้ย"
"แถวนี้ไม่มีสัญญาณ" โตตอบ "แล้วนุ่มล่ะ"
ทันใดนั้นเอง ผมได้ยินเสียงนุ่มหัวเราะดังออกมาจากห้องน้ำ ฟังดูเหมือนเสียงหัวเราะเพราะความขำขัน ผม โต และท็อปมองหน้ากันอย่างงุนงง
"อันที่จริงแล้วเธอมีอาการทางจิตอ่อนๆน่ะ" เชอร์รี่ในฐานะเพื่อนสนิทของนุ่ม "เห็นแฟนเป็นศพอยู่ต่อหน้า นุ่มเลยสะเทือนใจแล้วเกิดภาวะสับสนทางอารมณ์"
"นุ่มอยู่คนเดียวจะดีเหรอ" โตถามอย่างเป็นห่วง
"นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้"
"นุ่มเป็นโรคจิตอ่อนๆ แถมยังเป็นคนเจอศพคนแรกอีกด้วย นุ่มอาจจะเป็นคนทำ" ท็อปตั้งข้อสังเกต
"ไอ้บ้านี่! เอาแต่โทษคนอื่นไปเรื่อย" โตเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อ ท็อปผลักโตออก
"เอาละ!" ผมขึ้นเสียง"ตอนนี้ทุกคน มีข้อให้ถูกสงสัยว่าฆ่าจิมมี่ได้ทั้งนั้น เอาแบบนี้ เท่าที่สังเกตดูตอนนี้ยังไม่มีใครเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนใครคนนั้นฆ่าจิมมี่อาจมีเลือดกระเซ็นติดเสื้อได้ เราจะจับคู่กับโต เชอร์รี่จับคู่กับท็อป สำรวจดูอีกฝ่ายว่ามีรอยเลือดติดอยู่หรือไม่"
เริ่มการสำรวจ ผมสวมเสื้อยืดสีแดงเลือดหมูกับกางเกงยีน โตตรวจไม่พบรอยที่น่าสงสัย ผมตรวจโตบ้าง เขาสวมเสื้อกล้ามสีฟ้า ไม่เจอรอยเลือดบนเสื้อเหมือนกัน
"ท็อป ที่เสื้อเธอมีรอยหยดแดงๆติดอยู่นะ" เชอร์รี่พูดขึ้น
ผมกับท็อปหันไปมองในทันที ท็อปเริ่มมีท่าทีเลิ่กลั่ก กระชากเสื้อยืดสีขาวออกมาจากมือของเพื่อนสาว "นี่..นี่ ไม่ใช่หรอก นี่มันคงเป็นรอยหยดสีตอนทำงานที่คณะน่ะ ตั้งนานแล้ว"
"ไหนดูซิ!" โตเดินดุ่มๆเข้าไปดึงเสื้อของท็อปดู ใช้นิ้วสัมผัสมัน "รอยหยดแดงๆติดที่เสื้อ ยังดูใหม่ๆอยู่เลย เอ็งเป็นฆ่าจิมมี่ใช่มั้ยไอ้ท็อป!!"
"เปล่า! ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ว่าเสื้อข้าเปื้อนได้ยังไง ข้าโดนใส่ร้าย"
"อย่ามาปากแข็ง!" โตตะคอก กระชากคอเสื้อ
"หลักฐานมันฟ้องว่าเอ็งเป็นคนฆ่า" ผมพูด "ทำไมเอ็งต้องฆ่าจิมมี่ด้วย"
"ข้าจะไปรู้ได้ไง ข้าไม่ได้ทำโว้ย!" ท็อปโวย
ขณะนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ขัดจังหวะการโต้เถียงภายในห้อง ผมล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง กำลังจะกดรับอยู่แล้ว แต่ทันใดนั้นผมก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมกดตัดสายทิ้ง ยังไม่ใช่เวลาคุย
"โต ข้าขอดูโทรศัพท์มือถือเอ็งหน่อย"
"ทำไม.... มีอะไรเหรอ"โตเริ่มมีท่าทีอึกอัก
"ตอนแรกเอ็งบอกว่าไม่มีสัญญาณไม่ใช่เหรอ" ท็อปพูดและเริ่มลงมือค้นกระเป๋ากางเกงโตทันที โตขัดขืน ผมเลยไปช่วยล็อคเขาไว้อีกแรงหนึ่ง ในที่สุดท็อปก็เอามือถือมันออกมาดูได้สำเร็จ
"เป็นพยานนะ" ท็อปยื่นมือถือให้ผมดู "มือถือมันมีสัญญาณตั้งสามขีด"
"โต เธอตั้งใจจะไม่ให้เราโทรแจ้งตำรวจใช่มั้ย" เชอร์รี่ถาม มองเขาด้วยสายตาเสียดแทง
"เมื่อกี้มันไม่มีสัญาณจริงๆ แต่ตอนนี้มันมีสัญญาณแล้ว" โตอธิบาย
"แก้ตัวน้ำขุ่นๆ!" ท็อปเป็นฝ่ายตะคอกบ้าง
ตอนนี้ผมมองเพื่อนชายทั้งสองคน คนหนึ่งมีวัตถุพยานบนเสื้อ แต่อีกคนนั้นมีพิรุธจากการกระทำ ผมคิดใตร่ตรองดูแล้ว เพียงรอยเลือดบนเสื้ออาจจะโดนคนอื่นมาป้ายใส่ก็ได้ คดีนี้ควรชี้ตัวคนร้ายจากการกระทำจึงจะถูก
"โต" ผมชี้หน้าเขาอย่างมั่นใจ "เอ็งนั่นแหละที่เป็นคนฆ่าจิมมี่ มีอะไรจะสารภาพไหม"
ม่านตาของโตขยายออก สีหน้าพรั่นพรึงคล้ายกับเจอเรื่องตื่นตระหนกสุดขีด
"ข้าไม่มีอะไรจะสารภาพ ถ้าเอ็งอยากรู้ว่าใครฆ่า เอ็งหันไปถามคนข้างหลังเอ็ง"
ผมประหลาดใจในทันที หันหลังไปมองตามที่โตบอก
"เอ็งนั่นแหละ!!!" เสียงตะคอกแหบแห้งตอบกลับปะทะหน้าผมจนล้มหงายไปข้างหลัง
จิมมี่!! ยืนจ้องผมด้วยสองตาเหลือกขาวดุจผีจากนรก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใคร่เอาชีวิต เนื้อตัวเปรอะด้วยของเหลวสีแดง
วินาทีนั้นผมใจหาย เหมือนใจมันหายไปจริงๆ กลัวตัวเองจะตาย แต่ก็กลัวที่จะหายใจต่อไปจริงๆ
ผมอยากรีดร้องระบายความตื่นตระหนกครั้งนี้ออกมา แต่ส่งเสียงอะไรไม่ออกเลย ความอัดอั้นทั้งหมดกระหน่ำอัดหัวใจ เกินกว่าก้อนเนื้อขนาดเท่ากำมือดวงนี้จะรับมือไหว ผม... ผม....
บ้านเล็กกลางป่าหลังนี้เคยมีคนตาย
เหตุเกิดเมื่อนักศึกษากลุ่มหนึ่ง มาถ่ายทำหนังสั้นแนวสยองขวัญ ซึ่งเป็นโปรเจคก่อนจบการศึกษาของคณะสื่อสารมวลชน
ซึ่งในวันที่เกิดเหตุ ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของคนเขียนบทประจำกลุ่ม
เพื่อนๆเลยวางแผนเซอร์ไพรส์วันเกิด ตามแบบฉบับหนังสืบสวน ฆาตกรรม และสยองขวัญวิญญาณอาฆาต เพื่อจะได้สมกับฐานะคนเขียนบท
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง กลัวจะหลุดหัวเราะทำแผนแตก เลยปลีกตัวออกมารับหน้าที่เตรียมเค้กวันเกิดข้างนอก
แต่แล้วเมื่อมาถึงฉากเด็ดของการแสดง คนที่แกล้งตายฟื้นขึ้นมาสร้างความตกใจ
เจ้าของวันเกิดตกใจเกินไป วิญญาณเลยออกจากร่าง วันคล้ายวันเกิดตรงกับวันตายพอดี
ถ้าถามนักศึกษากลุ่มนี้ว่า สรุปแล้ว ใครฆ่า?
คำตอบที่จะได้ก็คือ "เอ็งนั่นแหละ!!!"
วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ดูคนออก
ณ ภัตตาคารเสต็คกลางเมืองแห่งหนึ่งในยามค่ำ ชายหนุ่มเน็กไทด์แดงผมหวีเรียบแปล้นั่งอยู่ตรงข้ามกับหญิงสาวงามเฉิดฉาย ร่างสูง แต่หุ่นดีมีเนื้อมีนวลคล้ายผู้หญิงฝรั่ง ซ่อนร่างอยู่ในชุดแซคสีขาวที่ดูมีระดับ เผยส่วนเว้าส่วนโค้งให้เห็นพอกรุ้มกริ่ม พวกวัยรุ่นเห็นแล้วอาจรู้สึกเฉยๆ แต่สำหรับชายวัยทำงานนั้นโดนดึงดูดสายตาได้ดีนัก พอเลิกงานผู้บริหารระดับกลางของบริษัทประกันภัยก็มาบริหารเสน่ห์ต่อ เผยรอยยิ้ม บรรยากาศภายในร้านสว่างไสวด้วยแสงสีแสดนวลตา ส่องถึงทั่วทุกมุมร้าน หญิงสาวยิ้มตอบ
"คุณเลือกร้านใช้ได้เลยทีเดียว" ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ "บรรยากาศดูดีมีระดับ ราคาอาหารก็ไม่แพงเท่าไหร่"
"ค่ะ" หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนหวาน "ร้านโปรดฉันเลย พอรู้สึกชอบฉันก็อยากแนะนำคนอื่นต่อค่ะ"
"มื้อนี้ผมเลี้ยงนะครับ"
"หารครึ่งดีกว่านะคะ" หญิงสาวว่า "เราเพิ่งรู้จักกัน ฉันถือเป็นเคล็ดค่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ มื้อแรกให้ผมเลี้ยง เพื่อเป็นเกียรติที่ได้รู้จักกับคนสวยน่ารักอย่างคุณ เอาไว้มื้อหน้าค่อยเลี้ยงผมตอบก็ได้" ความจริงชายหนุ่มเน็คไทด์แดงก็กะจะเลี้ยงทุกมื้ออยู่แล้ว
ระหว่างรออาหาร ทั้งสองจิบไวน์ประกอบการสนทนา ในความรู้สึกชายเน็คไทด์แดง เวลาผ่านไปไวราวกับถูกเร่ง ชายหนุ่มได้รู้จักในแง่มุมต่างๆของหญิงสาวผู้นี้มากขึ้น เธอชื่อ เสมอใจ เธอทำงานเป็นพนักงานธนาคาร เวลาว่างๆเธอชอบอ่านหนังสือ ทำอาหาร ช่วงนี้เธอกำลังคร่ำเคร่งศึกษาเรื่องการทำเบเกอรี่อยู่ นอกจากที่ทำงานแล้วเธอเป็นคนติดบ้าน ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงประเมินผู้หญิงคนนี้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงสไตล์เฉี่ยวโฉบไปมา เธอเหมาะจะมาเป็นแม่ของลูกมากกว่าคู่ควง ซึ่งจุดนี้ต้องใช้เวลาดูกันนานอยู่ ชายหนุ่มมักเป็นฝ่ายยิงคำถามให้หญิงสาวเล่าตัวตนออกมา นี่คือเทคนิคประการหนึ่งที่ทำให้เขาจับจุดมัดจัดผู้หญิงหลายคนที่เข้ามาในชีวิตเขาได้ เหมือนกับการเล่นพนันที่อีกฝ่ายหงายไพ่ในขณะที่ตนคว่ำไพ่อยู่ในมือ เขาได้เปรียบเห็นๆ
"ชักจะนานแล้ว" ชายหนุ่มเหลือบดูนาฬิกา ในความรู้สึกเหมือนผ่านไปแวบเดียว แต่เขาดูจากเข็มนาทีในนาฬิกาข้อมือเป็นหลัก "คนในร้านก็ไม่เยอะนะ"
"วันนี้ช้ากว่าปรกติจริงๆ แต่เดี๋ยวก็คงมาแล้วค่ะ"
พูดไม่ทันขาดคำ บริกรชายผมสั้นเกรียนร่างผอมเกร็งในเสื้อกั๊กสีแดงเดินตรงมาที่โต๊ะ เสต็กสองจานในถาดใหญ่บนมือสองข้างก็ถูกนำมาเสิร์ฟ มันถูกวางบนโต๊ะแล้วเปิดฝาเหล็กครอบจานออก กรุ่นไอควันจากเนื้อย่างหอมฉุยลอยขึ้นมากระทบจมูก
"ทำไมนานอย่างนี้ล่ะ" ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่พอใจ "ลูกค้าก็ไม่ได้เยอะอะไร ปล่อยให้รอจนแสบท้องไปหมด"
"ขอโทษด้วยครับ" บริกรชายค้อมตัวปะหลกๆ ยิ้มแห้งๆ
"สเต็กหมูของคุณผู้หญิงสั่งมีเดียมไป แต่ย่างมาซะแห้งยิ่งกว่าเวลดัน ใช้ไม่ได้เลย"
"ใจเย็นๆดีกว่าค่ะ เรื่องแค่นี้เอง" หญิงสาวเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
"ไม่ได้นะครับ เราเป็นผู้บริโภค เรามีสิทธิที่จะได้รับบริการที่ดี เพราะเราเป็นฝ่ายเสียเงินให้ จะให้เราไปง้อเขาผมว่าไม่ถูก ขอโทษนะครับ" ชายหนุ่มเลื่อนจานสเต็กของหญิงสาวเข้ามา เอามีดของตนผ่าดูข้างในของสเต็คเนื้อ แห้งกรังดูเห็นริ้วเนื้อเป็นซี่ๆ
"เห็นมั้ยว่ามันแห้งขนาดไหน เอาไปเปลี่ยนมาใหม่"
"อ่า..ครับ แต่ว่า..."
"ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง ไปเรียกเจ้าของร้านมาคุย"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะทานสเต็คหมูจานนี้เอง"
"แต่ว่า..."
หญิงสาวตัดบทโดยหันไปคุยกับบริกร "ทำงานต่อเถอะค่ะ"
บริกรชายกล่าวขอบคุณก่อนผละออกไป ชายเน็คไทด์แดงยังอารมณ์กรุ่น แต่พอหันหน้ามามองหญิงสาว สีหน้าของเขาก็อ่อนลง
"ขอโทษด้วยนะครับ ผมติดนิสัยมาจากการทำงานเป็นซุปเปอร์แอดไวเซอร์ของบริษัท เลยติดนิสัยเจ้ากี้เจ้าการกับการบริการของเด็ก"
"อย่าคิดมากเลยค่ะ แต่ฉันว่าคุณกล้าหาญดีนะ กล้าแสดงจุดยืนของตัวเอง"
ชายหนุ่มยิ้มอย่างภูมิใจ ก่อนรับประทานเขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน เมื่อครู่เขากระดกแก้วไวน์เพลิน ดื่มไปหลายแก้ว ติดนิสัยกระดกแก้วเหล้ามาจากการเที่ยวกับลูกน้องทุกเย็นวันศุกร์ เขาเดินไปเข้าห้องน้ำ บรรยากาศคล้ายๆกับห้องน้ำโรงแรมสี่ดาว ดูมีมาตรฐาน จำนวนห้องกำลังดี รองรับลูกค้าได้สบาย ทำธุระ ล้างเมือเสร็จ เขาเดินผลักประตูออกไป เผอิญบานประตูไปกระแทกใส่ชายคนหนึ่งข้างนอกล้มลง
"ขอโทษครับๆ" ชายหนุ่มเน็กไทด์แดงกุลีกุจอออกจากประตูไปช่วยพยุงชายคนนั้นขึ้น คนที่ถูกประตูกระแทกอยู่ในช่วงวัยกลางคน เคราดก สวมเสื้อกั๊กสีดำ กางเกงยีนส์ และหมวกแก๊ปสีน้ำเงิน ดูลักษณะเหมือนก้ำกึ่งสาวกเพลงเพื่อชีวิต
"ไม่เป็นไรครับ"ชายสวมหมวกแก็ปยิ้มอ่อนโยน แต่พอกำลังจะยืนขึ้นสุดก็ทำท่าจะล้มอีก เซไปคว้ากอดร่างชายเน็คไทด์แดง มือเปะป่ายไปมาค่อยพยุงตัวขึ้นยืนได้ "ต้องขอโทษคุณบ้างแล้ว ผมเป็นความดันต่ำครับ ผลข้างเคียงจาการใช้ยานอนหลับน่ะครับ ลุกยืนแต่ละทีมีปัญหาตลอด"
"ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเสมอกัน" ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงพูด ชายสวมหมวกแก๊ปหัวเราะฮ่าๆ ก่อนขอตัวเข้าไปในห้องน้ำ ชายเน็คไทด์เดินกลับมาที่โต๊ะ รู้สึกถูกชะตากับชายสวมหมวกแก๊ปเมื่อครู่อย่างบอกไม่ถูก การแต่งกายตัดสินเนื้อแท้ของคนไม่ได้จริงๆ
ลงมือรับประทาน สนทนาไปพลาง ระหว่างนั้นก็สังเกตบุคลิกท่าทางของหญิงสาวไปพลาง เป็นการศึกษาตัวตนของหล่อนอีกทางหนึ่ง
"ให้ผมเดานะ" ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงเอ่ยขึ้น หลังกลืนเสต็คคำโต "คุณคงผ่านการเดทกับผู้ชายมาเยอะแล้วใช่ไหม"
"ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะคะ" เธอหยุดรับประทาน สบตาเขา ม่านตาเธอขยาย
"บุคลิกท่าทางของคุณดูแบบว่า.." เขาพยายามหาคำอธิบาย "ไม่รู้สิ คุณดูไม่มีความประหม่าอะไรเลย นั่งหลังตรง ไม่รีบและไม่ช้าจนเกินไป เหมือนถูกฝึกมาดี"
"ดูท่าคุณอ่านคนเก่งไม่เบา" หญิงสาวโน้มหน้าเข้ามาหาเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆเริ่มปรากฎ
"ผมทำงานกับคนนี่ครับ และผมก็ดูออกด้วยว่าผมคงเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกของคุณ"
"ไม่หรอก" เธอปฏิเสธ หัวเราะระรี้ "ฉันก็ยอมรับว่ามีคนคุยด้วยเยอะ เคยเดทกับผู้ชายมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้แทงกั๊กไว้เป็นตัวเลือกนะคะ ผู้ชายเขาอยากทำความรู้จัก ฉันก็โอเค แต่ก็ไม่เคยเจอใครที่ถูกใจเลย"
สิ่งที่หญิงสาวบอกเป็นไปตามที่ชายเน็คไทด์แดงคิดเอาไว้จริงๆ เขาภูมิใจในความสามารถอ่านคนออกของตัวเอง หญิงสาวคนนี้เหมาะสำหรับเป็นคู่ชีวิต ซึ่งทุกวันนี้ไม่ได้จะเจอง่ายๆ เขารู้ว่าขืนรีบเผด็จศึกในสองวันสามคืน เนื้อสมันจะตื่นหนีรอดกรงเล็บเสือไปได้ และเขาก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้น เขาเริ่มรู้สึกอยากลองทำความรู้จักใครสักคนอย่างจริงจัง สัมผัสตัวตนจริงๆมากกว่าสนุกไปคืนๆ
สเต็กทั้งสองจานหมด ทั้งคู่สนทนาต่ออีกครู่หนึ่งก็ถึงเวลา ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงยกมือเรียก
"น้อง เช็คบิลล์ด้วย"
บริกรชายคนเดิมเดินมา บิลล์ในถาดบอกราคาทั้งหมด สเต็คไม่เท่าไหร่ แพงเพราะค่าไวน์มากกว่า ชายหนุ่มเน็กไทด์แดงล้วงหากระเป๋าตังค์ นั่งล้วงอยู่สามสี่รอบค่อนยืนล้วง จนกระเป๋ากางเกงปลิ้นออกมาว่างเปล่า ลองล้วงอีกข้าง เจอแต่โทรศัพท์มือถือ เขามองหน้าบริกรชาย มันมองตอบอย่างเย็นชาท้าทาย เรื่องเรียกร้องสิทธิผู้บริโภคเมื่อครู่อาจได้ขึ้นอุทรณ์ต่อในชั้นศาลเตี้ย
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันออกให้"
หญิงสาววางแบงค์พันลงในถาดบิลล์ บริกรชายค้อมรับอย่างนอบน้อม ส่งรอยยิ้มเย้ยหยันให้ชายเน็คไทด์แดงก่อนเดินจากไป เขาทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ เหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามใบหน้า
"กระเป๋าเงินผมหาย"
"ใจเย็นๆนะคะ" หญิงสาวกล่าวอย่างเข้าใจ "คุณอาจจะทำตกไว้ในรถก็ได้"
"ผมจอดรถไว้ แล้วค่อยต่อรถไฟฟ้ามา"
"หืมม์ หรือว่าจะโดนล้วงในรถไฟฟ้า"
ชายหนุ่มเน็กไทด์แดงคิดตาม ก็อาจจะเป็นไปได้ ในรถไฟฟ้าที่โดยสารเบียดเสียดกัน เปิดโอากาสให้พวกมือเบาล้วงได้สบาย
เงินทอนมาถึงโต๊ะ หญิงสาวทิปบริกรห้าสิบกว่าบาท อีกหนึ่งร้อยบาทให้เป็นค่ารถไฟฟ้าของชายหนุ่มเน็กไทด์แดง บริกรชายยิ้มเยาะอีกรอบ ทำท่าถุยน้ำลายลับหลัง ชายหนุ่มไม่กล้าพูดอะไรใส่
"อย่าคิดมากนะคะเรื่องกระเป๋า ลองไปแจ้งความที่โรงพักนะคะ ถ้าเผื่อโจรใจดีมันอาจจะส่งกระเป๋ากับบัตรคืนให้ คุณจะได้ไม่ต้องไปทำบัตรใหม่ "
"ขอบคุณมากครับ เอาไว้คราวหน้าผมจะเลี้ยงคุณคืนให้ได้"
"ค่า" หญิงสาวหัวเราะกลั้ว "อย่าคิดมากล่ะ"
ทั้งสองคนจากกันด้วยดีหน้าภัตตาคาร ถึงวันนี้จะผิดคาด เสียหน้า แต่ชายหนุ่มเน็คไทด์แดงก็ยังดีใจ อย่างน้อยเขาก็ดูคนไม่ผิด
------------------------------
ณ ลานจอดรถหลังภัตตาคารสเต็ก ชายสวมหมวกแก๊ปยื่นนับแบ็งค์พันบนหลังมอเตอร์ไซต์ สนุกมือ ระหว่างนั้นมีมือข้างหนึ่งมาสะกิดหลัง ชายสวมหมวกแก๊ปสะดุ้งวาบคว้าเงินยัดในอกเสื้อ พอหันขวับไปก็โดนประกบปากจูบทันที
"วันนี้ได้เยอะมั้ยจ๊ะ พี่" หญิงสาวหุ่นดีร่างสูงในชุดแสคสีขาวออดอ้อน
"มาไม่ให้สุ้มใส้เสียงเลยนะ ไอ้นี่มันตังค์เยอะอยู่ เลือกเหยื่อใช้ได้เลยนี่"
"พี่ก็เก่งเหมือนกันแหละจ้ะ ล้วงได้เนียนจริงๆ ไอ้โง่นั่นรู้สึกดีกับพี่ด้วยซ้ำ"
"เอ็งต้องแต่งชุดเชยๆส่งตาหวานผู้ชายอีกกี่คนถึงจะพอวะ ข้าเห็นแล้วขัดหูขัดตาชอบกล"
"โถ อย่าหึงไปเลยจ้ะพี่ อีกแค่สิบกว่าคนเราจะมีบ้านเป็นของเราเองแล้ว อดทนหน่อย นะนะ นะจ๊ะ"
"เออๆ ว่าแต่กระเป๋าของมันยังมีบัตรอะไรสำคัญๆอยู่ ส่งคืนทางไปรษณีย์ดีไหมวะ เห็นใจมัน"
"โยนทิ้งแม่น้ำดีกว่าพี่ เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องของเรา" หญิงสาวชุดแสคขาวตอบเรียบๆ
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Monster University รั้วมหาวิทยลัยในอนิเมชั่น
บริษัท Pixar ขึ้นชื่อนี้เมื่อไหร่เป็นต้องเชื่อใจได้ในเรื่องอนิเมชั่น ถึงแม้ได้ดูตัวอย่างหนังในโรงมาหลายรอบและรู้สึกเฉยๆกับมัน แต่เมื่อไหร่ที่ด่วนตัดสินไปแบบนี้ก็มักจะเจอกับหนังดีผิดคาดอยู่เรื่อยไป หลังยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และโฆษณา Hilux Vigo Champ หนึบ ก็ได้รับชมกับ "ร่มน้อยสีฟ้า" โปรเจคเล็กๆที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ น่ารัก ลุ้นไปกับชะตาของร่มฟ้าหนุ่มน้อยที่มีชีวิต ไปตกหลุมรักกับร่มสาวสีชมพูที่มีความรู้สึก โดยที่ผองเพื่อนอย่าง ไฟจราจร ฝาท่อน้ำ ร่องระบายน้ำหลังคา และคณะ คอยเอาใจและตัวช่วยโดยไม่ไม่ตกเป็นที่สังเกตแก่คนอย่างเราๆที่เดินไปเดินมา และเรื่องก็จบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง เป็นหนังอนิเมชั่นสั้นๆที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องหลักเลย เหมือน Pixar ต้องการเอามานำเสนอเฉยๆ สวยงามและสร้างสรรค์ดีครับ
Monster University นั้นคือการบอกเล่าความเป็นมาก่อนจะมาเป็น Monster Inc นักล่าเสียงกรีดร้องของเด็กๆ ซึ่งบุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือนฮีโร่ เพราะโลกของสัตว์ประหลาดนั้นต้องอาศัยพลังงานความกลัวจากโลกมนุษย์มาใช้เป็นพลังงาน ไม่ต่างจากน้ำมัน หรือไฟฟ้าบ้านเรา หนังเล่าเรื่องราวของ ไมเคิล ซาวาซกี้ เจ้าตัวเขียวตาเดียวหน้าตาน่ารัก ใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆว่าโตขึ้นมาจะเป็น นักล่าเสียงกรีดร้อง ไมเคิลความมุ่งมั่นและพยายาม ชดเชยปมด้อยเรื่องความน่าเอ็นดูของตัวเองจนสามารถสอบเข้า Monster University คณะ เขย่าขวัญ ได้สำเร็จ และที่นั่นเอง เขาได้เจอกับ เจมส์ แซลลิแวน สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ขนปุยที่เกิดมาในตระกูลที่มีชื่อเสียง พร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่น่ากลัวซึ่งเป็นที่อิจฉาของบรรดาสัตว์ประหลาด ในภาคนี้หนังจะพาเราไปเยี่ยมชมในรั้วมหาวิทยลัยในรูปแบบของมอนสเตอร์น่ารักๆ และจะได้รู้ว่าก่อนที่ทั้งสองจะเป็นซี้ปึกกัน Monster Inc. นั้น เคยเขม่นกันมาขนาดไหน
ถึงจะเป็นอนิเมชั่นที่มุ่งเจาะตลาดสำหรับเด็ก แต่ดูไปดูมาแล้วสะท้อนให้เห็นสังคมนักเรียนในปัจจุบัน เด็กบางกลุ่มเกิดมามีข้อจำกัดบางอย่างเลยมีแรงขับดันให้เรียนเก่ง และมีความรับผิดชอบ เด็กบางกลุ่มมีพ่อแแม่หาทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว เลยไม่รู้จะดิ้นรนไปทำไม ทำเท่ห์เอาหน้าเอาตาตามใจตัวเองไปวันๆ อีกทั้งสะท้อนทัศนคติคนส่วนใหญ่ที่เดี๋ยวนี้มักตัดสินคนจากภายนอก การที่สัตว์ประหลาดตัดสินอนาคตคนอื่นจากความน่ากลัวของรูปลักษณ์ ผมว่าไม่ต่างจากการที่คนเราตัดสินคนอื่น ตรงหน้าตา บุคลิก หรือความรวยเลย และนอกจากนี้หนังยังต้องการจะสื่อถึงคนดูว่า ความต่างไม่ใช่จะต้องหมายถึงความแปลกแยกหรือปมด้อยเสมอไป แต่เราสามารถนำมาพัฒนาเป็นจุดเด่นได้ อย่างในเรื่องนี้ สัตว์ประหลาดที่ลงแข่งขัน " Scare Game" (ไปดูกันไหนหนังนะครับ อิอิ) ทีมเดียวกับไมเคิล ซัลลิแวนนั้น แต่ละตัวดูประหลาดแต่บ้องแบ๊วไร้น้ำพิษเอามากๆ แต่ตอนหลังๆของเรื่องกลับดึงเอาจุดประหลาดของตนมาใช้หลอกให้คนอื่นกลัวได้สำเร็จ ดูแล้วชวนให้นึกย้อนถึงการทำงานในชีวิตประจำวัน ที่บ่อยครั้งคนอื่นมักมาด่วนตัดสินเรา(หรือไม่ก็เราตัดสินคนอื่น) ว่าทำนู่นไม่ได้หรอก นี่ไม่ได้นะ ก็อยู่ที่เราเลือกเชื่อเลือกทำล่ะครับ ออกจากโรงแล้วอยากทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
วิพากษ์มาซะเยอะเลย เข้าเรื่องวิจารณ์กันบ้างดีกว่า เรื่องความสนุกสนานแบบอนิเมชั่นน่ารักๆนั้นเรื่องนี้รับประกันได้ครับ ไอเดียเรื่องโลกสัตว์ประหลาดและการออกแบบสัตว์ประหลาดแต่ละตัวแสดงถึงความสร้างสรรค์และใส่ใจของผู้สร้าง มีมุกตลกแทรกมาอยู่เรื่อยๆ ไม่ถึงขั้นขำก๊ากจนตกเก้าอี้ แต่ขำแบบพาเพลินเหมือนดื่มกาแฟเบอร์ดี้(มีก๊ากอยู่เหมือนกันนะ) หนังมีครบทุกอารมณ์ครับ สนุก ตลก ตื่นเต้น ซึ้ง สะท้อนสังคม หลอน(แอบมีนะ ผมหลอนวิธีหลอกเจ้าหลายตาเอามาก ฮ่าๆ) แต่ไม่มีอารมณ์ หื่น กับซาดิสซ์นะครับ ใครหวังสองอารมณ์หลังรับรองผิดหวัง และคงบ้าไปแล้วถ้าจะหวังมันจากการ์ตูนอนิเมชั่น
ขี้เกียจวิจารณ์ข้อด้อยแล้วครับ โดนข้อสอบเล่นมาเยอะแล้ว ขอโลกสวยวันหนึ่งเถอะ เรื่องนี้ผมให้คะแนน 9.5/10 ครับผม
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
มีสิทธิอะไร
ชีวิตนักเขียน ไปได้ดี อีกไกล ถ้าวันนี้ ร่างไม่โดนกระสุนเจาะ หรือระเบิดไปเสียก่อน
โชคยังดี นักเขียนเพื่อนซี้ เพื่อนร่วมคิด อยู่กองร้อยเดียวกัน เคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามเพลาะ
ลูกตะกั่วแหวกอากาศ เจาะร่าง ร่างแล้วร่างเล่า ระเบิดดัง อัดดินดำกระจาย คละชิ้นส่วนชายชาติทหาร
เราสองคน โผล่ท่อนบน พานท้ายปืนอัดร่องไหล่ ยังไม่ได้ยิงซักนัด
เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงคำรามแผดร้อง ข้าพเจ้าตะเบ็งเสียงแข่ง พูดกับเพื่อนซี้ข้างๆ
"ข้าชอบยิงปืน ข้าไม่ชอบยิงคน"
"ข้าไม่ชอบยิงซักอย่าง ข้าชอบคิดแล้วเขียน"
"ข้าคิดก่อนลั่นไก เรามีสิทธิอะไรตัดสินอายุขัยคนพวกนั้น"
"คนพวกนั้นมีสิทธิอะไรมารุกรานมาตุภูมิเรา"
"สิทธิตั้งอยู่บนฐานของหน้าที่และการไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น มันรุกรานมาตุภูมิเรา มันไม่มีสิทธิ"
"แล้วมันมีสิทธิตัดสินอายุขัยเราไหม"
"มันไม่มีสิทธิ แต่มันทำได้"
"เราก็ไม่มีสิทธิ แต่เราก็ทำได้"
"หมายถึงทำอะไร"
"จะยิงกะบาลพวกมัน นอนหลบในสนามเพลาะ หรือหันหลังวิ่งหนี"
"ใครหันหลังวิ่งหนี หัวหน้ากองพันสั่งยิงทิ้ง"
"หัวหน้ากองพันมีสิทธิ? ละเมิดสิทธิเราหรือไม่? เอ็งอนุญาต?"
"ข้าชอบคิด แต่ข้าชักจะปวดหัวแล้ว"
อนิจา หัวตะกั่วเม็ดหนึ่ง แหวกอากาศมาเจาะกบาลเพื่อนผมในทันที คอพับ ล้มลง หายปวดหัวไปตลอดกาล
ข้าพเจ้าคำราม ลั่นไก ส่งกระสุน เจาะกบาลข้าศึก
ข้าพเจ้ายังไม่อยากหายปวดหัว เหมือนเพื่อน
ข้าพเจ้ายังอยากเก็บสมองไว้คิด ตอนนี้จำต้องหยุดคิด แล้วส่งกระสุนเจาะกบาลพวกมัน
หมายเหตุ: flash fiction เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมากจาก บทกวี"ฉันอยากเป็นนักแม่นปืน" ของ ซะการีย์ยา อมตยา กวีซีไรต์
บทกวี บุญเกิดเจ้านกแก้ว
โอ้ เจ้าบุญเกิด
แอฟริกันเกรย์หางสีแดงตัวสีเทา
เงียบเสียงชม้ายมองเมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้
คล้ายจะสดับคำที่ฉันจะพูด
จารึกถ้อยคำลงในความทรงจำผ้าขาวนกแก้ว
โอ้ เจ้าบุญเกิด
พูดคำแรกทียินดีกันยกบ้าน
เสียงใสแจ้วคล้ายทารกหัดพูด
คนพูดภาษานกไม่เท่าไหร่ นกพูดภาษาคนน่าตื่นใจ
นกพูดได้ดูน่าตื่นเต้น คนพูดไม่ได้ดูไม่เห็นมีอะไร
โอ้ เจ้าบุญเกิด
มันร้องเพลงได้ เพี้ยนนิดหน่อยจากที่ฉันสอนไว้
"ตับ ตับ จิ๊ก!! ตับ ตับ" สร้างความเริงใจให้ทุกหูที่ผ่านเสียง
คนร้องเพลงด้วยความครื้นเครงในจังหวะและท่วงทำนอง
นกแก้วรู้สึกครื้นเครงเวลาร้องเพลงบ้างไหม
โอ้ เจ้าบุญเกิด
ร้อง "โอ้มายก๊อด!" ตั้งแต่เช้ายันบ่าย
ฟังอยู่นานค่อยฟังออกว่ามันพูดว่าอะไร
ฟังออกก็จริงแต่ก็ยังฟังไม่เข้าใจ
นกแก้วเชื่อในพระเจ้าหรือไม่
โอ้ เจ้าบุญเกิด
ไม่ยอมกินอาหารนกแก้วสำเร็จราคาแพง
จะกินเมล็ดทานตะวันกับแทะกระดูกไก่
ช่างเลือกกินเหมือนนิสัยเจ้าของ
นกแก้วก็มีรสนิยมหรืออย่างไร
โอ้ เจ้าบุญเกิด
ฉันแตะตัวหน่อยทำขนพองจะงับนิ้วให้
อยู่กับหม่ามี้เป็นเด็กดีก้มหัวให้เกา
บุญเกิดรักหม่ามี้
ฉันก็รักหม่ามี้
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
แผ่เมตตา
กลับจากงานศพ ตกดึก เข้านอน จิตโปร่งโล่งสบาย
คนที่ควรตาย ตาย ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ฉันยินดีไปร่วมงานศพ ไม่ได้ตื่นเต้นยินดี แต่ตายไปก็ดีเหมือนกัน
คู่แค้นตาย เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป ต้องปรับตัวกับความโล่งใจใหม่
ดับไฟ ห่มผ้า ตาปิดสนิท เคลิ้ม ปริ่มๆภวังค์
ทันใดนั้น ผ้าห่มที่ห่ม ค่อยๆเลื่อนจากยอดอก ชายผ้าไล้ผ่านปลายเท้า
ฉันรู้สึกตัว ร่างไร้ผ้าห่ม ลมเย็นโชย แต่หนาวจากใจมากกว่า ตัวสั่น
แว่วเสียงคร่ำครวญ สะอื้น หวนไห้ ฉันหลับตาปี๋ ไม่อยากเห็นสิ่งที่คิดว่าจะเห็น
ความกลัวครอบงำ เล่นตลก คนเราเวลากลัว มักเสียความสามารถในการคุมตัวเอง
ฉันเผลอ ลืมตาโพลง
หล่อน!!!!
ฉันหวังว่า นี่จะเป็นแค่เรื่องหักมุม ลืมตา แล้วเจออะไรตลกๆสักอย่าง
แต่ เป็นหล่อนจริงๆ ฉันเพิ่งไปร่วมงานศพหล่อนมา
ถึงผีไม่ทำอะไร เราก็กลัวผี ไม่มีเหตุผล ฉันกลัว นิ่ง แข็ง กรี๊ดไม่ออก
"ฮือๆ ฉันตาย"
ฉันกลัว แต่นึกถึงตอนก่อนหล่อนตาย สิ่งที่หล่อนทำ ฉันหมั่นไส้
"ยังจะมารังควาญอีก"
"ฉันยังไปเกิดไม่ได้ ฮือๆ"
"จะเอาอะไรกับฉันอีก"
"ขอส่วนบุญหน่อย"
"ฝันไปเถอะ"
"ถ้าไม่ให้ ฉันไม่ไป จะหลอกเธอทุกคืน"
"ฉันจะไปจ้างหมอผี จับแกยัดลงไห"
"คืนนี้เธอจะไม่ได้นอน แบร่!!"
"กรี๊ดดดดดด"
"แค่ส่วนบุญนิดหน่อย ฉันก็ไป โง่ไปได้"
"ฉันไม่เต็มใจ"
"เอาส่วนบุญมา!!!"
"โอเคๆ ได้แล้วไปนะ คนจะนอน"
ฉันลุก นั่งคุกเข่า ก้นทับเท้า ท่าเทพธิดา ทวนบทสวดมนต์สมัยอนุบาล บทสัพเพสัตตาลางเลือนในความทรงจำ
หล่อนเลือนหายไป คงไปเกิดใหม่ ขอให้ไปเกิดในรก อย่าได้เจอหน้ากันอีก ฉันจะขึ้นสวรรค์
แต่ฉันแปลกใจ คิดไม่ตก นึกทบทวนดู
เมื่อครู่ ฉันท่องบทแผ่เมตตา ไล่หล่อนให้ไปไกลๆ
บทแผ่เมตตาจริง แต่ฉัน แผ่อะไรออกไปหว่า
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
จุดจบที่แท้จริง
1. นักวิจารณ์สับกันมัน สับกันเละ
หนังสือนวนิยายของนายกบินทร์ โศกนาฏกรรมวงการวรรณกรรมไทย ทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างเลวร้าย
นักอนุรักษ์ธรรมชาตินับพันชีวิต ยืนไว้อาลัย ชีวิตต้นไม้หลายล้านต้น สละมาเพื่อพิมพ์ขยะวรรณกรรมเรื่องนี้
นักอ่าน นักวิจารณ์ นักอนุรักษ์ธรรมชาติ ดักปาขี้ปาไข่หน้าบ้าน ผลัดเวรกันยี่สิบสี่ชั่วโมง
กบินทร์ออกจากบ้านไม่ได้ ต้องจ้างเด็กอ่านหนังสือไม่ออกคนหนึ่ง ไปซื้อข้าวมาส่งทางหลังบ้าน
ชื่อเสียงนักเขียนนั้นสำคัญ ถูกตราหน้าว่าเละขนาดนี้ ไม่ต้องหมอเละฟันทวนก็ฟันธงได้ ชีวิตนักเขียนของกบินทร์ดับแล้ว จบจริงๆ
แต่หารู้ไม่ ใจเขายังไม่จบ ไฟยังไม่ดับ บ้านมืดสนิท เงียบสงัด แต่โป๊ะไฟเล็กๆเปิดอยู่ตลอด ปิดวันละสี่ชั่วโมงตอนนอน
กบินทร์เป็นคนไม่ยอมใคร เขาจะต้องกลับมาดัง ทุกคนที่อ่านหนังสือออกจะต้องลืมว่าเคยด่าเขา คลั่งไคล้เขาชนิดยอมให้นั่งตักเขียนหนังสือ
เวลาที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน ความเกลียดชังที่โลกภายนอกมีต่อเขา ถูกเอามาใช้เป็นวัตถุดิบ ผลิดตวรรณกรรมเอกชิ้นใหม่
แล้วจะได้เห็นกัน
2. ถล่มทลาย เหยียบกันตายหน้าโรงพิมพ์
ในความเห็นนักวิจารณ์ นวนิยายของกบินทร์ หม่นหมอง หดหู่ อ่านแล้วเหมือนโลกพร้อมถล่มลงมาทับ รสชาติแปลกใหม่
ยอดขายประเมินไม่ได้ มาแรงแซงนิยายชวนฝัน รักหวานแหวว ทุกเรื่องในตลาด
มีข่าว ปล้นโรงพิมพ์สามแห่งในสองวัน นวนิยายของกบินทร์ถูกกวาดเกลี้ยง นำไปขายโก่งราคาในตลาดมืด
นักอ่านคลั่งไคล้ ผลัดเวรกันมายืนกรี๊ดหน้าบ้านกบินทร์ ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ออกบ้านไม่ได้
เด็กอ่านหนังสือไม่ออก โตแล้ว กลายเป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์ พากบินทร์ไปคฤหาสน์ สร้างเสร็จใหม่ ห่างไกลคน
กบินทร์จรดปากกา พยายามเขียนนวนิยานเรื่องใหม่
แต่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ไม่คาดคิด ก่อตัวเป็นความกดดัน กบินทร์ไม่กล้าเสี่ยงกับชื่อเสียงตน
แม้แต่ตัวจะเขียนอักษรตัวเดียว ยังไม่กล้า
ชีวิตนักเขียนของกบินทร์ จบแล้วจริงๆ
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เสียงค้านในความเงียบ
ใครมีความเห็นอื่นจะเสนอมั้ย"
ความเงียบเข้าปกครองห้องประชุม ผมมี แต่ไม่กล้ายก ถึงกล้าก็มีข้ออ้างให้ไม่ยก
ในห้องประชุมประกอบด้วย ประธาน เลขา และผู้บริหารระดับกลาง รวมผมแล้วเป็นยี่สิบชีวิต
ห้องประชุมของบริษัทในประเทศไทย ประธาน เลขา ทุกคนในห้อง เป็นคนไทย
ถึงจะคนไทยเหมือนกัน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความเห็นทุกเรื่องตรงกัน
มองหน้าคนอื่นๆ สีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกเลยว่าเห็นด้วยหรือไม่
ถ้าผมยก ผมจะเป็นแกะดำหรือไม่ คนจะมองผมอย่างไร
จากสีหน้าท่านประธาน เวลาโอกาสแสดงความคิดเห็นใกล้หมด
ส่วนลึกในใจสั่งให้ยกมือพูด แต่ส่วนตื้นของสมอง ไขสันหลัง ประสาทอัตโนมัติ สั่งการให้แนบแขนชิดลำตัว
วินาทีกดดัน ความคิดต่อสู้หักล้างกันในใจ ทันใดนั้น รักแร้ผมแสบจี๊ด เหมือนมดกัด
ความรู้สึกนี้.... มดส้ม คงเป็นมดส้มบนต้นมะม่วงหน้าบ้าน ร่วงใส่ก่อนออกจากบ้าน
ผมเผลอยกมือขึ้น เหยียดตรงขึ้นฟ้า ดูมั่นใจจนทุกคนในห้องเหลียวมอง
"คุณไม่เห็นด้วยกับผม?"
เลยตามเลยแล้ว "ครับ"
ท่านประธานพยักหน้าขรึม ยังไม่ถามอะไรผม ถามคนอื่นๆก่อน
"มีใครไม่เห็นด้วยกับผมอีกไหม"
ทุกชีวิตในห้องชูมือสลอน เลขาท่านประธานถึงกับชูสองมือสองเท้า กกน.สีชมพูแล่บ สีหน้าเรียบเฉยของทุกคนถูกทะลายออก แสดงออกถึงความครุกรุ่น ขบเขี้ยว ใคร่ระบายความคิดเห็น
ผมมองทุกคน ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวชวนให้ฮึกเหิม พวกเราคนไทยร่วมสมัย ผมเข้าใจความรู้สึกนี้
ถ้ามึงกล้าเปิด กูก็กล้าตาม
พี่ชายที่แสนดี
พี่ชายของฉันดีที่สุดในโลก
ฉัน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ พ่อเสีย แม่ป่วย มีพี่ชายแข็งแกร่งปกป้อง
เด็กหนุ่มตัวเล็ก ใจใหญ่ ตัวเป็นเด็ก ความคิดความสามารถโตกว่าผู้ใหญ่
ไม่ได้เรียน ไม่บ่น ขยัน ทำงาน หาเงิน ส่งฉันเรียน เลี้ยงแม่
โลกภายนอก โหดร้าย หนักหนา แต่กับฉัน พี่อ่อนโยน เสมอต้นเสมอปลาย
กับฉัน พี่ไม่เคยโกรธ แต่กับคนที่รังแกฉัน พี่ไม่ยอม โกรธน่ากลัว แต่อุ่นใจแน่ว่าปกป้องฉันได้
พี่คือผู้กล้าในดวงใจ ทำเพื่อฉันมามาก ฉันอยากตอบแทน
วันหนึ่ง เดินกลับบ้าน ผ่านในวัด ลูกแมวสีเทา ยังเล็ก น่ารัก ซุกซน เสียงแจ้ว เข้ามาคลอเคลียแข้ง
ฉันนึกถึงพี่ชาย มองซ้ายขวา อุ้มลูกแมว ใส่กระเป๋านักเรียน เว้นช่องว่างซิบ เป็นรูอากาศหายใจ
หน้าบ้าน พี่ถือไม้กวาดทางมะพร้าว กำลังกวาดหน้าบ้าน
พี่ยิ้มต้อนรับ ฉันยิ้มตอบ ยื่นกระเป๋า
หวังให้พี่ประหลาดใจ เปิดซิบ โยนลูกแมวตัวน้อย ละลิ่วจากกระเป๋า เข้าหาอ้อมอกพี่ชาย
พี่ร้องลั่นบ้าน หวดไม้กวาด ตีลูกแมวกลางอากาศ ร่วงลงพื้น ดิ้น ครวญคราง
พี่กระทืบซ้ำ ลูกแมวน่ารัก ร่างแหลกเละ มิวายกระทืบซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ซากลูกแมวบี้แบนติดพื้น
ฉันเพิ่งรู้ในวันนี้ พี่ชายที่แสนดีของฉัน เกลียดแมว
"จองจำ"
ผมเดินกลางห้าง จะรีบไปทำธุระ สวนกับเพื่อนเก่าสมัยอนุบาล ทักกันแวบเดียว คุยยาว
"หน้าตาเปลี่ยนไปเยอะเลยนี่หว่า เฮ้ย! จำได้มั้ย ตอนเด็กน่ะ เราซี้กันออก เล่นสนุกกัน ต่อยกันเองก็มี"
"จำได้ๆ"
"เมื่อก่อนยังดูดนิ้ว สูดขี้มูกฟืดๆกันอยู่เลย มาเดี๋ยวนี้หัวล้านลงพุง มีลูกมีเมียกันแล้ว โอ้โห เปลี่ยนไปเยอะจริงๆ แม่! สงสัยข้าต้องถูกชะตากับเอ็งเอามาก เห็นแค่แวบเดียวก็จำเอ็งได้แล้ว ลูกเมียเอ็งเป็นไงมั่ง"
"สบายดี เอ้อ พอดีว่า..."
"ลูกกี่คน กี่ขวบกันแล้ว"
"เอ่อ ลูกชายคนเดียว ห้าขวบ"
"อย่าบอกนะว่าเรียนอยู่ อนุบาลหมีใหญ่"
"ใช่ๆ โทษทีนะ พอดี..."
"ข้าว่าแล้ว แม่! ลูกข้าก็ห้าขวบ อยู่อนุบาลหมีใหญ่ เรานี่ถูกชะตากันเอามาก หวังว่าคงไม่มีเมียคนเดียวกันนะฮ่าๆๆ เออเว้ย! ดีใจจริง ได้เจอเพื่อนเก่าถูกชะตา"
"ข้าก็ดีใจ แต่ข้ามีธุระด่วนต้อง...."
"อะไรว้า! เจอหน้าเพื่อนเก่าทั้งทีจะหนีไปทำธุระซะแล้ว รังเกียจข้ามากเลยเรอะ หน้ามู่ทู่เชียว ได้ดิบได้ดีแล้วหนีเพื่อนเลยนะ"
"เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้น คือ..."
"ฮ่าๆ ข้าล้อเล่นหรอก หน้าซีดเป็นตูดไก่ไปได้ ข้ารู้ ไม่ใช่เด็กกันแล้ว เป็นผู้ใหญ่มันก็ต้องมีธุระปะปังเป็นธรรมดา ข้าก็ไม่อยากรั้งเอ็งไว้นานหรอก"
"โอเค โชคดีนะเว้ย ไว้เจอกัน ต้องรีบไป..."
"เอ้อ เดี๋ยวๆ ขอเบอร์ติดต่อไว้หน่อย พอดีตอนนี้ข้ากำลังทำโปรเจคเกี่ยวกับสุขภาพ ได้เงินดีเลยนะเว้ย เลยอยากชวนเอ็ง..."
"โอเค ลูกโซ่ขายตรงเอาไว้วันหลัง ตอนนี้กูปวดขี้ โอเคนะ ไปล่ะ"
"ไม่ใช่ๆ มันไม่ใช่ลูกโซ่หรือขายตรงอย่างที่เข้าใจ มันคือธุรกิจเครือข่ายที่...."
"เดี๋ยวเอาขี้ยัดปากซะหรอก ไปละโว้ย ไม่ไหวแล้ว!!"
ผมวิ่งหน้าตั้ง เหมือนนักโทษวิ่งหนีผู้คุม ลุ้นระทึก ขนลุกซู่ โชคดียังทัน ระเบิดไม่ลงกลางห้าง โล่งสบาย โล่งอก รู้สึกถึงอิสรภาพ เหมือนนักโทษเพิ่งออกจากคุก คุกที่จองจำด้วยการสนทนา ยังไงยังงั้น
วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เธอที่ฉันจะทิ้ง
เวลาพิสูจน์แล้ว ผมควรจากมา แล้วไปต่อ
ช่วงเวลาแรกรัก ความวาบหวามครอบงำโลกทัศน์ มองเห็นอะไรไมชัด
วันเวลาผ่านไป เห็นชัดขึ้นทีละน้อย เห็นความต้องการตัวเอง ได้ยินเสียงที่หัวใจเรียกร้อง
มันยังไม่อยากถูกผูกมัด มันรักอิสระมากกว่ารักเธอ
เวลาช่วงแรกบ่มเพาะขึ้นเป็นความแน่ใจ เวลาช่วงหลังบ่มเพาะขึ้นเป็นการตัดสินใจ
ตัดสินใจแล้ว แต่ก็ยากจะตัดใจบอก กลัวตัดสินใจผิด กลัวเธอเสียใจ
โถงทางเดินในโรงพยาบาล ยาว แต่อยากให้ยาวกว่านี้
ถึงประตูห้อง ห้องที่เธออยู่ เส้นทางในการเดินครุ่นคิดยุติลง สองเท้าหยุดหน้าประตู
รอเธอหายดีค่อยบอก ความต้องการของหัวใจ ใจร้ายเกินไปถ้าจะบอกวันนี้
เธอประสบอุบัติเหตุ ผมทราบ รีบบึ่งรถมา เป็นห่วงเพราะความผูกพัน พันธะ และรักที่เจือจางแทบลางเลือน
สิ่งที่ผมจะทำ เธอที่ผมจะทิ้ง ดูเหมือนผมจะผิด แต่ถ้าฝืนหัวใจ ปากหลอกว่ารัก จนวันหนึ่งถึงจุดแตกหัก คงจะผิดกว่านี้
สำหรับเธอ การหาคนใหม่ ที่ใช่ ที่รักเธอ ไม่ยาก ผมควรถอนตัว เธอจะได้เจอคนที่รักเธอ จริงๆ
ตัดสินใจ ผลักประตูเปิด
ภาพที่เห็น....
ไม่เคยจินตนาการถึงภาพนี้มาก่อน ใบหน้าแต่เดิมขาวเนียนละเอียด บัดนี้เปลี่ยนเป็นผิวสีเนื้อระเรื่อขรุขระ เละ จมูก ริมฝีปาก ใบหู หายไปกับฤทธิ์ไฟคลอก
เดิมเธอสูงระหง ยามนี้เหลือเพียงร่างท่อนบน สละท่อนล่างรักษาชีวิตที่เหลือ
เป็นใครก็จำเธอไม่ได้ ถ้าไม่ได้เห็นแววตา เธอมองผม น้ำตารื้น ผมมองเธอ สบสายตา น้ำตาไหล
เวลานี้ ภาพตรงหน้ามีเหตุผลเพียงพอที่จะทิ้งเธอ ทางที่ดีควรทิ้งเธอ
แต่ตอนนี้ เปลือกแห่งความใคร่ ความหลง ความเสน่หาอันจืดจาง ถูกฉีกกระชากออก
เนื้อแท้ลึกๆของหัวใจปรากฎ ความรักที่มีพื้นฐานบนความห่วงใย
ไอ้บ้าที่ไหนจะทิ้งเธอก็ช่างหัวมัน ผมคนนี้จะขอดูแลเธอด้วยชีวิต ตลอดไป
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เมตตาทำ
คุณครูสอนเด็กหญิงดวงใจเรื่องการทำความดี
ใครทำความดีเยอะๆ เป็นเด็กดี เด็กดีได้เป็นนางฟ้า
เด็กหญิงดวงใจอยากเป็นนางฟ้า คิดทำความดี
กลับบ้าน ช่วยมดสี่ตัวขึ้นจากน้ำในแก้ว ยิ้มแก้มปริ อิ่มใจกับการทำดี
เด็กหญิงดวงใจคิด แค่นี้ยังไม่เยอะ คิดทำดีอีก แต่คิดไม่ออก
ตอนนั้น นางฟ้าอาจดลบันดาล ส่งยุงตัวหนึ่งมากัดแขน ความคันสะกิด เด็กหญิงมองดู
เด็กหญิงดวงใจนึก คำครูสอน การให้คือการทำความดี
ยุงดูดเลือดจนตัวป่อง เด็กหญิงอิ่มเอิบใจ ให้เลือดยุงกิน ยุงอิ่มมีความสุข
เด็กหญิงดวงใจคิดได้ ออกนอกบ้านกลางดึก ทำความดี ยืนแบ่งเลือดให้ยุงกิน
เด็กหญิงทำความดีทุกคืน ระหว่างนี้ เด็กหญิงได้เรียนรู้การเมตตา แบ่งปัน
ยอมคันนิดหน่อย ประทังชีวิตยุงหลายตัว เด็กหญิงดวงใจภูมิใจที่ได้เป็นเด็กดี
สองเดือนผ่านไป
ไม่มีใครรู้ เด็กหญิงดวงใจได้เป็นนางฟ้าหรือไม่
เพราะไข้เลือดออกและสมองอักเสบ พ่อแม่ของเด็กหญิงร้องไห้ฟูมฟายหน้าโลงศพ
ไร้ช่องโหว่
เกินหน้าเกินตาไปแล้วนะ
เพิ่งมาใหม่แท้ๆ ยิ้มโปรยเสน่ห์ ทักทายคนในออฟฟิศไปทั่ว ใครๆก็รัก เชอะ!
หน้าตาสวย ทำงานเก่ง โถ แม่เพอร์เฟ็ค แม่โลกสวย ชีวิตคนเรามันต้องมีข้อด้อยบ้างล่ะ
เรื่องดึงปมด้อยคนแบบเธอออกมา ฉันถนัด ฟิวส์ขาดหมดสวยไปนักต่อนักแล้ว
"แหม เธอหน้าอกเล็กจังนะจ๊ะ รู้มั้ย ผู้ชายเดี๋ยวนี้ให้ความสำคัญมาก จอแบนอย่างเธอผัวจะทิ้งเอาง่ายๆ"
"ขอบคุณที่เตือนนะคะ แต่หนูไม่รู้จะทำยังไงให้ใหญ่ขึ้น พี่มีวิธีแนะนำไหมคะ"
เหมือนโดนย้อน หน้าอกฉันก็ไม่ได้ใหญ่ แต่ไม่กลัว ภูมิต้านทานฉันดี ไม่กลัวโดนด่ากลับ เปราะบางอย่างเธอหรือจะสู้ฉัน
"โปรยยิ้มทั่วออฟฟิศแบบนี้ ได้เหยื่อใต้ชายกระโปรงมากี่่รายแล้วล่ะ หายคันหรือยัง"
"เอ ไม่ได้คิดนะคะ ปรกติหนูก็ยิ้มให้ทุกคนอยู่แล้ว แต่ถ้ามีคนมาชอบก็ดีใจค่ะ"
ความใสซื่อของเธอทำฉันดูเป็นอีโง่
"เธอซื่อบื้อรู้มั้ย โดนหลอกด่าก็ไม่รู้เรื่อง"
"ขอบคุณที่สอนนะคะ หนูไม่ทันคนเท่าไหร่ คงต้องให้พี่สอนอีกเยอะ"
ปรอทฉันจะแตก ใสซื่อน่าตบจริง
"อีโง่!"
"ถ้าด่าหนูแล้วพี่ได้ปลดปล่อย หนูยินดีค่ะ"
ทนไม่ได้แล้ว แน่นอก กรี๊ด! เงื้อมือตบหน้ามัน เพี้ยะ!!
นังโลกสวยหน้าหัน สะใจจริงเชียว มาตบกับฉันมา ตบแย่งผู้ชายตั้งแต่ม.ปลายฉันไม่เคยแพ้
"ขอบคุณพี่นะคะ หนูได้เรียนรู้กับความเจ็บปวด เพื่อจะได้อดทน เข้มแข็งขึ้น"
ฉันกรี๊ดแตก ฉันยอมแพ้ สะบัดหน้า เดินจ้ำพรวดจากมา สายตาหลายคนในออฟฟิศมองฉันอย่างรังเกียจ ช่างมันปะไร
นังโลกสวยคนนี้ โลกสวยเกินไป
นางโลกสวยคนก่อนๆ แทบไร้ที่ติ แต่เกราะโลกสวยยังมีช่องโหว่ให้เล่นงาน
แต่นังคนนี้ กลับไม่มี
ไม่ใช่เกราะมันไม่มีช่องโหว่ แต่มันไม่มีเกราะ มีแต่ความว่างเปล่า เปลี่ยนสิ่งที่โจมตีมาให้เป็นอากาศ อากาศสดชื่นของโลกสวย สุดท้ายจึงไร้ช่องโหว่
และฉันก็เริ่มเอ็นดูเธอซะแล้วสิ
เรื่องยังไม่จบ
1. บ้านคฤหาสน์ของเศรษฐีพันล้าน คุณหนู ลูกชายคนเดียวของบ้าน
ลูกชายได้มาไม่ง่าย วิธีวิทยาศาสตร์ไม่ได้ผล บนบานศาลกล่าวจึงได้มาคนหนึ่ง ประคบประหงมยิ่งกว่าไข่ในกางเกง
คุณหนู อยากได้อะไรต้องได้ หาให้ดีกว่าที่อยากได้ด้วย ไม่เคยถูกขัดใจ ห้ามใครขัดใจ
คุณหนูถูกสปอยล์ ไม่มีทางเลือก
2. เด็กสปอยล์ คบเพื่อนกิน ไม่เรียนหนังสือ
สนุกสนาน เพื่อนเยอะ สาวตรึม เมา ซิ่งรถ ชนคน คนตาย ขับรถหนี
คดีความ สื่อประณาม ร้องหาพ่อแม่ พ่อแม่วิ่งเต้น ยัดเงิน สื่อเงียบ ตำรวจเลิกตาม
สังคมยังประณาม พ่อแม่ส่งไปเมืองนอก รอกระแสซา ค่อยกลับมา
3. เงินเยอะ ไม่เห็นต้องเรียน ไม่เรียน เรียนไม่จบ
ติดยา กลับมา รับช่วงต่อกิจการ ถึงเวลาพ่อแม่วางมือ พักผ่อน
เศรษฐีพันล้าน บริหารไม่เป็น พันล้านหมดไป ไวเหมือนโกหก ไม่เคยมีใครทำได้แบบนี้
ล้มละลาย ไม่มีเงิน ทำอะไรไม่เป็น ผู้คนสมน้ำหน้า
หลายคนเล่าเรื่อง มักจบเพียงเท่านี้ แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ เพิ่งเริ่มต้น
1. ไม่เหลืออะไร เอาแต่ใจ ทำอะไรไม่เป็น สภาพจิตใจย่ำแย่ แย่กว่าคนจนไม่มีกินหลายเท่า
ลำบากสุดแสน ร้องไห้หาพ่อหาแม่ ท่านเสียไปแล้ว พ่อแม่รังแกหนู
ไม่มีใครช่วย ซวย โทษคนนู้น โทษสิ่งนี้
แต่สัญชาตญาณยังมี แรงขับยังอยู่ ดิ้นรนเพื่อชีวิต สู้วิกฤติทั้งน้ำตา
2. ที่ว่าลำบากเหลือแสน สุดท้าย ไม่เกินลำบากเหลือล้าน
ธรรมชาติคน ปรับตัวได้ ยอมรับชะตา สู้ความลำบาก เกี่ยงงานจนเบื่อ เลิกเกี่ยงงาน
ช่วงลำบาก พิสูจน์รักแท้ คนที่ใช่ พร้อมร่วมลำบาก เฝ้ารอวันนั้น วันร่วมเสพสุข
เปลี่ยนน้ำตาเป็นหยาดเหงื่อ สู้ชีวิตชิบหายวายวอด
3. หลายบทเรียนพ้นผ่าน สำเร็จการศึกษาชีวิต ไม่กลัววิกฤติอีกต่อไป
ขอบคุณความลำบากเหลือแสน มีวันนี้ มีครอบครัวอบอุ่น มีธุรกิจหมื่นล้าน
คราวหน้าล้ม ลุกใหม่ หมดไปหมื่นล้าน หาใหม่แสนล้าน
ลูกชายคนเดียว ทำงานบ้านเป็นทุกอย่าง เรียนดี ไม่มีเค้าเด็กสปอยล์เหมือนพ่อแม้แต่น้อย
สามพ่อแม่ลูก บ้านหลังขนาดพออยู่ ธุรกิจหมื่นล้าน ความอบอุ่นล้านล้านล้าน
เรื่องยังไม่จบ แต่ขอจบเรื่องแต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ก่อนฝนหยุด
ฟ้าแล่บ ฟ้าม่วง ฝนกระหน่ำ
ใต้หลังคาป้ายรถเมล์ ชายหนุ่ม แจ็คเกตดำ คันร่มในมือซ้าย บุหรี่คาปาก
ยืน ทอดสายตา มองถนน ปล่อยอารมณ์ ปากอ้าปล่อยควันเป็นวง
วิญญาณบุหรี่สีขาว เลือนหายไปในอากาศเย็น
ห่างไปสองเก้าอี้ หญิงสาว นั่ง เหม่อมองถนนผ่านเลนส์แว่น
วิญญาณบุหรี่ วงแล้ววงเล่า ศพก้นกรอง เกลื่อนเหนือฝาถังขยะ
ฝนพรำ เสียงล้อรถโฉบน้ำขังแอ่งถนนเป็นบางครั้ง เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาเป็นจังหวะ
ซองบุหรี่เหนือฝาถนังขยะ
ลมโชย ชื้น หนาว เหงื่อเม็ดโป้งบนหน้าชายหนุ่ม
ฝนโปรย ละอองหยาด กระทบหลังคาแผ่วเบา จวนหมดเวลาฝน
บุหรี่ออกจากปาก ควันออกจากปอด เดินออกจากร่ม กางร่ม
ฟ้าร้อง ใจเต้น คำพูดจากปาก
"มาด้วยกันไหมครับ เดี๋ยวผมไปส่ง"
ถนนว่างเปล่า ไม่มีการเหม่อมองของหญิงสาวอีกต่อไป
"ฝนจะหยุดแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ"
"มาเถอะครับ ฝนหยุดซะก่อน เดี๋ยวผมอดไปส่งคุณ"
รอยยิ้มทำลายความห่าง
"ถ้าช้ากว่านี้ คุณคงชวนฉันไม่ได้แล้ว"
"มาเถอะครับ ก่อนฝนจะหยุด"
"ค่ะ"
ค่า(น้ำ)นม
แม่ฉันสอนว่า ชีวิตเรา ชีวิตเดียว จงเลือกสิ่งดีที่สุด
ฉันเชื่อฟังแม่ ฉันจึงทิ้งเธอ
โลกปัจจุบัน วัตถุนิยม สังคมปลูกฝัง คุณค่าผู้หญิง ประเมินจากไซส์นม
ในสังคมวัตถุนิยม เธอนมเล็ก เธอยังไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับฉัน
ฉันซื่อสัตย์ต่อหัวใจ ฟังเสียงเรียกร้องของสัญชาตญาณ มันร้องหาผู้หญิงนมใหญ่กว่า
เธอไม่ผิด ฉันไม่ผิด เราแค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง
แฟนใหม่ฉันนมใหญ่ ควงไปไหนมาไหน ภูมิใจ คนเหลียวมอง
แต่แล้ว เธอ ฉัน เราเดินสวนกันอีกครั้ง
ฉันลืมแฟนใหม่ เหลียวมอง เธอนมใหญ่กว่าเก่า นมใหญ่กว่าแฟนใหม่ ยันฮีช่วยเธอไว้
ฉันนึกถึงคำสอนแม่ จงเลือกสิ่งที่ดีที่สุด
ฉันจึงกลับไปคบกับเธอ คนที่ใช่ ไซส์นมของเธอ ฉันเฝ้ารอมาแสนนาน
ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดของฉันแล้ว แต่ลืมไป เธอก็มีสิทธินั้น
ในสังคมวัตถุนิยม กิจวัตรประจำวันคือการเปรียบเทียบ
ฉันขับฮอนด้าซิตี้ ส่วนเขาขับแลมโบกีนี่
ขนาดนมเธอ ค่ารถเขา คู่ควรกัน เธอจึงทิ้งฉันไป
ความเสียใจของฉัน ไม่เหมือนไซส์นม ประเมินขนาดไม่ได้
ฉันคบแฟนใหม่ คนที่ใช่
ฉันมองข้ามเรื่องนม ฉันเรียนรู้ บรรทัดฐานอื่นสำหรับตัดสินคุณค่าแฟน
ฉันภูมิใจกับแฟนคนใหม่
แฟนใหม่ฉัน ขนาดนมเล็ก อกราบเรียบ ไม้กระดานชั้นดี
แต่ก็ไข่ใหญ่กว่าผู้ชายใดๆในโลกนี้
ปล. เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องแต่ง ไม่เกี่ยวข้องกับรสนิยมของผู้เขียนแต่อย่างใด
เล่น
1. พ่อมองลูกชายเล่น จับตุ๊กตาหุ่นชนกัน ปากส่งเสียงประกอบการต่อสู้
การต่อสู้ในหัวของเด็กน้อย ดุเดือดไม่แพ้สมรภูมิจริง อาจดุเดือดกว่า
แต่ผู้ใหญ่มองดูแล้วน่าเอ็นดู เอ็นดูจนน่าหัวเราะ
เด็กไม่ต้องมีสาระ อะไรที่ไม่มีอะไร ยิ่งใหญ่ได้ในสายตาเด็ก
พ่อเคยเป็นเด็ก แต่ตอนนี้ มองดูลูกชายอย่างไม่เข้าใจเด็ก
2. สภาวะสงบผ่านพ้น สงครามมาเยือน
พ่อกอดแม่ แม่ร่ำไห้ พ่อร่ำลา
พ่อกอดลูก ตาคลอน้ำตา ลูกชายกอดตอบ หุ่นสองตัวอยู่ในมือ ได้แต่มองหน้า
พ่อบอกลูกชาย เข้มแข็ง ดูแลตัวเอง ดูแลแม่ พ่อจะไปสงคราม
เด็กชายนึกถึงภาพตุ๊กตาหุ่นสู้กัน ถามว่าพ่อขี่หุ่นยนต์สีอะไร
พ่อยิ้มทั้งน้ำตา ไม่ตอบ น้ำตาไหลผ่านแก้ม รีบเช็ดมันก่อนลูกชายเห็น
เด็กน้อยยังไม่เข้าใจอะไร อย่าเข้าใจเลย อยู่ในโลกเด็กที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจต่อไปดีกว่า
เล่นต่อเถอะลูก
3. แม่เผลอ ซุกหน้าร้องไห้กับหมอน ลูกชายแอบวิ่งออกจากบ้าน หุ่นสองตัวไม่ห่างมือ
ผ่านละแวกบ้าน ซากปรักหักพัง รกร้าง ว่างเปล่า ก้าวเข้าสู่เขตสมรภูมิ
มองดูแต่ไกล
เสียงระเบิดแข่งเสียงคำราม แผดร้อง โหยหวน
แสงไฟวูบวาบพร่าพราย แข่งกับสีแดงที่สาดกระจาย เลือด อาบแผ่นดิน
เด็กชายไม่เห็นหุ่นยนต์ เห็นแต่หุ่นคน ตายอย่างทุเรศ ทุรนทุราย ไร้ค่ายิ่งกว่าหุ่นยนต์
เด็กชายมองดูหุ่นในมือ หุ่นสองตัวยื่นจับมือกัน เขย่ากระชับมิตร
เด็กชายเขย่าไม่หยุด หุ่นสองตัวเขย่ามือกันไม่ยั้ง น้ำตาไหลอาบแก้มเด็กชาย
หุ่นสองตัวจะไม่สู้กันอีกต่อไปแล้ว
พ่อครับ เลิกเล่นแล้วกลับบ้านเถอะ
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
แฟนอันธพาล
ว่ากันว่าอันธพาลมักมีแฟนสวย เซ็กซี่ เป็นที่อิจฉาของชายทั้งหลาย
มันไม่ได้เป็นอันธพาลเพราะอยากมีแฟนสวย มันเกิดมาเพื่อเป็นอันธพาล ฉายแววตั้งแต่อายุสี่ขวบ
ตัวใหญ่ ไม่กลัวคน หมาก็ไม่กลัว ชกต่อยเป็นกิจวัตรเหมือนกินข้าววันละสามมื้อ หลายคนสงสัย มีอะไรในโลกนี้ที่มันกลัวบ้าง
โตขึ้น มันหากินกับโลกมุมมืด มีแต่คนยำเกรง เกรงเพราะกลัว ตำรวจก็กลัว กลัวไม่ได้เงินยัดจากมัน
แฟนมันสวย นิสัยดี และรักมันหมดใจ
ไม่ต้องกลัวใครมายุ่ง หนึ่ง แฟนมันไม่ยุ่งกับใคร สอง ไม่มีใครกล้ายุ่งกับแฟนมัน
แต่ถึงกระนั้น ทุกคืน ต้องมีเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด เช้ามาหน้าตาเธอเป็นต้องเขียวปูด ลำตัวบอบช้ำ
มันเห็นแล้วปวดใจ ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีปัญญาปกป้องเธอ
มันมองสองมือหนาใหญ่ของตัวเอง อยากร้องไห้
มันน้อยใจ สวรรค์กำหนดสันดานมันมา มันต้องเป็นอันธพาล ไม่มีสิทธิขัดขืนสันดาน
มันเลือกเดินจากมา ทิ้งเธอแบบไร้เยื่อใย เธอร้องไห้ฟูมฟายแทบตาย แต่มันไม่มีสิทธิใจอ่อน
เพราะมันรักเธอมาก
โลกนี้จะโหดร้ายแค่ไหน มันปกป้องเธอจากคนอื่นได้
แต่มันไม่มีปัญญาปกป้องเธอจากตัวมันเอง
หมายเหตุ: ยืมรูปพี่นิกกี้ 9 นิ้ว มาประกอบเรื่องเฉยๆ เรื่องนี้ไม่ส่วนเกี่ยวใดๆกับพี่เขานะครับ
อิสระภาพที่ถูกขังในหน้าปัดนาฬิกา
พ่อสอนผมไว้ ดูนาฬิกาบ่อยๆ เวลาเป็นสิ่งสำคัญ
นาทีสองนาทีมีค่า แสดงถึงความมีวินัย ให้เกียรติ มีสัจจะ ใครผิดเวลาพ่อโกรธมาก
ผมซึมซับแค่คำสอนแรก ดูนาฬิกาบ่อยๆ ใครผิดเวลาผมไม่โกรธ ไม่โกรธคนอื่น ไม่โกรธตัวเอง
เวลาสำคัญ และผมให้ความสำคัญ รวมกันแล้วโคตรสำคัญ
เสื้อเชิ๊ต กางเกงแสล็ค รองเท้าหนัง รวมราคากัน ถูกกว่านาฬิกาบนข้อมือซ้าย
ในบรรดามนุษย์เงินเดือนออฟฟิศด้วยกัน นาฬิกาข้อมือของผมอาจแพงที่สุด
แต่คืนนี้ งานมอบหมายล้นตัว ต้องเสร็จพรุ่งนี้ ไม่งั้นเสร็จกัน
เวลายิ่งสำคัญ ยิ่งบีบคั้นหัวใจ เข็มวินาทีเดิน "ติ๊กๆ"แผ่วเบา ทุกติ๊กที่แผ่วเบาทำเอาหัวใจสะดุ้งเฮือก
เวลาไม่ปราณีใคร แม้แต่มนุษย์เงินเดือนที่ทำงานไม่ทันคนหนึ่ง เวลาก็ไม่ใจอ่อน
แต่คืนนี้!! ไม่เหมือนคืนนี้ครั้งก่อนๆอีกหลายคืนนี้ที่ผ่านมา!
คนเราเป็นผู้คิดค้นเวลา สร้างนาฬิกา ไฉนพันปีต่อมา เราตกเป็นทาสของมัน
ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัด โดยเฉพาะผม ผมจะไม่เป็นทาสของสิ่งไม่มีตัวตนอีกต่อไป
เวลาใช้ชีวิตที่มีค่า เอาไปกดดันตัวเองในแต่ละวินาที มีแต่ความร้อนรุ่ม คุ้มที่ไหน
ชีวิตผม ความสุขของมวลมนุษยชาติ ไม่ควรจะถูกจองจำในหน้าปัดเล็กๆ เดินวนเวียนซ้ำซากจำเจวันละสองรอบแบบนี้
ผมลุกขึ้นยืน ขว้างนาฬิกาออกไป ด้วยแรงขบถที่โหยหาอิสระมาช้านาน
นายทาสที่กดขี่ผมมานาน พุ่งเข้ากระแทกผนัง หน้าปัดหลุด เข็มสั้นยาวกระจายไปคนละทิศทาง
นี่แหละรสชาติของการปฏิวัติ การปฏิวัติแห่งยุคโลกภิวัฒน์ ปลดแอกตนจากนายทาสที่ไร้ตัวตน
คืนที่ยิ่งใหญ่ ชายผู้ได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องเกรงกลัววันพรุ่งนี้อีกต่อไป สะใจทุกวินาทีแห่งชีวิต
กี่ปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำงาน ไม่เคยได้หลับสบายเต็มตื่นแบบนี้มาก่อน
...........
เช้าวันใหม่
ชิบหาย มาสาย งานไม่เสร็จ เจ้านายเหม็นขี้หน้าด่ายับ ลดขั้น ตัดเงินเดือน เพื่อนหัวเราะเยาะ
แต่ที่อยากจะร้องไห้จริงๆ นาฬิกาแพงหูฉี่ พังอย่างไร้ทางซ่อม ไร้เหตุผล
เมื่อคืนทำไปได้ไงวะ โง่ชิบ
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ยักษ์เล็ก ปะทะ มดใหญ่
1. ผมไม่ชอบคนขายไอเดียคนนี้
ในการนำเสนอ สีหน้า น้ำเสียง ท่าทาง ทุกอย่างพยายามแสดงว่า เขามีอำนาจเหนือคู่สนทนา
ผมจบจิตวิทยา ประสบการณ์ประธานบริษัทนับสิบปี มีหรือจะดูคนไม่ออก
เขาทำถูกตามหลักจิตวิทยา ถูกต้องเกินไป พยายามเกินงาม
คล่องแคล่ว ชัดเจน ฉะฉาน มั่นใจ เกินหน้าเกินตาผม
ผมจะไม่ยอมให้ใครมามีอำนาจทางบุคลิกเหนือกว่า
2. สายตาท่านประธานดูไม่พอใจ คงเพราะบุคลิกผม
แต่ไอเดียผมสุดยอด หวังว่่าท่าประธานจะมองข้ามบุคลิก และเห็นจุดเดียวกัน
ผมไม่ได้มาขายบุคลิก ผมขายไอเดีย
3. ผมขัดจังหวะเขา มองด้วยท่าทีเฉยชา บั่นทอนความมั่นใจ
เขาไม่หวั่นไหว มีจุดยืน ยึดอย่างมั่นคง
ตาดู หูฟัง ใจเปิดมองหาจุดยืน
แล้วผมก็เจอ ความเชื่อมั่นในไอเดีย แหล่งพลังงานความมั่นใจของเขา
โจมตีด้วยบุคลิกจึงไม่ได้ผล
โจมตีไอเดียไม่ได้ ไอเดียสุดยอด ประโยชน์ยิ่งใหญ่ทุกฝ่าย โจมตีไม่ลง
ผมยอมแพ้ด้วยการตอบตกลง ชูธงขาวด้วยการจับมือ
4. ผมคือผู้ชนะ
ชนะแล้วต้องแสดงให้รู้ จับมือ บีบแบบผู้ชนะ
บอกความหมายผ่่านภาษากาย ผมเหนือกว่าท่าน ท่านประธาน
5. ผมดูคนออก
เรื่องบุคลิก ไม่เคยยอม ไม่มีใครวางท่าเหนือผมได้
ผลประโยชน์ก้อนโตแค่ไหน ศักดิ์ศรีใหญ่กว่าเสมอ
ผมยกเลิกข้อเสนอ ไม่อ้างเหตุผล
เหตุผล ผมไม่ชอบหน้า
6. พลาดแล้ว ผมจะจำเป็นบทเรียน
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
รักทอดทิ้ง
เพิ่งสารภาพรักไป โดนปฏิเสธแทบจะทันที
งานไม่ทำ หลบมุมคนเดียว ทำใจอยู่เงียบๆ
หลบยังไง เพื่อนร่วมงานสาวจอมจุ้นก็ยังตามมาวุ่นวาย
"มาหลบตรงนี้ทำอะไร ไม่ทำงานเหรอ"
"กำลังทำใจ "
"ตามหาตั้งนาน เห็นอกหัก เป็นห่วง"
"อยากอยู่เงียบๆ"
"ไปหาอะไรกินกันไหม จะได้ไม่หมกมุ่น"
"ไม่ต้องห่วง ชินแล้วกับการถูกความรักทอดทิ้ง"
"ไม่เสมอไปหรอก ลองเปิดใจดูดีๆ ความรักอาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด"
"ชอบใครก็โดนปฏิเสธทุกที โลกนี้ไม่มีใครรักเรา"
"ใครบางคนอาจรักเธออยู่ แต่อาจจะแสดงออกไม่ค่อยเก่ง"
"อยากอยู่เงียบๆ โอเค?"
"ได้ๆ จะเอาอะไรไหม เดี๋ยวซื้อมาฝาก"
"ขออยู่คนเดียว"
"ดูแลตัวเองดีๆนะ มีอะไรก็โทรหาได้ตลอด"
"ขอบใจ รีบไปเหอะ"
"อย่าคิดสั้นล่ะ"
"เฮ้อ.."
"โอเค ไปละ ดูแลตัวเองดีๆ"
กว่าจะไป ไปได้สักที จะได้จมกับอารมณ์เศร้าต่อ
รักใคร ทุ่มเทหัวใจไป ไม่มีใครสักคนรักตอบเลย
หัวใจเศร้าๆ พระเจ้ามองไม่เห็น ไม่ส่งใครมารักสักคน สงสัยถูกความรักทอดทิ้งแล้วจริงๆ
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
อภิปรายสบายใจ(ไม่น่าวางใจ)
การสนทนาจากคลิปเสียงลับ ได้จากวงใน แลกด้วยเงินใต้โต๊ะ
"ท่านไม่ธรรมดาจริงๆ อยู่ต่างประเทศแท้ๆ ยังบริหารประเทศได้อย่างกับเป็นนายกฯอยู่"
"ผมมันคนมีฝีมือ ฮ่าๆ"
"ท่านทำได้อย่างไร"
"คนเราพลาดแล้วต้องเรียนรู้ ผมพลาดเพราะไม่ยอมซื้อทหารไว้ เลยโดนปฏิวัติตอนไปเที่ยวต่างประเทศ แม่! ถึงผมกลับประเทศไม่ได้ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบ ประเทศยังเป็นของผมได้"
"ต่างชาติมองดูแล้วคงทึ่งในตัวท่าน ผู้นำคนนี้บารมีไม่ธรรมดา"
"สร้างบารมีต้องใช้เงิน ตอนนั้นผมหาเงินเก่ง หมื่นล้านหาได้ง่ายๆ ซื้อบารมีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ใช้บารมีไม่ค่อยเป็น ตอนนี้ผมลบจุดด้อยตัวเองแล้ว ฝูงชนนับหมื่นกำลังชุมนุมกันเพื่อแก้กฎหมายให้ผมกลับประเทศได้"
"นายกฯคนแรกก็น้องชายท่าน นายกฯคนที่สองก็น้องสาวท่าน แถมยังเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศด้วย มือท่านสุดยอดจริงๆ ปั้นได้ทุกอย่าง"
"เลียเก่งแบบนี้ ผมรับรองว่าคุณไม่จนแน่นอน ฮ่าๆ น้องชายผมน่ะไม่เท่าไหร่ มันเอาตัวเองไหวอยู่ แต่น้องสาวผมนี่สิ เหนื่อยหน่อย ไม่เคยเล่นการเมืองมาก่อน จะให้พูดอะไรผมก็ต้องร่างสคริปต์ให้ก่อนตลอด แต่ก็คุ้มกับที่ลงทุนไป ตราบใดที่เธอยังอยู่ในสคริปต์ ทุกอย่างราบรื่น"
"แล้วสมัยหน้าท่านจะทำอย่างไร น้องสาวท่านเป็นนายกฯต่อหรือไม่"
"หึๆ ผมมีเงิน มีบารมีแล้ว ผมอยากแสดงให้ต่างชาติเห็นว่าอำนาจในประเทศอยู่ในมือผมจริงๆ ผมจะทำสิ่งที่ต่างชาติต้องพากันตกตะลึง"
"สมัยแรกน้องชายท่าน สมัยนี้น้องสาวท่าน แล้วสมัยหน้าเล่า"
"เลือกตั้งสมัยหน้า ผมจะดันหมาที่บ้านขึ้นเป็นนายกฯ"
"ชิบหายประเทศกู!!"
คนตาบอด
เธอยืนรอ ป้ายรถเมล์คือที่หมาย คั่นไว้ด้วยทางม้าลาดพาดตัวผ่านถนนรถพลุกพล่าน
ระหว่างนั้น ชายตาบอดก็รอข้ามทางม้าลาย
จิตสำนึกที่ดีงามชี้นำ เธอจูงมือชายตาบอด
รถหยุด เธอพาชายตาบอดเดินข้าม ความมีน้ำใจงามก่อให้เกิดภาพที่งดงาม
ถึงปลายฝั่ง ชายตาบอดขอบคุณ จากกันด้วยความรู้สึกดี
ถึงป้ายรถเมล์ เธอนั่งรอ ป้ายรถเมล์คือที่หมายไม่ใช่เป้าหมาย
เธอไม่ได้รอรถเมล์ เธอรอเขา เขาคือเป้าหมาย เป้าหมายหัวใจของเธอ
เขาทำผิด เธออภัย เขาทิ้งเธอไป เธอยังเก็บเขาไว้ในใจตลอดมา
เธอรอก่อนเวลานัดหมาย ความหวังน้อยนิดที่จะได้คืนดี
เธอรอ รอ รอ เวลาเดินผ่านไป สวนทางกับหัวใจที่เริ่มฝ่อลง
เธอรอจนเลยเวลานัดหมายหลายชั่วโมง ได้เจอหน้าเขาอีกสักครั้งก็ยังดี
อาทิตย์ลาลับ ดวงจันทร์รับหน้าที่ เธอยังรอ น้ำตาไหลอาบแก้ม
เธอรู้ว่าเขาไม่มาแล้ว แต่ยังคงรออย่างสิ้นหวัง
ทุกเรื่องที่เขาทำ เธอผิดเอง ผิดอย่างหาเหตุผลไม่ได้
ตกดึก ถนนเงียบ นานๆทีมีรถผ่านมา
ชายคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนข้างเธอ
เธอนึกว่าเขา แต่ไม่ใช่เขา
เป็นชายตาบอด
ตามองไม่เห็น แต่ใช้หัวใจมอง มองแบบเดียวกับที่เธอมองชายตาบอดเมื่อกลางวัน
ชายตาบอดส่งมือมา เธอยื่นมือออกมา จูงมือกัน
ชายตาบอดช่วยพาเธอข้ามถนน ไปสู่ทิศเดิมที่เธอจากมา
วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ช่วงเวลาสุดท้ายของปู่ชิว
ปู่ชิวมีอาชีพเก็บสมุนไพรขาย ทุกเดือนเขาจะมาเยือนยอดเขาแห่งนี้
ยอดเขาสูงตระหง่าน หุบเหวเบื้องล่างมองชวนให้มองลงไปแล้วท้องไส้ปั่นป่วน
แต่เหนือยอดเขายังมีต้นหญ้า ต้นหญ้าหายาก สรรพคุณเลิศ ราคาดี
เพียงหญ้าตนเล็กๆไม่กี่กำ เลี้ยงชีพเขามาตั้งแต่หนุ่มยันชรา
ตอนหนุ่มหูตาว่องไวแต่ตื่นกลัวความสูง บัดนี้เคยชินกับความสูงแต่หูตาเริ่มเสื่่อมถอย หลังค่อม แต่ละย่างก้าวกระท่อนกระแท่น
แล้ววันนี้คราวเคราะห์แด่ความชราก็มาเยือน ปู่ชิวเหยียบพลาดใส่อากาศธาตุ ร่างร่วงตกลงจากยอดเขา
โชคยังดี มือข้างหนึ่งคว้าจงอยหินที่ยื่นออกมาจากขอบผาไว้ทัน
ด้วยสังขารที่ชราภาพ เขาไม่มีทางดึงตัวเองขึ้นได้
ชั่วเวลาแรงนิ้วเกาะ ปู่ชิวมีเวลาดื่มด่ำกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
ลูกเมียไม่มี ไร้ซึ่งห่วงใดๆ ไม่อาลัยแก่ชีวิตชรา แรงนิ้วเริ่มคลายออกจวนจะหลุด
ร่างเริ่มห้อยต่องแต่ง สองเท้าแกว่งไปมา หุบเหวสูงปานฟ้า ร่วงลงไปตายคงไม่ทรมาน
ทว่า เท้าข้างหนึ่งของปู่ชิวแกว่งไปเตะใส่รังต่อ ตรงซอกผาเล็กๆใต้จงอยหิน
ตัวต่อที่ขึ้นชื่อว่าดุร้าย แตกฮือออกมาจากรัง แสดงความโมโหร้าย
ปู่ชิวเคยเรียนรู้ของพิษสงของมันในวัยหนุ่ม โหดร้ายถึงขั้นสาบานว่าชีวิตนี้จะไม่ปล่อยให้มันรุมต่อยอีก
ด้วยพลังแห่งความตื่นตระหนก ชายชรากระชับนิ้วกับจงอยหิน ออกแรงดึงจนตัวลอยพ้นขอบผา เท้าถีบหน้าผาส่งตัวขึ้นไปยืนบนยอดเขาได้อย่างรวดเร็ว
ปู่ชิวไม่มีเวลามาใส่ใจกับการรอดตายในครั้งนี้
ตอนนี้เขาต้องวิ่งหน้าตั้งหนีฝูงตัวต่อ
โครม!
1. สี่แยกใหญ่ รถติดเป็นสายหยาวเหยียด เหมือนแม่น้ำทอดตัวข้ามทวีป
ไฟเขียวเหมือนสวรรค์ รถรากุลีกุจอเร่งให้ทัน ไฟเหลืองเตือนให้เตรียมหยุด คนขับคนขี่ยิ่งเร่งไม่คิดชีวิต
ฝั่งซ้ายไฟแดงแล้ว ฝั่งผมไฟเขียว รถฝั่งซ้ายหลายคันไหลฝ่าไฟแดงตามกระแส กระแสรถไหลเอื่อยหนุนเนื่อง
รถกระบะผมอยู่ต้นสายรถติด ยังไปไม่ได้ รถที่แถมท้ายจากฝั่งซ้ายมือขวางกลางถนน
ถนนเริ่มโล่ง ผมเตรียมออกตัวรถ
แต่แล้วฝั่งซ้ายมือ รถเก๋งคันหนึ่งซิ่งมาแต่ไกล กะจะฝ่าไฟแดงไปก่อนรถผมออกตัว
ห่วงแต่เวลาของตัว พวกทำลายกฎจราจร น่าเกลียดจริงๆ
ต้องสั่งสอน รอมันขับมาถึงกลางสี่แยก ผมจะขับรถกระบะเสยสีข้างรถมัน
ผมไม่รีบไปไหน ไม่ผิดกฎจราจร ค่าเสียหายมันจ่าย เพราะมันผิด มันจะได้สำนึก
ผมคนจริง ทำจริง รถมันใกล้ถึงกลางสี่แยกแล้ว
รถผมออกตัว
อึดใจ
โครม!
2. โครม!
รถเขาถูกชน เขาขับผิดกฎจราจร เขาลงจากรถ
ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่หัวใจแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
แม่ของเขานอนหมดสติอยู่เบาะหลัง ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน ตอนนี้คงไปไม่ทันแล้ว
วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
White room
เบื่อ มีอะไรทำ แต่ไม่รู้จะทำอะไร
มัวแต่คิด ไม่ได้ทำ สุดท้ายไม่มีอะไรทำ
นั่งคิดอยู่ในห้องสีขาวทรงสี่เหลี่ยม
ห้องสีขาวในห้องทรงกลมที่เรียกว่าโลก
โลกอยู่ในทางช้างเผือก ถนนลูกรังสายหนึ่งในอวกาศ
คนเล็กแค่ไหน อวกาศใหญ่เพียงใด ลมหายใจดับไป หมดความหมาย
สุดท้าย สิ่งที่ใหญ่ที่สุดก็คือ การรับรู้
อยากทำ ไม่อยากคิด แต่ก็เอาแต่นั่งคิด ไม่เป็นตัวของตัวเอง
นั่งคิด เป็นการกระทำหรือไม่ ไม่น่าจะเป็น
ผู้รู้กล่าวไว้ คิดอย่างเดียว แต่ไม่ทำ ย่อมไม่มีทางสำเร็จ
ผู้รู้คือใคร ความสำเร็จคืออะไร การได้ออกจากห้องสีขาวนี้ใช่ความสำเร็จหรือไม่ ออกไปได้สุดท้ายก็ยังอยู่ในโลก
ทำไมต้องมาถูกขังอยู่ในห้องสีขาวนี้
คงเพราะคิดมากเกินไป
เอาแต่คิดจนพอละ ลงมือเขียนดีกว่า
เขียนอะไร คิดอะไรได้ก็เขียน เขียนสิ่งที่คิดเมื่อครู่ ถอดเสียงพูดในหัวเป็นตัวอักษร
มีอะไรทำสักที
ผมจึงได้รู้ว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้อยู่ในห้องสีขาว ผมขังตัวเองไว้ในห้องความคิด
ห้องสีขาวเล็กๆยังมีอะไรน่าค้นหา หากได้ลองออกมาสัมผัสมัน
ผมตื่นเต้น พร้อมที่จะออกไปสัมผัสโลกภายนอกแล้ว
เปิดประตูออกไป แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบตา
ผมชื่นใจจริง ได้สัมผัสอะไรที่นอกเหนือจากสีขาว ดอกไม้ใบหญ้าแต่ละชีวิตมีความหมายในตัวมัน
ผมตื่นเต้นกับการเรียนรู้ พร้อมที่จะออกไปสัมผัสอวกาศแล้ว
แต่ในโลกใบนี้ ผมไม่ใช่นักบินอวกาศ ไม่มีทางไปอวกาศได้เลย
ผมจึงสร้างทางลัดที่เรียกว่าจินตนาการ ในห้องแห่งความคิด
ท่องอวกาศจนหนำใจ รู้ตัวอีกที....
ถูกขังในห้องความคิดอีกแล้ว
เบื่อ มีอะไรทำ แต่ไม่รู้จะทำอะไร
วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Pacific Rims หุ่นยนต์ปะทะสัตว์ประหลาดที่มีอะไรมากกว่าหนังเด็กๆ
เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้แล้วชวนให้นึกถึงหนังประเภทเรนเจอร์ห้าสี ที่หลังจากเรนเจอร์ต่อยกับลูกสมุนกีกี้และสัตว์ประหลาดตอนตัวเล็กจนชนะแล้ว สัตว์ประหลาดก็จะกินยาขยายขนาดร่างให้ใหญ่ขึ้น ชนิดว่าขนาดตัวตอนแรกเท่าง่ามตีนของขนาดตอนหลัง แล้วเรนเจอร์ก็จะเรียกหุ่นสัตว์ประจำตัว (เรนเจอร์หัวหน้ามักจะเป็นสีแดง และหุ่นของสีแดงก็มักจะเป็นมังกร หรือไม่ก็ไดโนเสาร์) มาประกอบร่างกันกลายเป็นหุ่นยนต์ขนาดสูสีกับสัตว์ประหลาด แล้วจะต่อสู้กันในสไตล์กึ่งสโลโมชั่น มีฉากที่หุ่นยนต์หรือไม่ก็สัตว์ประหลาดล้มลงกระแทกตึกจนพังทลาย ย้อนไปสมัยผมห้าขวบ ผมดูวีโดโอแนวนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลายเต็มจอ ก็ไม่ยอมเลิกดู (เดี๋ยวนี้ดูแนวผู้ชายสู้แก้ผ้าสู้กับผู้หญิงแทนละ ฮิฮิ)
เป็นความคิดสร้างสรรค์ของผู้สร้างหนังที่นำเอากลิ่นอายของหนังแนวหุ่นยนต์เรนเจอร์มาผสมกับแนวสัตว์ประหลาดหลุดโลกอย่างก็อตซิลล่า ตัวอย่างหนังเน้นนำเสนอฉากต่อสู้ กราฟฟิคอันตระการตาซึ่งน่าจะเป็นจุดขายของตัวหนัง ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ได้คาดหวังกับเนื้อเรื่องก่อนมาดูมากนัก แต่ทว่าพอได้ดูจริงๆ เนื้อเรื่อกลับมีอะไรอยู่เยอะเหมือนกัน ตัวหนังมีเหตุผลมีที่มาที่ไป รัฐบาล(ตัวแทนชาวโลก) ร่วมมืกันไม่ใช่เพราะอยากเห็นหุ่นยนต์สู้กับสัตว์ประหลาด การกระทำมีเหตุผลและน้ำหนักเพียงพอ ทำให้รู้สึกอินกับเนื้อเรื่องเหมือนดูภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟเรื่องหนึ่ง และนอกจากหุ่นยนต์แล้ว เนื้อเรื่องยังให้ความสำคัญกับเรื่องราวระหว่างคนไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งก็ให้อารมณ์สนุกไปอีกแบบหนึ่ง มีตัวละครอย่างสองด็อกเตอร์มาช่วยสร้างสีสันและไขปริศนาของพวกต่างดาว มีพ่อค้าชิ้นส่วนสัตว์ประหลาดให้ภัตตาคารฮ่องกงในตลาดมืด สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพยนตร์เป็นมากกว่าเรื่องหุ่นยนต์เรนเจอร์สู้กับสัตว์ประหลาด
แต่ถึงแม้เนื้อเรื่องจะดูมีรายละเอียดและสีสัน แต่ก็ยังขาดมิติของตัวละครอยู่บ้าง ตัวละครเดาง่าย ตัวอิจฉาพระเอกก็ดูโฉ่งฉ่าง ท่านนายพลที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา พระเอกนางเอกแสนเก่งและตกหลุมรักกันง่าย ตัวละครเหล่านี้ดูไปคล้ายตัวละครสำเร็จรูปที่ยกเค้ามาจากการ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆเรื่อง และฉากแอ็คชั่นตอนสุดท้ายก็ดูยังไม่ค่อยสะใจถึงใจเท่าไหร่ ฉากต่อสู้กันตอนกลางเรื่องในเมืองดูจะมันส์อลังการน่าเอาเป็นฉากท้ายมากกว่า ตัวละครบางตัว(ไม่ขอสปอยล์ว่าเป็นตัวไหน) ไม่น่าเขียนบทให้ตาย เพราะเหมือนเอาไปตายเปล่าไม่มีผลต่ออารมณ์ผู้อ่านเลย ถ้าตัวละครอีกตัวไปตายแทนคิดว่าจะเรียกอารมณ์คนอ่านได้มากกว่านี้ ฉากดราม่าไม่ได้สะกิดต่อมน้ำตาเลยแม้แต่กระผีก
หนังเรื่องนี้ถึงจะขายกราฟฟิคและฉากแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ใหญ่ แต่ก็มีแฝงแง่คิดบางอย่างไว้ซึ่งผมว่าคมคายใช้ได้เลย การบังคับหุ่นยนต์ต้องใช้ความทรงจำในการเชื่อมต่อ เนื่องจากหุ่นยนต์ต้องบังคับด้วยสองคนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งสามารถเข้ามาผสานความทรงจำร่วมกับเราได้ พระเอกแต่เดิมบังคับคู่กับพี่ชายของตัวเอง แต่ภายหลังได้คู่บังคับหุ่นยนต์คนใหม่ก็เปิดเผยความในใจให้ฟังว่า มันยากที่จะปล่อยวางความทรงจำเก่าๆแล้วไว้ใจให้ใครสักคนหนึ่งเข้ามาร่วมรับรู้กับเรา (จำไม่ค่อยได้ละ พอดีมัวแต่มัวเอามันส์ เลยไม่ค่อยคิด ฮ่าๆ) ซึ่งสะท้อนให้เห็นแง่บางมุมของคนเราในชีวิตจริงเหมือนกัน
เป็นหนังสนุก ถ้าอยากดูอะไรที่บันเทิงใจก็แนะนำให้ดูครับ เป็นหนังที่คุ้มค่าตั๋วเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่หนังหุ่นยนต์แบบเด็กๆแน่ครับ ผู้ใหญ่ดูได้ เผลอๆอินกว่าเด็กดูอีก ผมให้ 9/10 ครับ ส่วนใครจะให้เท่าไหร่ก็แล้วแต่ความชอบ ความเห็นของผู้นั้นนะครับ
รักฉันกี่คะแนน
สองหนุ่มสาวคู่รัก เดินเคียงคู่ควงแขน ข้างถนนยามวิกาล สว่างสลัวด้วยไฟกริ่งจากเกาะกลางถนน
"ถ้าคะแนนเต็มสิบ คุณให้คะแนนหน้าตาฉันเท่าไหร่"
"ถ้าไม่เอาความรักหรือความเบื่อมาเกี่ยว ผมให้แปดจุดห้าจากมุมมองของผม"
"มาตรฐานดี ถ้าเป็นหุ่นฉันล่ะ กี่คะแนน"
"อย่าหาว่าทำร้ายจิตใจล่ะ ผมให้หกคะแนน"
"ทำไมล่ะ คุณใช้มาตรฐานอะไร"
"จอแบนไปหน่อย รอบอกคุณสามสิบนิ้ว มาตรฐานของผม เต็มสิบคือสามสิบหกนิ้ว"
"ถึงว่า สาวอึ๋มๆเดินผ่านชอบเหลียวมองจังนะ ฉันก็ให้คะแนนนิสัยของคุณเจ็ดเต็มสิบ"
เสียงรถยี่ห้อดีคำรามดังจากข้างหลัง เสียงล้อบดถนนรอบจัด ลูกเศรษฐีกลับจากผับ
"ทำไมเราต้องใช้คะแนนมาวัดทุกอย่าง"
"เราอยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์กำลังก้าวหน้าไงคะ ในยุคโลกาภิวัฒน์ จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรฐานจึงจะสามารถเปรียบเทียบกับคนอื่นได้"
"ไม่เห็นจำเป็นเลย อย่างผมรักคุณแค่ไหนมันก็เรื่องของผม"
"คุณรักฉันกี่คะแนน"
"เต็มสิบผมให้เก้าร้อยเก้าสิบเก้า"
"เอาจริงสิคะ ถ้ากำหนดให้รักที่สุดเต็มสิบ คุณว่า..."
"อันตราย!"
เขากระโดดผลักร่างหล่อน หล่อนกระเด็นล้มลง ตัวเขาแทนตำแหน่งหล่อน รับกระโปรงรถแลมโบกีนี่เต็มๆ แซนด์วิชรถเก๋งกับเสาไฟฟ้า สอดไส้คน
ลูกเศรษฐีลงจากรถ วิ่งหนีความรับผิดชอบ เร็วราวนักวิ่งลมกรด เธอให้คะแนนความเร็วเก้าจุดห้าเต็มสิบ
เขาสภาพไม่ค่อยดี "อ้า... ผมเจ็บมาก เก้าจุดเก้าเต็มสิบคะแนนเลย ผมคงอยู่ได้อีกสิบวินาที"
หล่อนน้ำตาไหลพราก "ไม่นะ คุณต้องไม่เป็นอะไร ฉันเสียใจหลั่งน้ำตาให้คุณห้ามิลลิลิตรแล้ว"
"คุณรู้หรือยัง ว่าผมรักคุณเท่าไหร่"
"ฉันรู้" เธอยิ้มทั้งน้ำตา "เต็มหนึ่งล้าน คุณรักฉันเก้าแสนเก้าหมื่น...."
"งั้นผมขอตายล่ะ อั้ก!"
"เดี๋ยวๆ คุณรักฉันอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ หัวใจฉันบอกอย่างนั้น"
"ค่อยชื่นใจหน่อย ผมไม่อยากตายละ ช่วยโทรเรียกรถพยาบาลหน่อย ผมเจ็บอย่างหาอะไรมาเปรียบมิได้แล้วตอนนี้"
วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Oh! My George
จอร์จเพิ่งรู้ตัวว่าตาย ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าพระเจ้า
รูปลักษณ์พระองค์คล้ายรูปพระเยซู พบเห็นได้ตามรูปวาดผนังโบสถ์
เปล่งรัศมีจ้าเจิดจรัส รอพิภากษาชีวิตหลังความตาย
" จอร์จ เธอทำความชั่วมามาก ฉันคงต้องส่งเธอลงนรก"
"ช้าก่อนครับ ผมว่าออกจะไม่ยุติธรรม"
พระเจ้ามองหน้าเป็นเชิงถามไถ่
"มีคนกล่าวไว้ว่า พระเจ้าวางแผนไว้แล้วว่าจะให้เราได้เป็นอะไร พระองค์มอบพรสวรรค์เรื่องการฆ่าคนให้ผม ผมถูกวางแผนให้เป็นนักฆ่า"
"นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันประทานให้ เธอถูกปีศาจร้ายล่อลวง เหมือนอีฟกับอดัม"
"พระองค์ส่งซาตานมาล่อลวง ผมไม่ได้สมัครใจ"
"เธอเลือกที่จะไม่เชื่อในฉัน เธอเลือกสุรานารีตามคำยั่วของซาตาน"
"ผมไม่ได้เลือก. พระองค์กำหนดทุกอย่าง พ่อแม่ ฐานะ สิ่งแวดล้อม เพื่อนฝูง สัญชาตญาณ บีบให้ผมเลือกทั้งนั้น"
"ถ้าเธอเลือกไม่ได้จริงๆ ทำไมถึงยืนเถียงฉอดๆอย่างนี้"
"ก็เป็นพระองค์กำหนดให้ผมยืนเถียงพระองค์ไงครับ"
"โอย ฉันปวดหัว ฉันขอเลือกให้เธอหยุดเถียงแล้วไปลงนรกอย่างเต็มใจ"
"ผมไม่ไป พระองค์รักพวกเราทำไมพระองค์ไม่สร้างคนทั้งโลกให้เป็นคนดี ไม่ยุติธรรมเลย"
"เพราะฉันรักเธอ ฉันจึงให้เธอมีสิทธิเลือก เธอเลยเลือกจะโยนความผิดทั้งหมดมาให้ฉัน"
จอร์จก้มหน้าเงียบ ครู่หนึ่งค่อยพูดอ้อมแอ้ม "ผมเสียใจ ผมแค่เสียดายกับการเลือกที่ผ่านมาของผม
ผมขอเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธทันไหม"
"จะศาสนาไหน ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม"
รอบตัวจอร์จมีแสงเรืองรอง เตรียมตัวลงขุมอเวจี
"เดิมทีพระองค์อยากให้ผมเป็นอะไร"
"ฉันอยากให้เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ทีวีไดเร็ก โฆษณาเครื่องออกกำลังกายคู่กับซาร่าห์"
"ผมจะจำไว้ ได้เลือกอีกทีเมื่อไหร่ผมจะทำตามแผนของพระองค์"
แล้วจอร์จก็ลงนรกด้วยประการฉะนี้ อาเมน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)