วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ระวังตัวดีๆ


หนึ่งปีเต็มที่ผมไม่กลับบ้านอำเภอเพ็ญ  จากถนนซุปเปอร์ให้เวย์ระหว่างจังหวัดเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆที่ทอดตัวผ่านกลางดงไม้ ราวกับเป็นอำเภอที่ขอแยกตัวเป็นเอกเทศจากจังหวัดอุดรราชธานี  เหมือนเมืองลับแลในนวนิยายที่ซ่อนกายหลังป่าเขาลำเนาไพร  ทว่าในตัวอำเภอก็คือเมืองเล็กๆดีๆนี่เอง พร้อมด้วยร้านอำนวยความสะดวกที่เดินเท้าเพียงครู่เดียวก็ถึงที่  มีเซเว่นอีเลเว่น มีตลาด  มีร้านคอมพิวเตอร์ โลตัสเอ็กเพรซกำลังจะมาเปิด   ไม่มีโรงภาพยนต์แต่ก็มีร้านเช่าวีซีดี  ถนนมีรถราวิ่ง โดยเฉพาะรถสกายแล็บที่พบเห็นได้มากกว่าเมื่อก่อน  เป็นบริการรถรับส่งซึ่งเป็นที่นิยมของคนท้องที่  ไม่ต่างจากรถสองแถวในท้องที่อื่น  หรือรถตุ๊กๆในกรุงเทพฯ แต่ผมว่ายังไงสกายแล็ปก็เจ๋งรถขนส่งอื่นๆในประเทศไทย   ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตา  เสียดายที่นักท่องเที่ยวฝรั่งเข้ามาไม่ถึงที่นี่เท่าไหร่  ไม่เช่นนั้นรถสกายแล็ปคงต้องถูกถ่ายรูปลงโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่เว้นวันแน่ๆ     เมืองเปลี่ยนไปแต่ก็เปลี่ยนไม่มาก ไม่เหมือนบางที่ที่จากไปปีเดียวแล้วกลับมาก็จำแทบไม่ได้  ร้านโชว์ห่วยที่ผมอาศัยอยู่ติดกับตลาด  ร้านของผมยังอยู่ดี  แต่ช่วงที่ผมไม่อยู่ตลาดโดนไฟไหม้ไปเสียบางส่วน  แต่ดูจากเค้าโครงการก่อสร้างใหม่ก็คงมีแผนจะซ่อมแซมปรับปรุงให้ดูดียิ่งกว่าเดิม
"กลับมาแล้วเหรอคนเก่งของแม่ โอ้โห  โตเป็นหนุ่มจนแม่แทบจำไม่ได้เลยนะ ไหนขอหอมแก้มหน่อยซิ" แม่สวมกอดแล้วหอมผมฟอดใหญ่
"แม่  ทำอย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีไปได้" ผมรู้สึกเขินๆ ถ้าเพื่อนดูอยู่ตอนนี้ผมคงอายแทบเอาหน้าแทรกแผ่นดิน  เด็กเฝ้าร้านก็ขายของไป  ลูกมือหลังร้านก็จัดการโกดังสินค้าไป  ตอนนี้ทั้งโลกเหมือนมีแค่ผมกับแม่
"ไปเก็บของ พักผ่อนสักแป๊บก็ได้นะคนเก่งของแม่   เดินทางมาตั้งไกล คงเหนื่อยล่ะสิ"
"ไม่หรอกแม่  จากกรุงเทพฯนั่งเครื่องบินมาแป๊บเดียวสบายจะตายไป"
"แหม ดูผมเผ้าซิ"แม่ลูบหัวผม ขยุ้มปอยผม " คราวก่อนยังหัวเกรียนอยู่เลย  เดี๋ยวนี้ยาวดกดำจะเป็นหนุ่มเกาหลีอยู่แล้ว  "
"หนูว่าจะไปตัดซะหน่อย" ผมตอบ "ที่โรงเรียนเข้มงวดมาก ให้ไว้แต่ทรงนักเรียน  แต่ตอนนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หนูเลยรอให้ยาวๆก่อนจะได้ตัดรองทรงทีเดียวไปเลย"
"ฮ่วย  บักหำของแม่สิหล่อแท่เด้อ จะได้เป็นเฟรชชี่น่ำ" แม่แซวขำๆ  ผมเป็นคนอีสานโดยกำเนิดก็จริง ฟังภาษาอีสานออก แต่พูดไม่ได้ เพราะพ่อผมไม่ใช่คนอีสาน  เวลาคุยกันแบบพ่อแม่ลูกจึงพูดเป็นภาษากลาง "ไปเก็บของพักผ่อนก่อนเถอะ"
ผมหิ้วกระเป๋าสัมภาระเดินขึ้นบันไดไม้  ห้องผมยังคงเหมือนเดิม  ฝุ่นแทบไม่เกาะ  แม่คงทำความสะอาดเตรียมไว้ตอนผมกลับมา  วางกระเป๋าสัมภาระตรงมุมห้อง  ถอดทุ้งเท้า  ทิ้งตัวลงนอนบนฟูกผ่อนคลายสักพักหนึ่ง  ยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อย  สลัดความคิดทิ้งบ้านคิดถึงแม่กว่าหนึ่งปีเต็มที่อยู่ในกรุงเทพฯทิ้งไปจนหมด   จากนั้นก็ค่อยลุกจากที่นอน  เดินลงบันได  สวมรองเท้าแตะ  ระหว่างจะเดินออกจากร้านก็สวนกับแม่ที่กำลังสั่งงานลูกน้องพอดี
"ถ้าลูกจะไปตัดผมยังไงก็ระวังตัวไว้หน่อยนะลูก   พักนี้มีข่าวเด็กหนุ่มราวๆลูกหายตัวไปบ่อย  โดยเฉพาะพวกหน้าตาดีๆหน่อย  คราวก่อนก็มีเด็กหายแถวๆร้านตัดผมนี่แหละ"
"แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  หนูระวังตัวได้อยู่แล้ว  ที่กรุงเทพฯอันตรายกว่าที่นี่เยอะ"
"อย่าประมาทดีกว่า แม่เป็นห่วง  คนเล่ากันว่ามีผู้ชายคนหนึ่งใส่หมวกอะไรนะ คล้ายๆหมวกลูกเสือสีดำ"
"หมวกไบเล่หรือเปล่าฮะ"
"อ้า นั่นแหละๆ  ผู้ชายสวมหมวกไบเล่สีดำ ท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจ ชอบไปป้วนเปี้ยนแถวร้านตัดผม  ลูกระวังตัวดีๆนะ"
"ขอบคุณที่เตือนฮะแม่  หนูจะระวังตัว"
ผมเดินออกจากร้าน  เดินผ่านซอยบ้านผมซึ่งไม่มีร้านตัดผม  ออกถนนแล้วเดินวกเข้าซอยเล็กๆอีกซอยหนึ่ง  ระหว่างทางพบเห็นภาพเด็กผิวกร้านร่างผอมได้เป็นระยะๆ   ต่างจากเด็กในเมืองลูกมนุษย์เงินเดือนที่ผิวขาวและพ่อแม่ขุนให้อ้วนตั้งแต่เด็ก   ร้านตัดผมเล็กๆร้านหนึ่ง  ชื่อ"ร้านตัดผมชาย" ดูธรรมดาๆ  ตั้งอยู่ตรงข้ามร้านขายหนังสือพิมพ์นิตยาสารเล็กๆ  หน้าร้านกรุกระจกใสมองเห็นเข้าไปด้านในเห็นเก้าอี้เบาะปรับระดับได้ด้วยมือหนึ่งที่นั่ง  ชายผิวดำแดงตามแบบฉบับชาวอีสานคนหนึ่งกำลังนอนให้ช่างร่างท้วมสวมเสื้อสีขาวชายผ้ายาวโกนหนวดให้  ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน
ช่างมองผม  ยิ้มให้ ประเมินผมด้วยสายตา ก่อนจะพูดภาษากลางด้วยสำเนียงอีสานนิดหน่อยว่า "นั่งรอแป๊บเดียวนะ เดี๋ยวเสร็จแล้ว"
ผมนั่งรอบนเบาะนั่งหลังเก้าอี้ตัดผม  คุ้ยดูกองหนังสือพิมพ์และนิตยาสารบนชั้นข้างๆ  เจอการ์ตูนขายหัวเราะเล่มหนึ่ง  แต่อ่านได้ไม่กี่หน้าก็ถึงคิวผมแล้ว  ขณะนั้นเองอะไรบางอย่างดลใจผมให้มองไปยังร้านหนังสือฝั่งตรงข้าม  สิ่งที่ผมเห็นทำเอาใจเต้นระทึกขึ้นมา  ชายสวมหมวกไบเล่สีดำทำท่าหยิบหนังสือพิมพ์บนแผงขึ้นอ่าน  แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าสายตานั้นจ้องมองผมอยู่   ผมทำเป็นไม่ได้สังเกตุเห็น เดินไปนั่งบนเก้าอี้  ช่างคลุมผ้ารองเศษผมบนไหล่ ใช้คลิปหนีบ
"เอาทรงอะไรดีล่ะ"
"เอารองทรงสูงครับ"ผมตอบ แต่หางตาชำเลืองด้านข้าง มองไปยังนอกร้าน
ช่างเปิดแบตเตอเรี่ยนแล้วเริ่มเล็มผมออกทีละน้อยอย่างปราณีต  ช่างคนนี้มือนิ่มใช้ได้เลยทีเดียว  แต่กะจิตกะใจตอนนี้สนใจชายหมวกไบเล่ดำฝั่งตรงข้ามมากกว่า   ผมเหลือบมองด้วยหางตา แม้มองไม่ถนัด  แต่รู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามันกำลังมองผมอยู่
"เป็นคนที่ไหนเหรอเราน่ะ" ช่างตัดผมเปิดการสนทนา  ตามแบบฉบับช่างตัดผมที่ฝีมือและอัธยาศัยดี
"อ๋อ ความจริงผมเป็นคนที่นี่แหละครับ  แต่ไปเรียนที่กรุงเทพฯ"
"เอ  แต่ดูหน้าตาไม่ใช่คนแถวนี้เลย  ขาวๆตี๋ๆเหมือนคนจีนมากกว่า"
"ครับ พ่อผมมีเชื้อสายจีนน่ะ"
"ถึงว่า" ช่างตัดผมหัวเราะ "ที่อำเภอเพ็ญน่ะ  อย่างเราถือว่าหน้าตาดีเลย  หายากนะขาวๆตี๋ๆแบบนี้  สาวๆเห็นคงเหลียวมองกันหน้าดู"
"ขอโทษที่จะถามนะครับ" ผมเริ่มเปิดประเด็น "แต่ได้ข่าวว่าพักนี้มีเด็กหนุ่มหายตัวไปหลายคน"
"ใช่  ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่หน้าตาดีๆหน่อย  คราวแล้วก็มีเด็กหายแถวๆร้านพี่นี่ล่ะ งานเข้าเลย ต้องทำเรื่องกับตำรวจยกใหญ่   เราเองก็ระวังตัวไว้ดีๆล่ะ  มันอาจจะกำลังเล็งอยู่ก็ได้นา"
"พี่หมายถึงผู้ชายหมวกไบเล่สีดำหรือเปล่าครับ"
"เห็นคนเขาเล่ากันว่าอย่างนั้นนะ" ช่างตัดผมตอบ
"พี่พอจะบอกได้ไหมครับว่าเขาเป็นใคร เอ่อ... แบบว่ามีแรงจูงใจอะไรที่ทำแบบนี้  อย่างเช่น ต้องการจับเด็กหนุ่มไปขาย  หรือว่าเป็นเกย์โรคจิต"
"พี่ก็ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอกนะ"ช่างตัดผมหัวเราะ " อาศัยฟังเขาเล่ามานั่นแหละ  ว่ากันว่าคนนี้น่ะเดิมทีเป็นคนปรกตินี่แหละ  เพิ่งแต่งเมียไปแล้วก็รักเมียมาก  แต่ต่อมาจับได้ว่าเมียเล่นชู้กับหนุ่มหน้าตาดี   เลยฆ่าทิ้งทั้งเมียทั้งชู้  จากนั้นก็เลยฝังใจ หาวิธีเอาคืนกับเด็กหนุ่มหน้าตาแบบไม่เลือกหน้า  เหมือนกลายเป็นโรคจิตนั่นแหละ"
"ถ้าอย่างนั้น เด็กหนุ่มที่โดนจับไปก็อาจจะถูกจับไปฆ่าหรือทรามานได้ใช่มั้ยครับ" ผมพูดเอง เริ่มใจคอไม่ดีเสียเอง
"ก็มีสิทธินะ  ระวังตัวไว้ก็ดี เดี๋ยวนี้หนุ่มๆต้องระวังตัวยิ่งกว่าสาวๆอีก"
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  มันอาจจะดูกระโตกกระตากเกินไปในมุมหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งมันเกี่ยวพันถึงสวัสดิภาพของผม ผมมองช่างในกระจกแล้วตัดสินใจบอกออกไป
"พี่ครับ ที่แผงหนังสือฝั่งตรงข้าม  ผมเห็นผู้ชายใส่หมวกไบเล่สีดำกำลังมองมาทางนี้"
"จริงเหรอ"สีหน้าของช่างเปลี่ยนไปทันที  เหลียวหน้าไป
"อย่าหันไปมองครับพี่!"ผมร้องเตือน "เดี๋ยวมันจะรู้ตัวเสียก่อน พี่ทำเป็นตัดผมต่อไปนะครับ"
ต้องขอบคุณประสบการณ์จากเมืองหลวง ทำให้ผมเป็นคนหูตาไวขึ้น  ช่างทำท่าตัดต่อไป  แต่มือไม้ของแกเริ่มสั่นจนผมรู้สึกได้  ผมจะแหว่งนิดหน่อยก็ช่างมันปะไร ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า
"ทำยังไงดี โทรแจ้งตำรวจดีไหม"ช่างตัดผมกระซิบถาม  แทบถูกเสียงแบตเตอเรียนกลบ
"เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ  พี่ทำเป็นรับโทรศัพท์เดินเข้าไปหลังร้านก็ได้" ผมเสนอแนะ "ไม่แน่ถ้ามันเห็นพี่ไม่อยู่ในร้านมันอาจจะเข้ามา  ถึงตอนนั้นพี่ก็ออกมาช่วยผม"
"โอเค เดี๋ยวพี่จะเข้าไปเอาอาวุธออกมาจากหลังบ้าน  พี่จะแอบอยู่หลังประตูนะ  ท่าไม่ดีเมื่อไหร่ส่งเสียงร้องดังๆเลย"
ช่างตัดผมตัดต่ออีกหน่อย  จากนั้นปิดแบตเตอเรียนเสียบเข้าที่แขวน  ปรับระดับเตียงผมให้อยู่ในท่านอนเตรียมจะโกนหนวด  ทำท่าเป็นรับโทรศัพท์แล้วเดินหายไปหลังร้าน
ผมเอียงคอเล็กน้อยลอบมองไปยังฝั่งตรงข้าม   จริงดังคาด!! ชายหมวกไบเล่ดำวางหนังสือพิมพ์ลง  หันซ้ายแลขวามองด้วยสายตาระแวดระวัง  ก่อนจะตัดสินใจเดินข้ามมายังร้านตัดผม  วูบเดียวที่เห็นแววตาของเขาสะท้อนให้เห็นว่าชายผู้นี้มีจุดประสงค์อะไรบางอย่างซึ่งผมก็เดาไม่ถูก  เขามองซ้ายมองขวาอย่างระวังอีกครั้งก่อนจะเดินเข้ามาในร้านตัดผม  ผมใจเต้นระทึก  เสียงหักใจตึกๆระรัวดังระงมในหัวผมไปหมด รู้สึกว่าเหงื่อเย็นๆซึมที่แผ่นหลัง  ถึงจะเตรียมพร้อมจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันไว้แล้ว  แต่คิดไม่ถึงว่าพอกำลังจะเจอจริงๆจะตื่นเต้นขนาดนี้    ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อถึงเวลาที่มันจะลงมือ  ผมจะกล้าพอที่จะส่งเสียงร้องหรือเปล่า
ตอนนี้มันมาหยุดยืนข้างๆเบาะที่ผมเอนกายอยู่  ผมทำแกล้งหลับตาทำเป็นไม่ได้สังเกต
"น้องครับ"มันเรียกผมด้วยเสียงเย็นยะเยียบชอบกล
ผมลืมตาขึ้นมามองหน้ามัน  มันเป็นชายกลางคนเคราดก  มีรอยมีดกรีดหนึ่งรอยที่แก้มซ้าย  แววตาเปล่งประกาย  พยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุด  ข่มความตื่นตระหนกไว้  รู้สึกปากตัวเองเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ "มีอะไรเหรอครับ"
"คืออย่างนี้" มันแสยะยิ้มโชว์ฟันหน้าเลี่ยมทองซี่หนึ่ง  มือขวาล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกงแสล็คของมัน
หัวใจเต้นเร็วแต่ความคิดผมเร็วกว่า  ผมพยายามเดาว่าสิ่งที่มันจะล้วงออกมาคืออะไร   อาจจะเป็นผ้าชุบยาสลบเอาไว้โปะหน้า  อาจจะเป็นมีดมาจ่อให้ผมทำตามคำสั่ง  ขอบคุณที่พี่ช่างตัดผมเอนเบาะไว้ให้  หากเป็นมีดผมจะได้กลิ้งหลบทิ้งตัวลงข้างๆเบาะได้ง่าย  ถึงตอนนั้นก็เรียกพี่ช่างตัดผมออกมา  แต่ถ้าเป็นปืนล่ะ ชิบหาย! ผมลืมคิด  แต่ปืนไม่น่าใส่กระเป๋ากางเกงได้  ไม่มีดก็ยาสลบนี่ล่ะวะ  หรืออาจจะเครื่องช็อตไฟฟ้า ไม่น่าใช่กระเป๋ามันเล็กไป
ทันใดนั้น  มือของมันโผล่พ้นกระเป๋าออกมาอย่างรวดเร็ว!  เสี้ยววินาทีนั้นผมเหลือบเห็นสิ่งที่ติดมือออกมา  สัญญาชาตญาณสั่งให้ผมกลิ้งตัวลงจากเบาะ  ร่างร่วงลงกระแทกพื้น  แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง  
ในมือของชายหมวกไบเล่ดำเป็นแค่นามบัตรเล็กๆใบหนึ่ง    "เป็นอะไรมากไหม" เขาทำท่าจะเข้ามาช่วยแต่ผมโบกมือปฏิเสธ  พยุงตัวลุกขึ้นเองได้ "ผมตกใจไปหน่อย"
"ขอโทษนะครับที่ทำให้น้องตกใจ" เขายิ้มอวดฟันเลี่ยมทองอีกครา "อ่านี่นามบัตรครับ"
ผมค่อยๆเอื้อมไปหยิบอย่างระวัง  ไม่รู้ตัวบัตรฉาบสารระเหยอะไรหรือเปล่า
"พี่เปิดผับอยู่ในเมือง"
"บาร์เกย์เหรอครับ" ผมถาม สังเกตจากรูปเงาผู้ชายกล้ามใหญ่ข้างๆชื่อ Banana Boys Bar โพสต์ท่าทายั่วยวนใจเกย์
"ใช่ ตอนนี้ต้องการเด็กหนุ่มหน้าตาดีจำนวนมาก  แต่ในเมืองเด็กนักศึกษามันโก่งค่าตัวกันเกินไป  จะเอาเด็กต่างด้าวก็ไม่ไหว  พี่ก็เลยก็ต้องมาหาเด็กต่างอำเภอแบบนี้แหละ  งานสบายรายได้ดีเลยนะ  ถ้าเต้นเป็นด้วยค่าตัวยิ่งงามเลย"
"ไม่เป็นไรล่ะครับ" ผมส่งนามบัตรคืนให้ "ผมไม่นิยมแนวนี้เท่าไหร่"
"เฮ้ย เก็บไว้เถอะ เอาไปคิดดูดีๆก่อน  สังคมเดี๋ยวนี้   งานแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ไม่ได้เสียหายอะไร  บาร์พี่มีแค่ยั่วน้ำลาย  ไม่มีการอ๊อฟเด็กแน่ไม่ต้องห่วง   เงินดีนะเว้ย"
"อ่าได้ครับ  งั้นผมจะเก็บไว้" ผมเห็นว่าเก็บไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร  และเขาจะได้ไปเสียที "หน้าพี่ไปโดนอะไรมาล่ะครับ"
"อ๋อ รอยที่แก้มนี่เหรอ  ธุรกิจกลางคืนก็อย่างงี้แหละ  วันดีคืนดีใครเมาคลั่งขึ้นมาก็ไม่รู้  แต่น้องมาทำงานกับพี่ไม่ต้องห่วงไป  ร้านพี่ดูแลสวัสดิภาพพนักงานดีเยี่ยม  สนใจเมื่อไหร่โทรมาตามเบอร์ในบัตร  โทรได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง"
"ครับ"
"พี่ไปก่อนล่ะ  อยู่นานไม่ดี คนแถวนี้เขามองว่าพี่เป็นพวกลักเด็กอยู่ด้วย" พูดจบชายหมวกไบเล่ดำก็วิ่งออกจากร้านไป
ผมลุกขึ้นมานั่งที่เบาะ หัวเราะกับความตื่นตูมจนถึงกับกลิ้งตกเก้าอี้ตัดผมเมื่อครู่  ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กหนุ่มหน้าตาดีถูกเพ่งเล็ง  สรุปแล้วชายคนนั้นก็ไม่ใช่คนฆ่าเมียตามขี้ปากชาวบ้าน  ส่วนเรื่องเด็กหนุ่มหลายคนหายตัวไปก็อาจเป็นเพราะแอบเข้าเมืองไปทำงานบาร์เกย์   เรื่องแบบนี้คงไม่ค่อยอยากบอกทางบ้านเท่าไหร่
"มันไปแล้วเหรอ" ช่างตัดผมออกมาจากหลังร้าน มือหนึ่งถือมีดโกน อีกมือหนึ่งถือหม้อมีด้าม  ราวกับอัศวินพร้อมดาบและโล่คู่ใจ  เห็นภาพนี้แล้วทำเอาผมแทบขำกลิ้งตกเก้าอี้
"เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น" ช่างตัดผมยังคงหน้าตื่น  เดินไปรูดผ้าม่านปิดกระจกหน้าร้าน ชะเง้อหน้าออกไปดูนอกร้าน  "มันไม่อยู่แล้วนี่" จากนั้นหันกลับมาถามผม "เป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม"
"เปล่าเลยครับ  ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้เป็นโรคจิตฆ่าเมียเหมือนที่ชาวบ้านเล่ากันหรอกครับ"
"อ้าว!" ช่างตัดผมอุทาน "ไหนเล่าให้ฟังหน่อยเรื่องมันเป็นยังไง"
"เขามามองหาเด็กหนุ่มหน้าตาดีไปทำงานบาร์เกย์ในเมืองแค่นั้นเองครับ"
"อย่างนี้นี่เอง" ช่างตัดผมทำท่าเข้าใจ จากนั้นก็หัวเราะก๊ากออกมา "เราก็ทำเอาพี่ตื่นตูมไปด้วย  อุตส่าห์ไปเอาอาวุธหลังบ้านมาเตรียมต่อสู้  ใครรู้เข้านี่อายแย่เลย"
"เหตุการณ์ไม่คาดฝันมักจะไม่เกิดตอนเราระวังตัวดีๆนะครับ" ผมออกความเห็น
"ใช่ๆ  เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็มักจะเกิดตอนเราไม่ระวังตัว"
ทันใดนั้นผมรู้เสียวแปลบที่ลำคอ  รู้ตัวอีกทีเลือดก็ฉีดพุ่งออกจากรอยกรีดที่คอโค้งลงหม้อที่รองไว้อย่างแม่นยำ  มือนิ่มและไว  กะระยะได้พอดีได้ขนาดนี้  แสดงว่าผมไม่ใช่รายแรก เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็มักจะเกิดตอนเราไม่ระวังตัวจริงๆ
"ไอ้พวกหน้าตาหล่อๆก็เหมือนกันหมดทั้งโลกนั่นแหละ  ชอบเล่นชู้กับเมียชาวบ้าน  กูละเกลียดนัก!!"
คนนี้ต่างหาก...โรคจิตฆ่าเมียตัวจริง

--------------------------
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นบนฟูกในห้องนอนของผมเอง  หอบหายใจอย่างใจหาย รีบคลำดูคอหอยตัวเองพบว่ายังเรียบเนียนสนิทอยู่ดีอยู่  เป็นฝันที่เหมือนจริงอะไรขนาดนี้  ผลข้างเคียงจากการฝันร้ายทำให้คอแห้งผาก  ผมเดินลงบันไดไปข้างล่าง กะจะหาน้ำอะไรหวานๆในตูดื่มเติมพลังงานเสียหน่อย
แตะ  ระหว่างจะเดินออกจากร้านก็สวนกับแม่ที่กำลังสั่งงานลูกน้องพอดี
"ถ้าลูกจะไปตัดผมยังไงก็ระวังตัวไว้หน่อยนะลูก   พักนี้มีข่าวเด็กหนุ่มราวๆลูกหายตัวไปบ่อย  โดยเฉพาะพวกหน้าตาดีๆหน่อย  คราวก่อนก็มีเด็กหายแถวๆร้านตัดผมนี่แหละ"
"ผมจะไม่ตัดผมแล้วแม่"ผมพูดอย่างมั่นใจ  "ผมจะไว้ผมยาวให้เหมือนพวกยิปปี้เลย!"

เนื่องจากวันนี้เป็นวันแม่ จะจบโหดๆเลยก็กะไรอยู่  ขอจบแบบ Happy panic ending ก็แล้วกันนะ ^ ^


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น