บริษัท Pixar ขึ้นชื่อนี้เมื่อไหร่เป็นต้องเชื่อใจได้ในเรื่องอนิเมชั่น ถึงแม้ได้ดูตัวอย่างหนังในโรงมาหลายรอบและรู้สึกเฉยๆกับมัน แต่เมื่อไหร่ที่ด่วนตัดสินไปแบบนี้ก็มักจะเจอกับหนังดีผิดคาดอยู่เรื่อยไป หลังยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และโฆษณา Hilux Vigo Champ หนึบ ก็ได้รับชมกับ "ร่มน้อยสีฟ้า" โปรเจคเล็กๆที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ น่ารัก ลุ้นไปกับชะตาของร่มฟ้าหนุ่มน้อยที่มีชีวิต ไปตกหลุมรักกับร่มสาวสีชมพูที่มีความรู้สึก โดยที่ผองเพื่อนอย่าง ไฟจราจร ฝาท่อน้ำ ร่องระบายน้ำหลังคา และคณะ คอยเอาใจและตัวช่วยโดยไม่ไม่ตกเป็นที่สังเกตแก่คนอย่างเราๆที่เดินไปเดินมา และเรื่องก็จบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง เป็นหนังอนิเมชั่นสั้นๆที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องหลักเลย เหมือน Pixar ต้องการเอามานำเสนอเฉยๆ สวยงามและสร้างสรรค์ดีครับ
Monster University นั้นคือการบอกเล่าความเป็นมาก่อนจะมาเป็น Monster Inc นักล่าเสียงกรีดร้องของเด็กๆ ซึ่งบุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือนฮีโร่ เพราะโลกของสัตว์ประหลาดนั้นต้องอาศัยพลังงานความกลัวจากโลกมนุษย์มาใช้เป็นพลังงาน ไม่ต่างจากน้ำมัน หรือไฟฟ้าบ้านเรา หนังเล่าเรื่องราวของ ไมเคิล ซาวาซกี้ เจ้าตัวเขียวตาเดียวหน้าตาน่ารัก ใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆว่าโตขึ้นมาจะเป็น นักล่าเสียงกรีดร้อง ไมเคิลความมุ่งมั่นและพยายาม ชดเชยปมด้อยเรื่องความน่าเอ็นดูของตัวเองจนสามารถสอบเข้า Monster University คณะ เขย่าขวัญ ได้สำเร็จ และที่นั่นเอง เขาได้เจอกับ เจมส์ แซลลิแวน สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ขนปุยที่เกิดมาในตระกูลที่มีชื่อเสียง พร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่น่ากลัวซึ่งเป็นที่อิจฉาของบรรดาสัตว์ประหลาด ในภาคนี้หนังจะพาเราไปเยี่ยมชมในรั้วมหาวิทยลัยในรูปแบบของมอนสเตอร์น่ารักๆ และจะได้รู้ว่าก่อนที่ทั้งสองจะเป็นซี้ปึกกัน Monster Inc. นั้น เคยเขม่นกันมาขนาดไหน
ถึงจะเป็นอนิเมชั่นที่มุ่งเจาะตลาดสำหรับเด็ก แต่ดูไปดูมาแล้วสะท้อนให้เห็นสังคมนักเรียนในปัจจุบัน เด็กบางกลุ่มเกิดมามีข้อจำกัดบางอย่างเลยมีแรงขับดันให้เรียนเก่ง และมีความรับผิดชอบ เด็กบางกลุ่มมีพ่อแแม่หาทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว เลยไม่รู้จะดิ้นรนไปทำไม ทำเท่ห์เอาหน้าเอาตาตามใจตัวเองไปวันๆ อีกทั้งสะท้อนทัศนคติคนส่วนใหญ่ที่เดี๋ยวนี้มักตัดสินคนจากภายนอก การที่สัตว์ประหลาดตัดสินอนาคตคนอื่นจากความน่ากลัวของรูปลักษณ์ ผมว่าไม่ต่างจากการที่คนเราตัดสินคนอื่น ตรงหน้าตา บุคลิก หรือความรวยเลย และนอกจากนี้หนังยังต้องการจะสื่อถึงคนดูว่า ความต่างไม่ใช่จะต้องหมายถึงความแปลกแยกหรือปมด้อยเสมอไป แต่เราสามารถนำมาพัฒนาเป็นจุดเด่นได้ อย่างในเรื่องนี้ สัตว์ประหลาดที่ลงแข่งขัน " Scare Game" (ไปดูกันไหนหนังนะครับ อิอิ) ทีมเดียวกับไมเคิล ซัลลิแวนนั้น แต่ละตัวดูประหลาดแต่บ้องแบ๊วไร้น้ำพิษเอามากๆ แต่ตอนหลังๆของเรื่องกลับดึงเอาจุดประหลาดของตนมาใช้หลอกให้คนอื่นกลัวได้สำเร็จ ดูแล้วชวนให้นึกย้อนถึงการทำงานในชีวิตประจำวัน ที่บ่อยครั้งคนอื่นมักมาด่วนตัดสินเรา(หรือไม่ก็เราตัดสินคนอื่น) ว่าทำนู่นไม่ได้หรอก นี่ไม่ได้นะ ก็อยู่ที่เราเลือกเชื่อเลือกทำล่ะครับ ออกจากโรงแล้วอยากทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
วิพากษ์มาซะเยอะเลย เข้าเรื่องวิจารณ์กันบ้างดีกว่า เรื่องความสนุกสนานแบบอนิเมชั่นน่ารักๆนั้นเรื่องนี้รับประกันได้ครับ ไอเดียเรื่องโลกสัตว์ประหลาดและการออกแบบสัตว์ประหลาดแต่ละตัวแสดงถึงความสร้างสรรค์และใส่ใจของผู้สร้าง มีมุกตลกแทรกมาอยู่เรื่อยๆ ไม่ถึงขั้นขำก๊ากจนตกเก้าอี้ แต่ขำแบบพาเพลินเหมือนดื่มกาแฟเบอร์ดี้(มีก๊ากอยู่เหมือนกันนะ) หนังมีครบทุกอารมณ์ครับ สนุก ตลก ตื่นเต้น ซึ้ง สะท้อนสังคม หลอน(แอบมีนะ ผมหลอนวิธีหลอกเจ้าหลายตาเอามาก ฮ่าๆ) แต่ไม่มีอารมณ์ หื่น กับซาดิสซ์นะครับ ใครหวังสองอารมณ์หลังรับรองผิดหวัง และคงบ้าไปแล้วถ้าจะหวังมันจากการ์ตูนอนิเมชั่น
ขี้เกียจวิจารณ์ข้อด้อยแล้วครับ โดนข้อสอบเล่นมาเยอะแล้ว ขอโลกสวยวันหนึ่งเถอะ เรื่องนี้ผมให้คะแนน 9.5/10 ครับผม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น