วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

รองเท้าทองคำ



ในทีสุดผมก็คว้ารางวัล รองเท้าทองคำมาได้
ความพร้อมของร่างกายสำคัญมาก แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ใจ
ที่หน้าอกผมมีแม่เหล็กดึงดูดเข้าหาเส้นชัย ผมผ่านการเคี่ยวกรำมานับไม่ถ้วน จนมันฝังลงไปในใจตามสัญชาตญาณ
เคล็ดลับของผมมีอยู่ว่า เริ่มวิ่งใหม่ๆ ผมวิ่งในสนามกีฬา
ในที่แห่งนั้น บางคนเป็นนักวิ่งอยู่แล้ว มักจะวิ่งเร็วกว่าคนอื่นๆ
เมื่อเห็นคนเหล่านั้น ผมก็จะกำหนดในใจว่าจะต้องแซงคนนั้นให้ได้ก่อนถึงจุดๆหนึ่งๆ
อย่างเช่น ผมต้องแซงคนเสื้อแดงคนนั้นให้ได้ ก่อนพ้นประตูทางเข้า
ไม่เคยมีใครแซงผมได้ หรือที่ผมแซงไม่ได้

วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะได้ลองสวมรองเท้าทองคู่นี้วิ่ง รองเท้าไม่ได้นุ่มสบายหรือวิเศษอะไร แต่มันคือความภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิตผม
เมื่อออกตัววิ่งก็เหมือนเข้าฌาณ เหนื่อยตอนต้นเพียงครู่เดียวเดี๋ยวก็ติดลมจนไม่อยากหยุด
แน่นอนว่าครั้งนี้ ก็ยังไม่มีใครที่จะแซงผม หรือที่ผมแซงไม่ได้ เหมือนอย่างเคย
ผมวิ่งด้วยระดับความเร็วที่ไม่มีใครในสนามกีฬาเทียบติด
แต่ทันใดนั้นผมกลับได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งวิ่งไล่ตามหลังผมมาอย่างกระชั้นชิด
ผมอึ้งอยู่ในใจ สั่งตัวเองให้ยิ้มย่อง ผมไม่คิดจะหันหลังไปมองเพราะเป็นการแสดงความกลัว
ผมสับขาเร็วขึ้น ดูซิว่ามันจะตามทันไหม
เสียงฝีเท้าของมันกลับถี่กระชั้นตามผม
มันเป็นใครมาจากไหน ผมสับขาเร็วขึ้นอีก ดูซิว่ามันจะทนได้แค่ไหน
ผมเริ่มหอบ แต่ไม่ได้ยินเสียงหายใจของมัน
รองเท้าทอง จะมีประโยชน์อะไร ถ้ามาแพ้หมดรูปให้ใครก็ไม่รู้อย่างนี้
ผมเร่งสุดฝีเท้า มันก็เร่งตามผม
ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว ผมเริ่มไม่ไหว หูอื้อไปหมด เลยไม่ได้ยินเสียงหอบของมัน
แต่ยังได้ยินเสียงฝีเท้ามันอยู่
หลายร้อยเมตรต่อมาผมไม่แคร์สายตาคนอื่น ที่อาจจะมองผมเหมือนคนบ้า
ก็ไอ้บ้าข้างหลังผมมันยังตามมาอยู่นี่หว่า
สิบวินาทีสุดท้ายผมรีดเร้นพลังทุกเฮือกออกมาหมด ผมกลัวตาย แต่ไม่กล้าผ่อนฝีเท้าลง
แล้ววินาทีต่อมา ผมก็ล้ม จังหวะนั้นผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของมันอีก ผมชนะแล้ว

....

มีหลายคนบอกผมว่า รองเท้าที่ผมซื้อจากร้านมือสองคู่นี้มีอาถรรพ์ ทำให้นักวิ่งมาราธอนที่มีดีกรีแชมป์จังหวัดหัวใจวายตายขณะวิ่งมาแล้ว วันนี้ผมลองใส่ออกวิ่งดู ตอนแรกๆยังไม่มีอะไรผิดปรกติ แต่พอเร่งฝีเท้าขึ้นกลับมีเสียงแปลกๆ ดังเหมือนเสียงฝีเท้าซ้อน คล้ายกลับมีใครอีกคนวิ่งคู่อยู่กับผม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจของผู้ออกแบบ แต่ผมว่าแบบนี้มันเจ๋งมาก เหมือนมีใครกำลังวิ่งเป็นเพื่อนผมอยู่เลย

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

หุ่นยนต์ vs มนุษย์ต่างดาว (เรื่องสั้นmasterpieceในใจ แบบไม่ตั้งใจ)


* เรื่องนี้ตอนที่แต่ออกมาไม่ได้หวังอะไรมาก แต่พอย้อนกลับไปอ่านดู เฮ้ย! แต่งออกมาได้ไงวะเนี่ย ถ้าใช้สมองคิดคงไม่ออกมาแบบนี้ ต้องใช้ส้นตีนคิดเท่านั้น เป็นเรื่องสั้นที่ผิวเผินดูเกรียนๆ แต่จริงๆแล้วก็แอบแฝงอะไรที่หนักสมองลงไปเหมือนกัน อยากมาแบ่งปันกันอ่านครับ*


“คุณมาจากดาวไหน”นักวิทยาศาสตร์อาวุโสถาม ขาวโพลนทั้งชุดและศีรษะ

“ดาวเคาะ”สิ่งมีชีวิตประหลาดตอบ รูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ผิวหนังสีเขียวโปร่งแสงดูเลือนราง เส้นขนหนาๆคล้ายหนวดบนศีรษะพันกันยุ่งเหยิง หางตาแหลม ดวงตากลมโตสีดำฉายแววเลื่อนลอย

“ดาวเคราะห์”นักวิทยาศาสตร์ขมวดคิ้ว พูดแก้ให้

“ดาวเคาะ”สิ่งมีชีวิตประหลาดยืนยันในคำตอบ

“อ๋อ...มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าดาวเคาะ”นักวิทยาศาสตร์คลายปมขมวดที่คิ้ว

“ดาวของพวกเราบางวันก็เป็นดาวฤกษ์ บางวันก็เป็นดาวเคราะห์ เราจึงเรียกดาวของเราว่าเป็นดาวเคิกที่ชื่อว่าดาวเคาะ”

“ดาวเคิก”นักวิทยาศาสตร์ขมวดคิ้วอีกครั้ง “คำๆนี้ไม่เคยมีบัญญัติในพจนานุกรมดาราศาสตร์เล่มไหนเลยนะ”

“ชาวดาวเคาะไม่มีพจนานุกรม” มนุษย์ต่างดาวตอบ “พวกเราเปิดกว้างให้ทุกคนสามารถนิยามคำใหม่มาใช้ร่วมกันได้”


“เอาล่ะครับท่านผู้ชม ที่ท่านกำลังรับชมอยู่นี้คือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกของแท้ บัดนี้ทฤษฎีเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่เป็นที่ถกเถียงตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนก็ได้รับการไขข้อเท็จจริงแล้ว ยังก่อนครับท่านผู้ชม แค่นี้ยังไม่น่าตื่นตะลึงเท่ากับได้รู้ว่า พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกของเรามากว่าหลายร้อยปีแล้ว”

ผมนั่งเอนพิงพนักโซฟาปรับระดับ สายตาจ้องมองภาพโฮโลแกรมสามมิติที่กำลังฉายรายการหยุดโลกอยู่ บนห้องพักชั้นที่ห้าสิบเอ็ดสูงเลยระดับผืนเมฆและหมอกควันไม่มีอะไรให้ทำมากนัก ผนังของตึกทำจากกระจกใสให้แสงส่องเข้ามาได้เต็มที่ แต่กรองรังสียูวีที่เป็นอันตรายได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทิวทัศน์ภายนอกนอกจากดวงอาทิตย์ยามคล้อยต่ำและผืนเมฆก็ไม่มีอะไรให้ชม ครั้งหนึ่งผมเคยคิดจะวิ่งชนกระจกให้แตกเพื่อออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก แต่ฉับพลันที่ร่างผมสัมผัสแผ่นกระจกมันก็โค้งงอไปตามแรงปะทะแล้วดีดสะท้อนให้ผมกระเด็นกลิ้งกลับมา ซันนี่หุ่นยนต์พ่อบ้านจอมจุ้นก็รายงานพฤติกรรมผมไปยัง ศูนย์ควบคุมดูแลผู้วิกลจริต ผลก็คือผมต้องเขารับการบำบัดที่นั่น และผมก็ให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่เข้าไปในนรกซังกะตายนั่นอีกเป็นครั้งที่สอง เดิมทีองค์กรควบคุมดูแลผู้วิกลจริตทำงานร่วมกันกับองค์กรกำหนดวิถีวัฒนธรรมของผม เพราะขอบเขตอำนาจในการทำงานใกล้เคียงกันจึงทำให้มักจะเกิดการก้าวก่ายทางหน้าที่การงาน ที่ผมต้องตกอยู่ในสภาพนักโทษผู้ดีเช่นนี้ก็เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น ครั้งที่องค์กรของผมค้นพบภาพวาด โมนาลิซ่าสมาย ซึ่งกลุ่มอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมายกลุ่มหนึ่งซุกซ้อนไว้นานกว่าสองร้อยปี ผมเสนอให้รัฐบาลเก็บรักษาภาพวาดชิ้นนั้นเอาไว้ แต่องค์กรควบคุมดูแลผู้วิกลจริตกลับเสนอให้ทำลายทิ้ง โดยให้เหตุผลว่าภาพวาดชิ้นนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรงของกลุ่มอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมาย อันเป็นการถ่วงความเจริญของชาติ หลังจากนำประเด็นนี้ไปต่อสู้ในชั้นศาล ผมแทบคลั่งเมื่อศาลตัดสินให้ทำลายทิ้ง ผมอับจนด้วยเหตุผลจึงหาทางระบายออกด้วยการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกไป ศาลจึงตัดสินให้ผมถูกควบคุมความประพฤติโดยองค์กรควบคุมดูแลผู้วิกลจริตอย่างใกล้ชิด พวกมันเองก็คงระรี้ระริกเมื่อหัวหน้าองค์กรกำหนดวิถีวัฒนธรรมอย่างผมตกอยู่ในกำมือของมัน ซันนี่หุ่นยนต์พ่อบ้านซึ่งแต่เดิมผมสามารถใช้งานหรือสั่งให้มันทำอะไรพิเรนทร์ๆแก่เบื่อ บัดนี้ขึ้นตรงต่อองค์กรควบคุมดูแลผู้วิกลจริตไปเสียแล้ว เพียงแค่ขัดใจมันหรือทำพฤติกรรมอันใดที่คนปรกติไม่นิยมทำ ซันนี่ก็จะรายงานเจ้านายใหม่ของมัน

ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ผมดีดนิ้วเรียกรถเข็นของว่างให้เคลื่อนที่มาหยุดข้างๆ ผมเอามือล้วงซีเรียลจากในกล่องยัดใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“กรุณาอ้าปากแล้วกดปุ่มป้อนอัตโนมัติ”เจ้าตัวการ์ตูนหมีขั้วโลกบนกล่องร้องและวิ่งพล่านไปทั่วกล่อง

ผมเอานิ้วดีดมันสองสามทีก็ยังไม่ยอมหยุด ผมจึงคว้ากล่องเขวี้ยงลงไปที่พื้น เจ้าซันนี่ที่กำลังง่วนกับการทำความสะอาดก็หันมามอง มันคงกำลังประเมินเปอร์เซ็นต์ความผิดปรกติของพฤติกรรมของผมอยู่แน่ๆ ผมรีบทำท่าเป็นสนอกสนใจที่ภาพโฮโลแกรม

“พวกเราแฝงตัวอยู่กับชาวโลกมาหลายร้อยปี”ตัวแทนมนุษย์ต่างดาวพูด “แต่นับวันที่อยู่ของเราก็ยิ่งลดน้อยลง เราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องแสดงตนออกมาแสดงเจตนาของพวกเราให้ชาวโลกได้รับรู้”

“พวกคุณต้องการอะไร”นักวิทยาศาสตร์ถาม

“พวกเราต้องการแค่ที่อยู่ในโลกใบนี้”

“แค่นี้หรือครับ”นักวิทยาศาสตร์ย้ำถาม

“คำว่าที่อยู่ ไม่ได้หมายความว่าแค่สถานที่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการที่ชาวโลกยอมรับการมีตัวตนของพวกเราด้วย”

จากนั้นทางรายการก็ตัดภาพไปยังภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ต่างดาวในซากปรักหักพังแร้นแค้น มนุษย์ต่างดาววัยฉกรรจ์กำลังใช้ก้อนหินคมๆผ่าฟืน มนุษย์ต่างดาวเพศแม่สองตนยืนคุยกันในขณะที่ต่างตนต่างให้นมลูก มนุษย์ต่างดาววัยเด็กผ่อมกะหร่องกลุ่มหนึ่งกำลังสร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังด้วยคมหินและฝุ่นดินสีต่างๆ ผนังส่วนใหญ่ไม่มีที่ว่างเว้นจากงานจิตรกรรมฝาผนัง

“วิถีชีวิตของพวกเขาช่างคล้ายคลึงกับนักอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมาย”พิธีกรออกความเห็น

จากนั้นภาพก็ตัดไปยังมนุษย์ต่างดาววัยรุ่นสองตนกำลังแกะสลักอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของซากปรักหักพัง สูงจากพื้นราวๆแปดเมตร ทันใดนั้นมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่งกลับเหยียบพลาดล้มไถลลื่นลงมา โชคดีที่ได้เพื่อนของเขาจับไว้ทัน แต่โชคไม่ดีซ้ำซ้อนที่เพื่อนของเขาผอมแห้งแรงน้อยจึงถูกฉุดลงมาด้วย ร่างทั้งคู่กระแทกกับพื้น มีเสียงเอะอะโวยวายเป็นภาษาต่างดาว มนุษย์ต่างดาวทุกตนในบริเวณนั้นหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้ววิ่งกรูกันเข้ามาดู

“ท่านผู้ชมครับ ช่างกล้องของเราบังเอิญบันทึกภาพวินาทีระทึกเอาไว้ได้”น้ำเสียงของพิธีกรรัวเร็ว แฝงด้วยอาการหอบ

ภาพตัดมาที่พิธีศพของมนุษย์ต่างดาว ทุกตนมาร่วมพิธีศพโดยการกระโดดเหยงๆไปมารอบๆหลุมศพ การกระโดดแต่ละครั้งนั้นขณะลอยตัวร่างจะเคว้งคว้างและปวกเปียกราวกับมึนเมาไร้สติ จากนั้นภาพก็ตัดไปที่นักวิทยาศาสตร์ซึ่งรับหน้าที่บรรยาย

“จากการศึกษาพบว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นเทคนิคการหลอกตัวเองอย่างหนึ่ง เนื่องจากในสมัยก่อนเมื่อมีพิธีศพ มนุษย์ต่างดาวทุกตนจะมอมตัวเองด้วยสิ่งมึนเมาอย่างหนัก เพราะเชื่อว่าจิตใจขณะมึนเมาจะสามารถสื่อสารกับพระเจ้าและวิญญาณของผู้ตายได้ แต่ปัจจุบันมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้อยู่ในสภาวะแร้นแค้น จึงใช้วิธีการหลอกตัวเองให้มึนเมาแทนการใช้ของมึนเมา ความสามารถเช่นนี้สามารถพบได้ในพวกศิลปินอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมาย

..ไม่ใช่สิ มันเป็นความสามารถที่บรรพบุรุษของเราเมื่อหลายร้อยปีก่อนทำได้ แต่ปัจจุบันแทบไม่พบคนที่มีความสามารถเช่นนี้”

จากนั้นเสียงบรรยายของนักพากย์ก็แทรกขึ้นมา

“การที่เราจะปักปันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับมนุษย์ต่างดาวนั้น อาจจะเกิดผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติก็เป็นได้ ดังนั้นเราจะไปฟังความเห็นของนักวิชาการกันนะครับ”

ภาพในโฮโลแกรมตัดมาที่ห้องส่ง เก้าอี้นวมดูเหมือนจะลอยอยู่กลางอากาศนั่งไว้ด้วยชายวัยกลางคน สวมสูทสีดำ เน็กไทด์สีแดง ผมรองทรงมันปลาบหวีเรียบแปล้ ใบหน้าแบนกว้างรูขุมขนใหญ่ เก้าอี้อีกตัวหนึ่งนั่งไว้ด้วยพิธีกรชายลอยมาหยุดอยู่ข้างๆ ฉากในห้องส่งเป็นจักรวาลจำลองสีน้ำเงิน ดาวพฤหัสขนาดเท่ากำมือโคจรผ่านหน้าพิธีกรไป

“คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับการปักปันเขตแดนให้มนุษย์ต่างดาวครับ”

“อืม...ในความคิดของผม”นักวิชาการณ์ยกขาขึ้นไขว่ห้าง “เรื่องที่อยู่ของมนุษย์ไม่ใช่ปัญหาเพราะปัจจุบัน การคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพถึงเก้าสิบแปดจุดเจ็ดก้าวเปอร์เซ็นต์ ส่วนสิ่งก่อสร้างก็สามารถต่อเตริมให้สูงขึ้นไปได้เสมอ เรื่องความมั่นคงกระทรวงกลาโหมก็มั่นใจในแสนยานุภาพของตน”

“คุณคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรเลยหรือครับ”พิธีกรซัก

“มีครับ มีตรงที่ว่าวิถีชีวิตของมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ค่อนข้างล่อแหลม อาจจะมีอิทธิพลต่อการนำไปเป็นแบบอย่างของมนุษย์บางกลุ่ม”

“แล้วพฤติกรรมของมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้มันล่อแหลมอย่างไรครับ”

“วิถีชีวิตของพวกเขามีพื้นฐานอยู่บนความเพ้อฝัน จากสองร้อยปีที่ผ่านมากระทรวงวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาทดลองเกี่ยวกับสมองมนุษย์ จนสามารถคิดค้นวัคซีนระงับความเพ้อฝันออกมาได้ กฏหมายกำหนดไว้ว่าประชาชนทุกคนที่เกิดในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมาจะต้องได้รับวัคซีนในช่วงอายุหนึ่งถึงสองขวบ เมื่อประชากรมีความเพ้อฝันลดลง ผลที่ตามมาก็คือ ประสิทธิภาพในการทำงานและการคุมกำเนิดสูงที่สุดในประวัติกาล”

“แล้วทำไมปัญหานักอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมายยังไม่หมดไปล่ะครับ”พิธีกรถาม พลางโน้มตัวมาข้างหน้า

“ปัญหานี้ยังหาข้อสรุปของสาเหตุไม่ได้ครับ”นักวิชาการณ์ตอบ ท่าทีอึดอัด


“ท่านผู้ชมครับ ฟังความคิดเห็นของนักวิชาการไปแล้ว คราวนี้มาฟังสัมภาษณ์จากท่านนายกรัฐมนตรีกันบ้างดีกว่าครับ”

ภาพตัดไปที่ท่านนายกรัฐมนตรีกำลังเดินออกมาจากสำนักงาน ถูกขวางหน้าด้วยหุ่นยนต์ไมโครโฟนพร้อมบันทึก รอบตัวรายล้อมด้วยสื่อมวลชน ข้างกายมีบอดี้การ์ดเป็นคนสองคนและหุ่นยนต์สองตัว ท่านเป็นชายร่างท้วม ศีรษะใหญ่ จมูกใหญ่ ปากหนา ตาตี่เล็ก สวมแว่นตาวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งจะมีตัวหนังสือและรูปภาพปรากฎเป็นระยะๆ

“ไม่ต้องถามผมผมก็รู้ว่าพวกคุณต้องการถามอะไร ผมว่าเราควรให้โอกาสชาวดาวเคาะ แต่พวกเขาเองก็ต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ว่าพวกเขามีสมรรถภาพพอที่จะอยู่ในสังคม และเมื่อไม่นานมานี้กระทรวงกลาโหมได้ร่วมมือกับกระทรวงวิทยาศาสตร์พัฒนาหุ่นยนต์รุ่นอาร์ที820 จุดประสงค์คือเพื่อทดแทนกำลังตำรวจและทหารบางส่วน เนื่องจากทางเราต้องการแสดงสมรรถนะของอาร์ที820ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกเช่นกัน ดังนั้นผมจึงขอประกาศให้มีการชกระหว่าง หุ่นยนต์อาร์ที820 กับ ตัวแทนชาวดาวเคาะในอีกสามเดือนหลังจากนี้ โดยมีที่อยู่และการยอมรับการมีตัวตนของชาวดาวเคาะเป็นเดิมพัน”

ภาพตัดกลับมาที่ชุมชนชาวดาวเคาะในซากปรักหักพังอีกครั้ง

“เมื่อมนุษย์ต่างดาวทราบข่าว พวกเขาก็สามารถเฟ้นหาตัวแทนนักชกได้ภายในวันนั้น”นักพากย์บรรยาย

ตัวแทนนักชกต่างดาวมีรูปร่างสมส่วนและเลือนรางน้อยที่สุดในหมู่มนุษย์ต่างดาวทุกตน แต่ก็ยังดูผอมเกร็งเกินไปในสายตาของผม รายการเผยให้เห็นการฝึกซ้อมอย่างคร่าวๆ ไม่ว่าจะเป็น ยกก้อนหินต่างตุ้มน้ำหนัก ชกล่อเป้าโดยมีแมลงวันเป็นเป้า กระโดดแกว่งแขนยิกๆคิดว่ามีเชือกอยู่ในมือ ชกกับคู่ชกที่สร้างจากจินตนาการ เป็นต้น

“เรามาดูการฝึกซ้อมทางด้านอาร์ที820กันบ้างนะครับ”

อาร์ที820เก็บตัวอยู่ในห้องแล็บสีขาวแสงนวลตา นักวิทยาศาสตร์คอยสังเกตและบันทึกอยู่ห่างๆ การฝึกซ้อมของแอนดรอยด์สีขาวมีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น เข้าเครื่องบิดตัวเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับโครงสร้าง กระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความทนทาน บันทึกรูปแบบการชกของนักชกชื่อดังในอดีตลงในสมองกล ซ้อมชกกับคู่ชกที่เป็นหุ่นยนต์โดยไม่ต้องพึ่งคำสั่ง

“ใช้คนเป็นคู่ชกไม่ได้เพราะจะขัดกับกฎสามข้อของหุ่นยนต์” นักวิทยาศาสตร์อธิบายเพิ่มเติม “ ส่วนการชกกับนักชกต่างดาวนั้นไม่เป็นปัญหา เพราะในสายตาหุ่นยนต์ไม่ได้มองมนุษย์ต่างดาวว่าเป็นมนุษย์”

จากนั้นภาพก็ตัดมาที่ใบหน้าของพิธีกร

“ทั้งหมดที่ชมไปนี้เป็นแค่ไฮไลท์ครับ ก่อนที่จะไปชมการถ่ายทอดสดมวยคู่หยุดโลก มาฟังนักชกแต่ละคนพูดสักหน่อยดีกว่าครับ”

“เราจะสู้เพื่อการมีตัวตนของพวกเรา”นักชกต่างดาวพูดพร้อมกับกำหมัดชูขึ้น

“เจ้านายสั่งให้ผมมาชนะ”นักชกหุ่นยนต์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ภาพตัดมาที่ฮอลล์สเตเดี้ยม ผู้ชมนั่งเต็มทุกที่นั่ง นักชกต่างดาวกำลังร้องพร้อมเต้นตามเพลงประจำดาวเคาะ พอเพลงจบ อาร์ที820ก็ยืนตรง เพลงชาติดังขึ้น ทุกคนในฮอลล์ยืนตรงเช่นกัน พอเพลงจบผู้ชมก็พากันนั่งลง นักชกต่างดาวกับอาร์ที820มายืนประจันหน้า หุ่นยนต์อาร์ที41ตัวสีทอง ตากลมโตดูเด๋อด๋ารับหน้าที่เป็นกรรมการ อธิบายกติกาอย่างคร่าวๆ เสียงระฆังยกแรกดังแก๊ง! นักชกต่างดาวกับอาร์ที820ตีนวมกันทีหนึ่งก่อนจะผละจากกันมาเต้นหาจังหวะ

นักชกต่างดาวเต้นไปรอบๆเวทีในขณะที่อาร์ที820เต้นอยู่กับที่ สิบห้าวินาทีผ่านไป นักชกต่างดาวตัดสินใจสืบเท้าเข้าไปแย็บหมัดใส่การ์ดของอาร์ที820

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันก็สวนกลับหรอก”ผมเชียร์

เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด อาร์ที820สวิงหมัดฮุคขวาออกมาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่นักชกต่างดาวฉากหลบไปข้างหลังได้ทัน ยกขาขวาขึ้นถีบยอดอกสกัดไม่ให้นักชกหุ่นยนต์เข้ามาซ้ำเติม ผมถึงกับเผลอหัวเราะก๊ากออกมา กรรมการเข้ามาแยก เตือนและตัดคะแนนนักชกต่างดาว ผู้ชมพากันส่งเสียงโห่อย่างไม่พอใจ ดูเหมือนเสียงโห่จะมีผลทำให้สีหน้าของมนุษย์ต่างดาวแย่ สีตัวก็เริ่มเลือนรางลง

สองนาทีผ่านไปนักชกต่างดาวพยายามเต้นอยู่วงนอกและเข้าตอดเล็กตอดน้อยเก็บคะแนนเป็นระยะ หมัดตัดลำตัวของนักชกต่างดาวเก็บคะแนนไปได้ไม่น้อย แต่อาร์ที820ก็เปิดช่องให้ชกโดยไม่สะดุ้งสะเทือน พอห้าวินาก่อนจะหมดยกแรก นักชกต่างดาวโถมสุดตัวปล่อยหมัดเข้าที่ท้อง อาร์ที820ไม่ป้องกันแต่สวิงหมัดสวนกลับเข้าที่ปลายคางจังๆ ล้มลงไปนอนตัวสั่นริกๆ พยายามลุกขึ้นมาอย่างยากเย็น โชคดีที่หมดยกลงเสียก่อน ผู้ชมพากันส่งเสียงครางอย่างเสียดาย พี่เลี้ยงรีบเข้ามาลากนักชกกลับไปที่มุม สีตัวของนักชกต่างดาวเลือนรางและกระพริบ ดวงตาฉายแววขยาดระคนท้อแท้

“มันยุติธรรมตรงไหน!” ผมร้องพลางยื่นสองมือไปหาภาพโฮโลแกรม “เอาสิ่งมีชีวิต มีความรู้สึก ไปแลกกับหุ่นกระป๋องไร้ความรู้สึก”

“ความไม่เหมาะสมของพฤติกรรมอยู่ที่ หกสิบสองเปอร์เซ็นต์”ซันนี่เตือน

ผมรีบหุบปากสนิท แต่ในใจยังระอุอยู่ พี่เลี้ยงนักชกต่างดาวตบบ่าพูดอะไรสองสามประโยค ฉับพลันทันใดผมสังเกตเห็นแววตาของนักชกแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมัน มันทำให้ผมนิ่งอึ้งสงสัยว่าอะไรกันหนอที่เป็นแรงผลักดันให้สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งเดินเข้าไปรับความเจ็บปวดในยกที่สองอย่างแน่วแน่ แต่ยกนี้อาร์ที820เอาจริงผิดกับยกที่แล้ว สไตล์การชกวงนอกของนักชกต่างดาวเริ่มสับสน ถึงจะระวังคางไว้ได้แต่ก็โดนตัดลำตัวลงไปนอนจุกถึงสี่หน พอลุกขึ้นมาขาก็เริ่มเต้นไม่ค่อยออก ผู้ชมตะโกนเชียร์อาร์ที820อย่างสะใจ สิบวินาทีก่อนหมดยก สองมือผมกุมกันแน่น หยดเหงื่อไหลผ่านปลายจมูก แปดวินาทีก่อนจะหมดยกหมัดฮุคขวาของอาร์ที820ทะลายการ์ดนักชกต่างดาว ห้าวินาทีก่อนจะหมดยก นักชกต่างดาวอาศัยจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันวกแขนกลับมาตั้งการ์ดเสยหมัดอัปเปอร์คัตเข้าที่คางเต็มแรง ร่างของแอนดรอยด์สีขาวกระตุกและเซไปข้างหลัง คงเป็นเพราะสมองกลถูกกระทบกระเทือน สีตัวของนักชกต่างดาวเริ่มชัดขึ้น

“อย่างนี้สิลูกพ่อ!”ผมลุกขึ้นกระโดดบนโซฟา “ซ้ำมันเลย! ซ้ำเลย!”

“พฤติกรรมไม่เหมาะสมเกิน เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ เข้าข่ายวิกลจริต!”เสียงซันนี่ร้องเตือนเหมือนนก

“อย่า!”ผมคิดจะห้ามซันนี่ แต่มันก็ส่งวิทยุแจ้งไปเสียแล้ว หลังจากระฆังหมดยกสองดังไม่กี่วินาที เสียงโครม!ของประตูห้องผมก็ดังตามมา ชายสามคนสวมชุดปลอดเชื้อสีขาววิ่งกรูเข้ามาหาผม หน้ากากหมวกแผ่นใสๆเผยให้เห็นใบหน้าข้างในของพวกเขา แผ่นหลังโป่งนูนออกเพราะเป็นที่เก็บถังออกซิเจน

“ผมมาควบคุมตัวคุณไปยังศูนย์บำบัดผู้วิกลจริต”หนึ่งในสามคนนั้นพูดขึ้น

“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนซี่ ยังดูมวยคู่หยุดโลกไม่จบเลย มามะมาดูด้วยกันก่อน ถึงยังไงเดี๋ยวผมก็ต้องไปกับคุณอยู่แล้ว”ผมเชิญชวนพลางกดปุ่มขยายโซฟาเพิ่มเป็นสี่ที่นั่ง ทั้งสามคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมานั่งกับผม

ระฆังยกที่สามดังขึ้น อาร์ที820เดินเข้าใส่คู่ต่อสู้ คงกะจะน็อคให้ได้ภายในยกนี้ นักชกต่างดาวทิ้งสไตล์การชกวงนอกของตัวเองเดินเข้ามาแลกหมัดเช่นกัน หมัดของทั้งสองฝ่ายรัวใส่กันตุบตับจนผมแทบมองไม่ออก ผู้ชมในฮอลล์และเจ้าหน้าที่สามคนข้างๆผมส่งเสียง เอิ้ว! เมื่อหมัดของอาร์ที820สะกิดถูกปลายคางของนักชกต่างดาวจนเดินเป๋ไปอีกทิศ แต่กระนั้นแขนนักชกต่างดาวก็ยังเหวี่ยงหมัดไม่มีหยุด หมัดถูกปลายคางของอาร์ที41ที่เป็นกรรมการเข้า สมองกลสั่นสะเทือนจนเดินเป๋ไปมาทั่วเวที เมื่อนักชกต่างดาวเรียกสติกลับมาได้ก็เดินหน้าเข้าไปแลกหมัดกับนักชกหุ่นยนต์ต่อ นักชกต่างดาวเริ่มเป็นฝ่ายถูกถลุงอย่างหนัก แต่ก็ยังเหวี่ยงหมัดโต้ตอบตามสัญชาตญาณ ภาพเหล่านี้ทำเอาผมน้ำตาคลอเบ้า อาร์ที820ทิ้งฮุคสั้นๆเข้าที่ปลายคางฝ่ายตรงข้ามตามด้วยฮุคยาวๆอีกหมัดหนึ่ง จนนักชกต่างดาวลงไปนอนกองกับพื้น เนื้อตัวของเขาสั่นเทา พยายามยันกายลุกขึ้นมาอย่างช้าๆและยากเย็น

“พอเถอะ! นายทำดีที่สุดแล้ว!”ผมร้องออกมาอย่างพลุ่งพล่าน

กรรมการนับจนถึงเก้าจึงค่อยลุกขึ้นมาได้สำเร็จ สีตัวของนักชกต่างดาวเข้มขึ้น ตั้งการ์ดแล้วเดินเข้าไปแลกหมัดต่ออีกครั้ง คราวนี้ต่างฝ่ายต่างเหวี่ยงหมัดใส่กันอย่างไม่คิดชีวิต หมัดชนหมัดบ้าง หมัดชนหน้าบ้าง คละกันไป แต่ฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต นอกจากสู้กับคู่ต่อสู้ภายนอกแล้วก็ยังต้องสู้กับคู่ต่อสู้ภายใน เรี่ยวแรงเริ่มโรยรา ความบอบช้ำสะสมเริ่มออกอาการ หมัดของนักชกต่างดาวช้าลง อาร์ที820ซัดหมัดฮุคเข้าเต็มคาง นักชกต่างดาวเข่าอ่อนเซหลัดๆแต่ก็ยืนหยัดไม่ยอมล้ม สีตัวเข้มขึ้นอีก หุ่นยนต์นักชกตามเข้าไปซ้ำอีกหมัด นักชกต่างดาวเซถลาไปด้านข้างจนหัวเข่าแตะพื้น แต่ยืนกลับขึ้นมาได้ด้วยสองขาที่สั่นพั่บๆ สีตัวเข้มขึ้นอีก อาร์ที820ตามเข้าไปซ้ำอีกหมัด แววตาของนักชกต่างดาวแปรเปลี่ยนเป็นเคว้งคว้าง ร่างส่ายโงนเงนราวกับไม่ได้สติ แต่หมัดขวายังเหวี่ยงออกไปเป็นวงกว้าง เท่ากับเปิดช่องว่างใหญ่มากสำหรับให้ฝ่ายตรงข้ามสวนกลับ แต่ทว่าสีตัวของนักชกตอนนี้กลับชัดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น รอยเกล็ดบางๆเด่นชัด ความเลือนรางไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป

“จบแล้วสินะ” ผมทอดถอนใจ

ทว่าทันใดนั้น แทนที่อาร์ที820จะซ้ำอีกหมัด มันกลับฉากหลบไปข้างหลัง ตัวของนักชกต่างดาวล้มลงไปตามทิศของการเหวี่ยงหมัด พอร่างสัมผัสกับพื้นก็นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งไม่ไหวติง กรรมการสั่งยุติการชก ทุกคนที่เป็นชาวโลกในฮอลล์แห่งนั้นส่งเสียงเฮสนั่น สามคนข้างๆผมก็เช่นกัน ผมเองก็โห่ร้องออกมาด้วยความพลุ่งพล่านใจ

“ต่อสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีมาก เจ้าต่างดาว!”ผมร้อง

“อาร์ที820 สมรรถนะดีเยี่ยมจริงๆ”หนึ่งในสามคนข้างๆผมพูด

“ต่อสู้อย่างหนักแต่แทบไม่สึกหรอ อาร์ที820ยอดเยี่ยมมาก”อีกคนหนึ่งพูดตอบอย่างตื่นเต้น

ผมอึ้งกิมกี่แล้วหันไปสนใจที่ภาพโฮโลแกรมต่อ เสียงเชียร์อาร์ที820 ของผู้ชมยังดังกระหึ่ม พี่เลี้ยงพยุงนักชกต่างดาวลงจากเวที ขณะที่พิธีกรขึ้นเวทีไปสัมภาษณ์

“สมรรถนะคุณดีเยี่ยมจริงๆ แต่ผมและผู้ชมทุกคนอยากรู้จะแย่แล้วว่า ทำไมตอนสุดท้าย คุณถึงไม่ชกหมัดออกไป”

อาร์ที820ถอดนวมอย่างรวดเร็ว รับไมโครโฟนไปถือแล้วตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า

“วินาทีนั้นสมองกลส่วนหนึ่งของผมประมวลผลออกมาว่าเขาเป็นมนุษย์ ผมตระหนักถึงกฎสามข้อของหุ่นยนต์ จึงไม่ชกหมัดสุดท้ายออกไป”

ผู้ชมทั้งฮอลล์เงียบกริบ ริมฝีปากและคิ้วของพิธีกรกระตุก ก่อนที่จะหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วพูดออกมา

“ขอเสียงปรบมือให้กับอาร์ที 820 อีกครั้งครับ”

เสียงปรบมือดังกระหึ่ม เสียงโห่ร้องอย่างยินดีดังสนั่น เจ้าหน้าที่ที่นั่งทางซ้ายมือของผมลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับผมว่า

“หมดเวลาแล้วครับ”

ทั้งสามคนค่อยๆควบคุมตัวผมพาเดินออกจากห้อง ผมเหลียวไปดูภาพโฮโลแกรมเป็นครั้งสุดท้าย ภาพตัดไปที่นักชกมนุษย์ต่างดาวและพี่เลี้ยงที่กำลังจะเดินออกจากฮอลล์

“และขอเสียงปรบมือให้กับ นักชกชาวดาวเคาะด้วยครับ”

จากเสียงปรบมือเกรียวกราวก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงเปาะแปะ เจ้าหน้าที่ที่เดินรั้งท้ายพูดออกมาว่า

“สุดท้ายชาวดาวเคาะก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตไร้ที่อยู่”

“ใครบอก” ผมหันหลังกลับไปเถียงเขา “พวกเขาอยู่ในใจผมเรียบร้อยแล้ว และผมก็รู้ว่าคนอย่างพวกคุณไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่ผมพูดหรอก”

แล้วผมก็ถูกนำตัวออกจากห้อง พร้อมๆกับนักชกต่างดาวที่ถูกพยุงออกจากฮอลล์ไป

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

เสือและป่าคอนกรีต




เขากำลังจ้องตาเสืออยู่ เสือโคร่งลำตัวหนาใหญ่ลายพาดกลอน ตาดำของมันหดเล็กลงจนเกือบจะเป็นเส้น เหมือนในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดทำให้มันสะทกสะท้านได้ อาวุธที่เขาใช้ต่อกรกับมันก็คือดวงตาแห่งความเมตตา เปล่งประกายแห่งความเสียสละ หยั่งลึกเข้าไปในความรู้สึกของเจ้าเสือโคร่ง เขาพลันเข้าใจว่าเสือตัวนี้น่าสงสารเพียงไร มันเบียดเบียนสัตว์อื่นเพราะตามธรรมชาติของมันไม่สามารถกินพืชเป็นอาหารได้ เขายื่นแขนไปหามัน เป็นการสื่อว่า เขายอมสละร่างกายตัวเองเพื่อความสันติ ยอมให้เสือกินจนอิ่มเพื่อที่เสือจะได้ไม่ไปเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นต่อ ตาดำที่หดเล็กเป็นเส้นของเสือโคร่งพลันขยายกว้างขึ้น ประกายตาสุกใสหลั่งน้ำตา มันเลียมือเขาตอบเป็นการสื่อว่า มันเข้าใจและจะดำเนินตามเจตนารมณ์ของเขา ทั้งคนและเสือสวมกอดกันก่อนจากกัน ทั้งคู่เดินสวนกันไปคนละทิศ เสือโคร่งหยุดฝีเท้าแล้วก้มลงเล็มกินหญ้าใต้ต้นไม้ เขาแอบเอาใจช่วยให้เสือตัวนี้เปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติได้สำเร็จ
สิบกว่าปีแล้วที่เขาพเนจรไปทั่วพนาป่าเขา ชีวิตเขาเริ่มต้นที่วัดป่าเล็กๆ มารดาผู้ไม่ประสงค์ออกนามนำทารกน้อยมาฝากฝังกับเจ้าอาวาส เขาได้รับการอบรมจากท่านเจ้าอาวาสอย่างใกล้ชิดในฐานะศิษย์ฆาราวาส บำเพ็ญตบะจนแก่กล้าตั้งแต่อายุยังน้อย จนกระทั่งถึงวัยหนุ่มฉกรรจ์ เขาคิดว่าไม่ถูกต้องหากจะเก็บตัวอยู่ในวัดแล้วช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นแต่เพียงคนเดียว เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางไปโปรดสัตว์
จักจั่นเรไรประสานเสียงเป็นบทเพลงเตือนใจถึงความน่ากลัวที่รออยู่เบื้องหน้า เขาตระหนักได้ว่าผืนป่าคงสิ้นสุดข้างหน้าไม่ไกลนี้ ก่อนจะพ้นจากป่า เขาก็พบกับสองลิงแม่ลูกอ่อน แม่ลิงร้องบอกเขาว่าอย่าไปต่อเลย แต่ความหวังดีของแม่ลิงนั้นถูกรับไว้ด้วยใจ เขาพยักหน้าขอบคุณแล้วเดินต่อ แม่ลิงส่ายหน้าอย่างผิดหวังก่อยจะกระโจนโหนต้นไม่พร้อมกับลูกน้อยเกาะบนบ่า
ผืนป่าสิ้นสุดลงที่ริมเขา มองลงไปเบื้องล่างคือป่าคอนกรีต แม้จะยืนมองอยู่ห่างๆแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความวุ่นวาย หนทางไม่น่าไปต่อแต่เขาต้องไป ความยากลำบากมีไว้เผชิญหน้าไม่ใช่ไว้หนี ถึงเวลาที่เขาจะต้องไปโปรดเพื่อนมนุษย์แล้ว
เขาไม่สามารถเปิดประตูหัวใจใครได้หากไม่ได้สบตา ในป่าคอนกรีตแห่งนี้ ทุกคนดูเหมือนหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องของตัวเอง ก้าวเท้าเดินฉับๆในขณะที่ใจครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น เขาเห็นคนจำพวกหนึ่งดิ้นรนเพื่อความสบาย อีกจำพวกหนึ่งดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด แต่ละคนไม่มีเวลาใส่ใจคนอื่น บางครั้งเขาก็เห็นรอยยิ้มที่แห้งแล้ง การสัญจรบนถนนสร้างความสับสนให้แก่เขาไม่น้อย เขายืนกะจังหวะอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจเดินพรวดพราดข้ามไป เสียงล้อบดถนนกับเสียงแตรดังลั่น รถเก๋งคันหนึ่งไถลล้อเป็นรอยยางมาหยุดอยู่แทบเบื้องหน้าเขา คนขับชะโงกหน้าออกมาชูกำปั้นด่า
“ช้ามถนนหัดดูตาม้าตาเรือซะมั่งสิวะ ชนมึงตายเดี๋ยวกูก็ติดคุกอีก”
เขาตระหนักว่าตนไปขวางทางสัญจรของคนผู้นี้ จึงส่งจิตผ่านสายตาไปขอโทษและปลอบโยนหัวใจของคนขับ คนขับรถบีบแตรใส่อีกครั้ง
“มายืนทำหน้าแอ๊บแบ๊วขวางทางรถทำไมอีกวะ หลีกทางสิโว้ย!!”
เขาเดินข้ามถนนต่ออย่างงกๆเงิ่นๆ กว่าจะข้ามได้ก็โดนรถคันอื่นบีบแตรไล่อีกสองครั้ง ผู้คนละแวกนั้นหันมามองอย่างดูถูกแวบหนึ่ง เขายิ้มปลอบใจตัวเอง ตอนเข้าป่าใหม่ๆเขาก็เคยได้รับการต้อนรับที่ไม่ดีเท่าใดนัก โดยเฉพาะสัตว์ดุร้ายจำพวก งู จระเข้ หรือเสือ เขาคิดว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะป่ายังไม่รู้จักเขาและยังไม่รู้จักกับจิตใจที่เผื่อแผ่ ป่าคอนกรีตแห่งนี้ก็คงเช่นเดียวกัน
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขารู้สึกกระหายและเมื่อยล้า ความท้อที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจปรากฏออกมาให้เห็นชัดขึ้น ป่าคอนกรีตผิดกับป่าทั่วไปที่เขาเคยเจอ ในป่า ต้นไม้ทุกต้นสามารถสื่อสารกับเขาได้ เขามักจะขออนุญาติและขอบคุณเสมอทุกครั้งที่เด็ดผลของพวกมันกิน ต้นไม้เองก็ไม่ว่าอะไร ออกจะดีใจที่ตนมีส่วนช่วยในการหล่อเลี้ยงชีวิตผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ เขาตอบแทนมันด้วยการช่วยพวกมันขยายพันธุ์เท่าที่จะทำได้ แต่ในป่าคอนกรีตแห่งนี้ เขาไม่สามารถสื่อสารกับต้นคอนกรีตต้นไหนได้เลย
เขาเดินผ่านร้านขายผลไม้ หยุดมองดูแผงผลแอ๊ปเปิ้ลสีแดงสดฉ่ำน้ำ เขาเห็นว่าผลแอ๊ปเปิ้ลเหล่านี้ไม่ได้อยู่ติดกับขั้วต้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใครจึงหยิบลูกหนึ่งขึ้นมากัดกินประทังความหิวกระหาย พ่อค้าสวมเอี๊ยมมีกระเป๋าด้านหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา พร้อมกับส่งยิ้มให้ ถึงเขาจะสัมผัสถึงไมตรีไม่ค่อยจะได้แต่เขาก็ยิ้มตอบอย่างจริงใจ เขาและพ่อค้าผู้นี้ล้วนเป็นเพื่อนร่วมโลก มนุษย์ทุกคนในโลกก็เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ๆครอบครัวหนึ่ง เขาเดินต่อไปพร้อมกับผลแอ๊ปเปิ้ลในมือ
“อ้าวเฮ้ย! จกกินไม่จ่ายตังค์ แล้วจะเดินจากไปอย่างหน้าด้านๆอย่างนี้เนี่ยนะ กลับมาก่อนนะเว้ยเฮ้ย!!”
เขาถูกพ่อค้าตามไปฉุดลากตัวกลับมา
“จ่ายเงินมา!”
เขาแบมือทั้งสองข้างออก เขาไม่เข้าใจ
“แล้วจะชดใช้ยังไง!”
เขายักไหล่ ถูกพ่อค้าทุบตีไปเสียหลายตุ้บ แต่สักพักก็เลิกราไปเพราะเห็นว่าไม่คุ้มที่จะเอาเรื่องกับแอ๊ปเปิ้ลเพียงผลเดียว พ่อค้าหันไปสนใจแผงแทน เขาเดินต่อ เป้าหมายเริ่มเลือนรางลงเรื่อยๆ ตกเย็นแล้วแทบไม่มีอะไรตกถึงท้อง เขาเดินมาจนถึงตลาด ของกินวางอยู่บนแผงเรียงรายเกลื่อนกลาด แต่เขาตระหนักว่าของถูกอย่างล้วนถูกคนอ้างเป็นเจ้าของแล้ว เขาเห็นการใช้แผ่นกระดาษและโลหะกลมๆแลกเปลี่ยนกับของเหล่านั้น จากการฟังหลายๆคนพูดกัน จึงทำให้เขาเริ่มรู้ว่า สิ่งที่ใช้แลกอาหารเหล่านี้เรียกว่า เงิน แต่เขายังไม่รู้ว่าจะหาได้จากที่ไหน
เขาเดินผ่านตลาด ขึ้นสะพานลอยไป บนสะพานนั้นเขาได้พบชาบยคนหนึ่งเนื้อตัวสกปรกแต่งตัวซอมซ่อ นอนคว่ำคู้ตัวอยู่ ใต้แขนเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาลคราบดำเขรอะนั้นไร้ท่อนแขนและท่อนขา ขันใส่เศษเงินบุบๆวางอยู่เบื้องหน้า เขารู้สึกเวทนาชายพิการผู้นี้ มองเศษเงินในขันพลันคิดได้ว่า เศษเงินเหล่านี้นำไปแลกอาหารได้ ด้วยความหวังดีต่อชายพิการเขาจึงเดินเข้าไปหยิบเศษเงินในขัน ตั้งใจจะเอาไปซื้ออาหารมาให้
“ไอ้ห้าร้อย!” ขอทานพิการพลันโผล่แขนออกมาจากแขนเสื้อขึ้นมาตบใส่ เขาตกใจหงายหลังก้นจ้ำเบ้าหลบฝ่ามือนั้นได้ทันพอดี ขอทานโผล่ขาออกมายืนขึ้นจะเตะซ้ำ เขารีบผุดลุกขึ้นวิ่งหนีลงบันไดไป
“ไอ้โง่เอ๊ย! ไม่รู้ซะแล้วว่ามาแหยมกับใคร ถุย!”
ขอทานเห็นว่าถ้าวิ่งตามไปจะเสียภาพพจน์คนพิการจึงนอนคว่ำลงซ่อนแขนขาของตัวเองตามเดิม
ชายหนุ่มวิ่งหนีความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ มันกะทันหันเกินกว่าที่เขาจะรับได้ทัน เขาวิ่งไปหยุดริมสี่แยกแห่งหนึ่ง แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว แสงสีพร่าพรายตาเข้ามาแทนที่ เขารู้ตัวแล้วว่ายังไม่พร้อมสำหรับป่าคอนกรีตแห่งนี้ เขาต้องการจะกลับเข้าป่า แต่หันซ้ายหันขวาไม่รู้ทางไหนเป็นทางไหน เขาเริ่มรู้สึกกลัวและโดดเดี่ยว เขาอยากร้องไห้
สามวันต่อมา
ใต้สะพานลอย เขานอนคู้ตัวซ่อนแขนซ่อนขาเอาไว้ ขันทองเหลืองบุบๆใบหนึ่งวางไว้เบื้องหน้า
“ตำรวจมา ตำรวจมา!”
พวกตั้งแผงลอยริมถนนตะโกนบอกต่อกันพลางหอบโกยข้าวของเผ่นหนี เขาโผล่แขนออกมาคว้ากระชับขันทองเหลืองไว้กับอก สองขาโผล่ออกมาลุกยืนแล้ววิ่งจ้ำอ้าว ตำรวจคนหนึ่งวิ่งไล่กวดตามเขามา ด้วยแรงขับดันของสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เขาวิ่งทิ้งห่างตำรวจคนนั้นออกไปเรื่อยๆ
“หยุดให้จับซะดีๆ!”
“ตามจับกูไม่ทันหรอก!”เขาตะโกนตอบอย่างเยาะหยัน
ในที่สุดตำรวจก็วิ่งตามเขาไม่ทัน และเขาเองก็ตามตัวเองไม่ทันแล้วเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ศิลปิน



เขายืนขับร้องพลางดีดกีต้าร์โปร่ง รถราที่สัญจรผ่านไปมาทำให้อากาศไม่บริสุทธิ์ ไหล่รับน้ำหนักจากสายสะพาย ผิวทนรับการแทงจากแสงแดดยามเย็นที่ไร้ความปราณีราวแสงแดดยามบ่าย เขาสวมแว่นกันแดด เสื้อยีนส์แขนยาว กางเกงยีนส์หัวเข่าขาด และรองเท้าผ้าใบ แทบเท้าเบื้องหน้าวางซองกีต้าร์เปิดอ้าไว้เผยให้เห็นเศษเงินย่อยๆทั้งเหรียญและแบ็งค์กระจัดกระจายอยู่ในนั้น ที่แห่งนี้คือที่ประจำในการขายเสียงขายอารมณ์ หน้าตบาดที่ผ้าใบกันสาดขึงพรืดเรียงเหมือนเป็นม่านมุก พื้นยกขึ้นต่างระดับมแม่ค้าชาวเขาสี่ห้ารายวางแผงขายลิ้นจี่ บางคนกระเตงลูกน้อยมาด้วย
“เพราะฉันไม่รวยเหมือนเขา เธอจึงลืมรักที่เราเคยมีให้กัน”
เขาไม่ถนัดการนำเพลงร่วมสมัยมาขับร้อง ส่วนใหญ่เพลงที่เขาร้องจะเป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นเอง และเพลงที่เขาแต่งส่วนใหญ่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริง เพลงนี้กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ที่สะเทือนใจที่สุดในชีวิต เธอชื่อ หวิว เพลงนี้ก็ชื่อ หวิว แต่เขาไม่กล้านำเอาชื่อนี้ไปใส่ในเนื้อเพลง เพราะรู้สึกสมเพชตัวเองเกินกว่าจะให้คนอื่นหรือแม้กระทั่งตัวเองได้ฟัง
สวรรค์เล่นตลกให้เธอเดินผ่านมาพอดี ผมดำยาวปล่อยสยายแกว่งไปตามจังหวะเดิน ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลกว่าเมื่อก่อน ชุดกระโปรงสีขาวขับเน้นสัดส่วนอวบอัดใต้ร่มผ้า กำไลข้อมือทองและแหวนเพชรเจ็ดกะรัตบนนิ้วนางซ้ายนั้นเป็นเครื่องตอกย้ำความน่าสมเพชของเขา เธอเดินหัวเราะกระซี้กระซิกเคียงคู่ชายวัยกลางคน ผมบนศีรษะเริ่มบางหนังศีรษะสะท้อนแสง ถึงใบหน้าจะเริ่มเหี่ยวย่นแต่ก็ยังคงเค้าโครงของคนหน้าตาดีเอาไว้อย่างชัดเจน สวมเสื้อเชิร์ตแขนยาวสีฉูดฉาดดูมีราคา กระดุมตรงคอแบะออกให้เห็นสร้อยคอทองคำ เขาเหลือบไปมองคู่รักต่างวัยคู่นี้แวบหนึ่งแล้วรีบหลบตาไปทางอื่นแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เขาพร่ำบอกตัวเองว่าเธอไม่ใช่ หวิว คนเดิมที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว ทางคู่รักต่างวัยก็เหลือบมามองเขาวูบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองทางอื่นแสร้งทำเป็นไม่เห็นเช่นกัน เขาพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด แต่เสียงดีดกีต้าร์เพี้ยนมันก็ยิ่งฟ้องให้เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน
เขาร้องเพลงแลกเศษเงินไปวันๆ ตอบสนองความฝันและอุดมการณ์ส่วนตัว แต่ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการพื้นฐานโดยเฉพาะท้องไส้ วันนี้เขาหาเงินได้ไม่ถึงร้อยบาท เขามีความคิดจะมีชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพึ่งครอบครัวอยู่ เขาเดินกลับบ้าน
สวนย่อมในรั้วบ้านเขียวชอุ่มชุ่มชื่น สระน้ำขนาดย่อมใสแลเห็นปลาคาร์ฟหลากสีตัวอ้วนพี ติดกับตัวบ้านสามชั้นที่ทอดตัวยาวราวคฤหาสถ์คือโรงจอดรถ จอดรถยี่ห้อหลายสิบล้านไว้หลายคัน แยกไปอีกส่วนหนึ่งป็นบ้านขนาดย่อมของคนสวน ลุงบุญมี คนสวนประจำบ้านกุลีกุจอออกมาเปิดช่องเล็กๆของประตูรั้วให้เขาเดินเข้าไป เขาเดินผ่านสนามหญ้าที่ขนาบถนนสายเล็กๆที่นำไปสู่หน้าบ้านและลานจอดรถ หน้าทางขึ้นบ้านเป็นวงเวียนให้รถวน ประตูเป็นไม้สองบานขนาดใหญ่ สลักเสลาลวดลายและประดับด้วยอัญมนีสีแดงกับเขียว พื้นหินอ่อนสีดำและเสาที่ตกแต่งตามแบบศิลปะของโรมัน เขาเดินเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกสะอิดสะเอียน ความมั่งคั่งเหล่านี้ได้มาจากการเหยียบย่ำคนจนหลายชีวิตอย่างไม่เห็นหัว ตอนนี้เบื้องหน้าของเขาคือบันไดขนาดใหญ่ที่ทอดตัวไปพักบนชั้นลอยก่อนจะทอดต่อไปถึงระเบียงชั้นสอง เขาเดินผ่านบันไดไปทางขวามือ ผ่านประตูห้องครัวที่เหล่าคนใช้รับประทานอาหารพลางส่งเสียงคุยกัน เข้าประตูไปสู่ห้องรับประทานอาหารที่ถูกจัดแต่งอย่างประณีตและมีรสนิยม ที่โต๊ะใต้โคมระย้าผลึกคล้ายคริสตอลนั้น หวิวและสามีของหล่อนนั่งรออยู่ ทั้งคู่นั่งตรงข้ามกัน เขามองดูภาพเบื้องหน้า ถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ
“กลับมาแล้วหรือ”ชายวัยกลางคนเอ่ยถามโดยไม่มองหน้า เขาไม่ตอบ ชายวัยกลางคนพูดต่อ “มา งั้นเรามาทานกันเลยดีกว่า กับข้าวเย็นหมดแล้ว”
“อันที่จริงไม่จำเป็นต้องรอผมก็ได้ ผมกินข้าวเหลือของคนใช้ได้”เขาตอบพลางมองไปยังหวิว หล่อนลงมือรับประทาน ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการกลัวแต่อย่างใด
“พ่ออยากรู้จริงๆว่าเมื่อไหร่แก่จะเลิกทำตัวบ้าๆแบบนี้ซะที”
“ผมไม่ได้บ้าครับ ผมมีอุดมการณ์ของผม”เขาตอบ
“แกเพี้ยนเหมือนแม่แกไม่มีผิด”ชายวัยกลางคนพูดพลางส่ายหน้า
เขายังจ้องมองหวิวราวกับจะพูดกับหล่อน “เพราะพ่อเป็นแบบนี้ แม่ถึงทนไม่ได้ไงล่ะ”
“ฉันมากกว่าที่เป็นฝ่ายต้องทน และตอนนี้ฉันก็ชักจะทนกับความบ้าของแกไม่ไหวแล้วนะ ฉันต้องอับอายขายขี้หน้าเขาที่มีลูกชายสติกลับ”
“พ่อฆ่าแม่”เขาตอบกลับด้วยประโยคสั้นๆ
“เหลวไหล!”
“คุณคะ ใจเย็นๆค่ะ”หวิวพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“เพราะพ่อ แม่ถึงฆ่าตัวตาย ตอนนี้พ่อได้เมียใหม่ สาวสวยกว่าแม่ พ่อคงสมใจอยากแล้วสินะ”
“แก!”ชายวัยกลางคนผุดลุกขึ้น เงื้อมมือจะตบหน้า
“พอแค่นี้เถอะทั้งสองคน”หล่อนลุกขึ้นห้าม
ชายวัยกลางคนมองมาที่ภรรยาสาวอย่างเกรงใจ ระงับโทสะจนตัวสั่น ก่อนจะทิ้งมือเดินสะบัดออกจากห้อง หวิวทำท่าจะเดินตามไป แต่เขาลุกขึ้นฉวยข้อมือเธอไว้
“หวิว”เขาเรียกชื่อเธออย่างเลื่อนลอย สัมผัสนุ่มๆของมือข้างนี้ทำให้เขาหวนระลึกถึงมือข้างที่เขากุม ในยามที่กระซิบพลอดรักกับหล่อน เขามองเข้าไปในดวงตาเธอ เหมือนพยายามจะหา หวิวคนเก่า ให้เจอ
“ปล่อยนะลูก”เธอสลัดข้อมือออกจากการกุม ทำเอาหัวใจเขาหล่นไปกองตรงตาตุ่ม เธอสบตาเขาอีกครั้งอย่างหวาดหวั่น แต่พอเห็นความสั่นระริกของเขา แววตาของหล่อนก็แข็งกร้าวขึ้น
“ลูก”เขาทวนคำๆนี้อย่างปวดร้าว “ให้ผมตายยังจะดีกว่าให้คุณมาเป็นแม่ผม”
“ฉันไม่อยากให้เธอตาย เพราะตอนนี้เธอก็ถือเป็นลูกชายฉันเหมือนกัน ทำใจยอมรับความจริงซะเถอะนะ”
เธอเดินออกจากห้องไปอย่างไม่มีเยื่อใย เขามองตามหลังเธอออกไป ถึงจะรู้สึกเกลียดมันมากเพียงใดแต่ตอนนี้เขาได้แต่ยอมรับว่าพ่ายแพ้ให้กับอำนาจของมันอย่างสมบูรณ์แบบ

ปล. เอื้อเฟื้อรูปภาพจาก http://www.aeawthatsong.com/node/88 ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความฝันของฉัน...ไอศกรีมป่าตัน


ความฝันของฉัน…ไอศกรีมป่าตัน

กิ๊ง กิ๊ง กิ๊ง
กว่าสัปดาห์แล้วสินะที่ฉันไม่ได้ทานไอศกรีมป่าตัน ฉันก็ไม่ได้ชอบไอศกรีมเป็นชีวิตจิตใจนักหรอก แต่เมื่อกี้ ตอนที่ฉันอยู่ในภวังค์บนเตียงนอน ฉันเห็นตัวฉันชูไอศกรีมแล้วสัญญากับตัวเองว่า จะกินไอศกรีมป่าตันให้ได้ ฉันเผอเปลือกตาขึ้นในห้องนอนแสงสลัว ฟูกนุ่มสบายดีแท้ เสียงกระดิ่งรถไอติมดังถี่ๆเน้นๆ สมองสั่งการว่า “ฉันต้องกินไอศกรีมป่าตัน” แต่ร่างกายมันขี้เกียจขยับ เสียงกระดิ่งแผ่วเบาลงเพราะรถไอติมเคลื่อนที่ห่างออกไป ห่างออกไป ออกไป ฉันพลันตัดสินใจได้ว่าฉันจะต้องกินไอศกรีมป่าตันให้ได้ ฉันลุกพรวดขึ้นจากที่นอน ควานหาและหยิบเงินจำนวนหนึ่งจากกระเป๋าสตางค์แล้ววิ่งพรวดออกจากบ้านไป
ฉันยืนอยู่หน้าบ้าน ริมถนนในซอย รถไอติมเลี้ยวหายลับตาตรงปากซอยข้างหน้า ห่างไปหลายร้อยเมตรอยู่ ฉันตัดสินใจวิ่งตามไป เสียงรองเท้าแตะดังเตาะแตะ นกกระจอกตัวผู้ตัวหนึ่งบินถลาบินลงมาเคียงข้างฉัน
“นี่เธอกำลังจะวิ่งไปไหนเหรอ”
“ฉันจะกินไอศกรีมป่าตัน”
“ไม่อร่อยหรอกไอศกรีม เชื่อฉันเถอะ แวะซื้อขนมปังนมข้นข้างหน้านี่ดีกว่า”
รสชาตินมข้นหวานมันลิ้นพลันหวนระลึกขึ้นมา ฉันแวะซื้อและลิ้มรสชาติมันทันที กระเพาะหมดเนื้อที่ไปกว่าครึ่ง เงินก็หายไปกว่าครึ่ง
“เป็นไง อร่อยไหม”
“อร่อย แต่ยังไม่แล้วใจ ฉันยังไม่ได้กินไอศกรีมป่าตัน”
ฉันวิ่งต่อ นกกระจอกบินจากไป ฉันเลี้ยวพ้นหัวมุมปากซอยมาแล้ว หนทางข้างหน้ามีหนทางเข้าซอยต่างๆเรียงรายเต็มไปหมด รถไอติมหายแต่ยังแว่วเสียงกระดิ่ง ฉันวิ่งไปตามเสียงกระดิ่งนั้น นกกระจอกกลับมาหาฉันพร้อมลูกเมียของมัน
“จะวิ่งไปซื้อไอศกรีมเหรอจ๊ะ”แม่นกกระจอกถาม
“เด็กสมัยนี้เขาไม่กินไอศกรีมรถเข็นกันแล้ว”พ่อนกกระจอกบอก
“ช่าย เดี๋ยวนี้เขาเล่นเกมออนไลน์กันแล้ว ร้านเกมอยู่ข้างหน้าทางซ้ายมือนี่เอง”ลูกนกกระจอกร้องสนับสนุน
ฉันแวะเข้าร้านเกม ป้ายโปสเตอร์โฆษณาเกมออกใหม่น่าเล่นแปะตามกระจก แอร์เย็นฉ่ำดับความร้อนจากไอแดดยามเที่ยง ลูกค้าแต่ละคนก็ดูมุ่งมั่นอย่างมีจุดหมายอยู่หน้าจอ ยิ่งทำให้ฉันอยากเล่นด้วยเข้าไปใหญ่ ฉันเกือบจะควักเงินให้เจ้าของร้านอยู่แล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจเดินออกมา
“อ้าว ไม่เล่นเกมเหรอจ๊ะ”
“ไม่ ฉันจะเก็บเงินไว้ไปซื้อไอศกรีมป่าตัน ฉันจะกินไอศกรีมป่าตัน”
“เธอนี่น้า”พ่อนกส่ายหัว
เสียงกระดิ่งหายไปแล้ว ตอนแรกกะจะหันหลังเดินกลับบ้าน เผอิญเหลือบไปเห็นหอยทากตัวหนึ่งกำลังคืบคลานอย่างร้อนรุ่ม ฉันจึงตรงเข้าไปถาม
“สวัสดีหอยทาก เห็นรถไอติมผ่านมาทางนี้บ้างไหม”
“เอ ขอฉันนึกก่อนนะ… อ้อ เลยไปอีกสามซอยแล้วเลี้ยวเข้าทางขวามือ”
ฉันวิ่งไปตามที่หอยทากบอก วิ่งต่อไปอีกระยะหนึ่งกึงสี่แยกเล็กๆ ฉันไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งรถไอติมเลย ได้ยินแต่เสียงจ้อกแจ้กจอแจของกลุ่มนกพิราบที่จับกลุ่มคุยกันเรียงรายบนสายไฟ ฉันมองทางซ้ายที ทางหน้าที ทางขวาที เหงื่อสี่หาสายไหลผ่านต้นคอ ร้อนจริงๆ ฉันเริ่มหันไปมองข้างหลังบ้างแล้ว
“อ้าว เธอจ๋า มายืนทำอะไรกลางสี่แยกนี่ล่ะจ๊ะ อากาศก็ออกจะร้อน”นกพิราบตัวหนึ่งถาม ทำให้ตัวอื่นๆหยุดคุยกันแล้วหันมามองฉัน
“ฉันกำลังตามหารถไอติมอยู่ ไม่รู้ว่าไปทางไหน เธอช่วยบอกหน่อยได้ไหม”ฉันถาม
“จะหาไปทำไม ทางมีให้เลือกตั้งสามทาง ถ้าไปผิดทางก็จะเสียเที่ยวเปล่าๆ”
“เมื่อกี้พวกเราคุยกันอยู่ ไม่ทันสังเกตว่ารถไอติมไปทางไหน เผลอๆอาจจะไม่ผ่านมาทางนี้เสียด้วยซ้ำ”
“ฉันว่า รถไอติมน่าจะไปทางซ้ายนะ
“แต่ฉันว่ารถไอติมไปทางขวาล่ะ”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า”นกพิราบตัวหนึ่งสรุป “เธออย่าไปเสียเวลาตามหารถไอติมอีกเลย ดูเหงื่อบนหน้าเธอสิโชกเชียว ขืนตามหาต่อไปแล้วหาไม่เจอจะลำบากเปล่าๆ”
“แต่ ฉันอยากกินไอศกรีมป่าตัน”ฉันพูดอ้อมแอ้ม
“ไอศกรีมกินไปก็เท่านั้นแหละ เข้าไปตากแอร์เย็นๆในร้านเกมสักชั่วโมงดีกว่า มีความสุขกว่ากันตั้งเยอะ”
ฉันเริ่มเห็นคล้อยตามคำแนะนำของนกพิราบ แดดยิ่งเผา เหงื่อก็ยิ่งเหนียวตัว ฉันตัดสินใจก้มหน้าแล้วหันหลังเดินกลับ ขณะนั้นเองฉันก็สวนทางกับเต่าตัวหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินต้วมเตี้ยมไม่หยุด
“สวัสดีเต่า ไปไงมาไงเนี่ย”ฉันทัก
“มีคนซื้อฉันจากแม่ค้ามาปล่อย ฉันกำลังหาทางกลับบ้านไปหาครอบครัวอยู่”
“แล้วบ้านเธออยู่ทางไหน”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันตั้งใจจะเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ”
ฉันหยุดเดินแล้วเหลียวหลังมองดูเต่าเดินต้วมเตี้ยมต่อไป
“เดินต้วมเตี้ยมแบบนี้ชาติหน้าคงถึงนะ ฮ่าฮ่า”นกพิราบดูถูก
“ฉันใช้เวลาบินเพียงแค่ลัดมือเดียวก็ไปไกลกว่าที่เธอเดินทั้งวันแล้ว”
“เลิกเถอะ กลับไปนอนแช่น้ำในท่อระบายน้ำดีกว่า สบายกว่าตั้งเยอะ”
เต่ายังเดินต่อไปเหมือนไม่ได้ยินคำพูดและเสียงหัวเราะทั้งมวลของพวกนกพิราบ ฉันเปลี่ยนใจกลับหลังหันแล้วเดินต่อไปข้างหน้า ฉันเดินเข้าไปอุ้มเต่าขึ้นแล้วรีบวิ่งให้พ้นจากเสียงนกพิราบ
“ฉันจะพาเธอไปส่ง จะได้เร็วขึ้น”ฉันบอก
“ได้โปรดวางฉันลงเถอะ”เต่าวิงวอน “โปรดเคารพความตั้งใจของฉัน และความตั้งใจของตัวเธอเองด้วย”
ฉันคิดตามที่เต่าพูดแล้วจึงวางเต่าลง เอ่ยคำบอกลาสองสามคำแล้วฉันก็วิ่งต่อไป หวังว่าเจ้าเต่าจะสมหวังดั่งที่ตั้งใจไว้นะ ฉันวิ่งต่อไปข้างหน้า นี่คือทางที่ฉันเลือกแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มั่นใจว่าจะไปเจอรถไอติมหรือไม่
และแล้วฉันก็ได้ยินเสียงกระดิ่งรถไอติมแว่วๆ ฉันหยุดวิ่งแล้วเงี่ยหูฟัง เมื่อจำแนกทิศทางได้แล้วก็วิ่งไปตามที่มาของเสียง วิ่งเข้าออกซอยไปมาอยู่หลายตลบ สุดท้ายรถไอติมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉัน ห่างออกไปราวหนึ่งร้อยเมตร รถขายไอติมหยุดขายให้กับเด็กสองคน ฉันจ้ำอ้าวเตาะแตะไปที่รถไอติม พอไปถึงก็พักหอบครู่หนึ่ง ก่อนที่จะโพสต์ท่าแห่งชัยชนะออกมา ฉันจะได้กินไอศกรีมป่าตันแล้ว ดีใจที่สุดในโลกในตอนนี้เลย
“จะเอาอะไรดี”ลุงขายไอติมถามฉัน พร้อมกับรอยยิ้ม
“เอ่อ …เอา อ้าว! นี่มันไม่ใช่ไอศกรีมป่าตันนี่”
“ก็มันไม่ใช่น่ะสิ”ลุงขายไอติมหัวเราะ “นี่มันไอศกรีมป่าละเมาะ อร่อยไม่แพ้ป่าตันเลยล่ะ”
“ไม่ใช่ไอศกรีมป่าตันจริงๆหรือลุง”ความหวังของฉันเริ่มริบหรี่
“ไอศกรีมป่าละเมาะนี่แหละ อร่อยไม่แพ้กัน”
ฉันสับสนและทบทวนความฝันของฉัน ฉันชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ฉันตั้งใจไว้คืออะไรกันแน่ ระหว่างกินไอศกรีมป่าตันกับการวิ่งตามรถไอติมคันนี้จนทันและซื้อไอศกรีมจากรถไอติมคันนี้
“จะเอาอยู่ไหม”
ฉันตัดสินใจแล้ว “ขอใส่ขนมปังอันหนึ่งแล้วกันลุง” แล้วฉันก็ทุ่มทุนเกลี้ยงกระเป๋า แลกกับรสชาติหวานมันหอมขึ้นจมูก รถไอติมค่อยๆเยื้องย่างจากไป ฉันก็เดินทางกลับบ้านของฉัน ฉันตอบตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้แล้วใจแล้วหรือไม่ แต่ได้แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว มันถือเป็นความสำเร็จในระดับหนึ่ง จะโทษตัวเองเพียงเพราะรถไอติมคันนั้นไม่ใช่ไอศกรีมป่าตันก็คงไม่ถูกนัก มันเป็นสิ่งที่นอกเหนือการควบคุม ฉันพยายามจนถึงที่สุดแล้ว คู่ควรกับรางวัลชิ้นเล็กๆชิ้นนี้
ขณะนั้นนกกระจอกสามพ่อแม่ลูกตัวเดิมก็บินผ่านมาทางฉันพอดี
“ได้กินไอศกรีมสมใจอยากแล้วสินะ”พ่อนกทักอย่างชื่นชม
“ถึงฉันจะได้กินไอศกรีม แต่ก็ไม่ใช่ไอศกรีมป่าตันอย่างที่ฉันฝันไว้”
“อย่าไปคิดหยุมหยิมนักเลย มันก็ไอศกรีมเหมือนกัน เธอคือผู้ประสบความสำเร็จแล้ว”
“งั้นเหรอ ขอบคุณนะที่แนะนำ” ฉันกล่าวลา นกกระจอกสามพ่อแม่ลูกก็บินจากไป ฉันเดินทอดน่องสบายๆตามทางที่นำฉันกลับบ้าน
กิ๊ง กิ๊ง กิ๊ง
ขณะนั้นฉันได้ยินเสียงกระดิ่งของรถไอติมอีกคัน ฉันไม่สนใจอีกแล้ว เพราะตอนนี้ฉันมีไอศกรีมป่าละเมาะอยู่ในมือ ละลายให้รสชาติหวานมันอยู่ในปากอีกด้วย ฉันเดินสวนกับรถไอติมคันนั้น
“ไอศกรีมป่าตันจ้า ไอศกรีมป่าตันอร่อยๆ ช้าหมดอดจ้า”
ฉันหูผึ่งรีบหันไปมองตามรถไอติมคันนั้น มือล้วงควานหาเงินในกระเป๋าแต่หาไม่เจอแม้แต่บาทเดียว ใจหนึ่งบอกฉันว่าพอแค่นี้เถอะ ได้กินไอศกรีมสมใจอยากแล้ว อีกใจหนึ่งก็คอยเตือนว่า สิ่งที่เคยฝันไว้กับลังหลุดลอยห่างออกไปอย่างช้าๆ หลังจากการตัดสินใจเลือกอย่างยากเย็น สุดท้ายฉันก็วิ่งตามไปถึงรถไอติมคันนั้น
“ลุงรอนี่เดี๋ยวนะ”
ฉันโยนไอศกรีมป่าละเมาะทิ้งแล้ววิ่งกลับบ้านอีกครั้ง เพื่อไปเอาเงินมาซื้อไอศกรีมป่าตัน

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ท้องฟ้าสีเทา




ในยามที่อารมณ์และความคิดไม่มั่นคง ผมมักจะแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ท้องฟ้าผืนเดียวกัน ควาเข้มแสงไม่ต่างกัน แต่สีท้องฟ้าที่แต่ละคนเห็นไม่เหมือนกัน
ในวันเดียวกัน อาจเป็นได้ทั้งวันที่แสงแดดเจิดจ้าหรือฝนฟ้าคะนองสำหรับใครบางคน
สำหรับผมแล้ววันที่ฟ้าอึมครึม เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ดีนัก
เป็นเงื่อนไขคล้ายกับกรณีแบรนด์เนมสินค้า หรือดาราการันตีคุณภาพหนัง
ท้องฟ้าสีเทามักจะตามมาด้วย ดวงที่ไม่ดี และความท้อแท้
แต่สำหรับผมแล้ว ท้องฟ้าสีเทาช่างเป็นสีที่สวยงาม
เหมือนโศกนาฏกรรมรักที่ทำให้หลั่งน้ำตา และตราตรึงใจ
ผมหลงรักท้องฟ้าสีเทา เพราะหลงไหลในความงามของมัน
ความงามนั้น ทั้งที่เราเทิดทูนบูชา แต่ก็มักจะทำร้ายเราอยู่เรื่อยไป
ความงามของฟ้าสีเทา ทำให้ผมสะเทือนใจ คล้ายหัวใจถูกโอบกอดด้วยสายลมฝน
นี่คงเป็นเหตุผลที่ผมเต็มใจมีชีวิตอยู่ ในวันท้องฟ้าสีเทา

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Animal



เรื่อง The Animal
“เราจะมาติดตามชีวิตกระทิงป่าแห่งทุ่งหญ้าสะวันนากันนะครับ”จอห์นพูด เขาหมอบอยู่ในกอหญ้าสีทองกับตากล้องหนึ่งคน ลูกทีมกล้ามใหญ่ชาวแอฟริกาอีกสองคนชื่อ ซูเต กับ ดิจิมอนจิ
“พวกมันอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ มีจ่าฝูงเป็นเพศผู้ที่แข็งแรงที่สุดหนึ่งตัว ลูกฝูงส่วนใหญ่เป็นเพศเมีย… โอ้ว! ดูนั่น จ้าวป่าสองตัววิ่งมาแล้ว” จอห์นร้อง ตากล้องจับภาพไปที่สิงโตสองตัววิ่ง ฝูงกระทิงแตกตื่นวิ่งหนี กระทิงหนุ่มสาวนำไปไกล ทิ้งกระทิงแก่ตัวหนึ่งไว้ให้สองสิงโตขย้ำ
“ถึงจะน่าเวทนา แต่เราก็ไม่สามารถทำอะไรกับกฎธรรมชาติข้อนี้ได้”จอห์นพากย์ “นั่น!! ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ หน่วยกระทิงกู้ภัยย้อนกลับมาแล้ว”
กระทิงหนุ่มห้าตัววิ่งกลับมา ขวิดสิงโตตัวที่ยืนคร่อมกระทิงแก่กระเด็น กระทิงหนุ่มสามตัวยืนประจันหน้า สองสิงโตลังเล อีกสามตัวพยุงร่างกระทิงแก่ เมื่อกระทิงแก่ดูท่าไปไม่รอด ห้ากระทิงหนุ่มก็ทิ้งกระทิงแก่ วิ่งหนีไป
“เป็นการตัดสินใจที่ถูก”จอห์นพูด
สองสิงโตทำจมูกฟุดฟิด หันหน้ามาทางกล้อง วิ่งมา
“มันได้กลิ่นอะไรบางอย่าง”
สองสิงโตวิ่งเข้ามาใกล้ ปากกระเพื่อม เขี้ยวเผยอ น้ำลายปลิวเล่นลมเป็นเส้น
“ชิบหายแล้ว!” จอห์นร้อง ตากล้องทิ้งกล้องพร้อมใจเผ่นแน่บพร้อมคณะ ดิจิมอนจิถูกขย้ำเป็นคนแรก ซูเตวิ่งหนีหายลับตา จอห์นปีนต้นไม้ต้นเล็กแต่สูงตนหนึ่งอย่างว่องไว ตากล้องพยายามปีนตามขึ้นมา แต่ถูกสิงโตงับได้
“จอห์นช่วยผมด้วย! จอห์น!! จอห์น!!!”ตากล้องแผดร้องโหยหวน ร่างถูกสิงโตขย้ำฉีกกิน จอห์นหลับตาปี๋ ซบหน้ากับต้นไม้ร้องไห้ สักพักหนึ่งสองสิงโตอิ่มกับสองคนกับกระทิงหนึ่งตัวก็จากไป สองสิงโตจากไปนานแล้วจอห์นค่อยลงมา จอห์นรี่ตรงไปที่กล้อง กอดกล้องไว้กับอก
“ผมไม่อยากเชื่อว่าผมจะรอดจากเหตุการณ์เลวร้ายนี้มาได้ ประสบการณ์ครั้งนี้ตีค่าไม่ได้จริงๆ”

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

โอ้ ความเบื่อ




ผมมีความเห็นว่า “ความเบื่อ” เป็นแรงผลักดันให้เกิดการทำกิจกรรมมากมาย เป็นแรงผลักดันในเชิงลบ ผู้คนส่วนใหญ่ดิ้นรนเพื่อจะหลุดพ้นจากอิทธิพลของมัน
ขอระบายหน่อยครับ วันนี้เรียนภาษาอังกฤษที่ AUA อาจารย์บ่าก้วยก๋า(แปลว่าฝรั่ง) เขาให้จับคู่กับผู้หญิงในชั้น จำลองสถานการณ์ว่าอยู่ในผับโดยการเปิดเพลงดังๆ แล้วให้เราพยายามพูดทำความรู้จักกับฝ่ายตรงข้าม
ประโยคหนึ่งจากคู่ของผมที่โดนใจผมมากก็คือ do you think it’s boring อื้อหือ.. จี๊ดโดนใจจนหน้าชา สมองมึนตึ้บไปชั่วขณะทีเดียวเชียวครับ ผู้อ่านที่เป็นวัยรุ่นชายราวๆมัธยมปลายน่าจะเข้าใจความรู้สึกของผมดีครับ เรื่องแบบนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีตามธรรมชาติของวัยรุ่นชายเลยนะครับ
โดยส่วนใหญ่ที่ผมสังเกตเห็นและตัวผมเอง วัยรุ่นให้ความสำคัญของหน้าตาตนเองในสังคมค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่จะเป็นสังคมประเภทเพื่อน ยกตัวอย่างเช่น การตามแฟชั่น การใช้คำหยาบเป็นหางเสียง(เห้! เยะเข้!) วัยรุ่นก็ต้องการเกียรติในหมู่วัยรุ่นด้วยกัน คงไม่มีใครชอบหากถูกตราหน้าว่าเป็นคน น่าเบื่อ
ผมก็รู้ตัวว่าผมบ่อมีไก๊เรื่องพวกนี้ ผมก็พยายามเต็มทีแล้วมันก็ได้แค่นี้แหละครับ แต่ผมคิดว่าตัวเองพอจะมีไก๊เรื่องบ่นเป็นตัวอักษร เลยเลือกที่จะมาระบายความรู้สึกในบล็อกสะเลย
ผมพยายามคิดให้มีสาระด้วยนะครับ ผมคิดว่า “ความเบื่อ” ก็เป็นรูปแบบของความทุกข์อย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากความเจ็บปวด ขออนุญาตเรียกว่า ความเบื่อ ก็เป็นวิภาวะตัณหา(สิ่งที่ไม่ให้อยากเกิด ธรรมมะธรรมโมนิดหน่อยอย่าเพิ่งหลับนะครับพี่น้อง!!)เช่นเดียวกับความเจ็บปวด
แต่สังคมเราให้ความสำคัญของความทุกข์สองอย่างนี้ไม่เท่ากันครับ ความเจ็บปวด ยิ่งผู้ใดแบกรับมากก็ดูเหมือนยิ่งได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ อย่างเช่น พระเยซูไถ่บาปให้มนุษย์ ส่วน ความเบื่อนี่ ยิ่งใครแบกรับมันมากก็ยิ่งได้รับการดูถูกนะครับผมว่า และดูเหมือนทุกคนที่แบกรับก็ไม่มีใครตั้งใจจะแบกรับมันสักคน
พระอาจารย์เคยบอกไว้ว่า อยากจะพ้นทุกข์ก็ต้องเรียนรู้จากความทุกข์ ความเบื่อก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เช่นกัน
ผมคิดว่าคนสมัยใหม่ที่ทำอะไรห่ามๆและดูถูกคนน่าเบื่อ ผมว่าลึกๆเขาก็กำลังกลัว “ความเบื่อ” และต้องทำอะไรสักอย่างเพื่ออยู่ห่างจากมันมากที่สุด
แต่หนีต่อไป จนแล้วจนรอดมันก็คงตามทันในที่สุด มีใครบางคนที่มีความรู้เคยบอกไว้ว่า จงเผชิญหน้ากับความทุกข์ด้วยการเรียนรู้มัน
เช่นนั้นแทนที่เราจะเอาแต่ดิ้นรนหนีความเบื่อ พวกเรามาหัดเรียนรู้มันบ้างดีกว่าครับ และโปรดให้โอกาสคนน่าเบื่อด้วย(ขอร้องล่ะครับ โฮๆๆ)
ผมก็ดีแต่พูดแสดงความคิดเห็นไปอย่างนั้นแหละครับ ตัวเองยังไม่ค่อยจะรอดเลย ใครมีความคิดเห็นอะไร ก็ลองแสดงกันได้นะครับ ดีไม่ดีว่ากันอีกทีครับ
ปล.บทความนี้เขียนคู่กับเรื่องสั้น “เดี๋ยวก็ชิน”ครับ มือผมยังไม่ถึง กลัวว่าผู้อ่านอ่านแล้วจะไม่เข้าใจว่าเรื่องสั้นต้องการสื่อถึงอะไร(หลักๆ) ขอบคุณที่อ่านนะครับ

เดี๋ยวก็ชิน

เดี๋ยวก็ชิน
ฉันโล่งใจเมื่อรวบรวมความกล้าประกาศตัวเองให้เป็นอิสระจากความแห้งเหี่ยว ณ ร้านอาหารตามสั่งร้านเดิม ที่นั่งประจำที่เดียวกันกับเมื่อสามเดือนก่อน ฉันคิดว่าเป็นการกระทำที่สมควรแล้ว ทุกคนมีอิสระเป็นของตัวเอง ฉันเลือกที่จะไม่จมปลักกับชายที่กำลังซบหน้าลงกับฝ่ามือร้องไห้คนนี้ ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาการใช้ชีวิตร่วมกับเขาช่างซังกระตาย กิจวัตรประจำวันซ้ำๆซาก กลางวันไปทำงาน กลับมาก็หมกตัวอยู่แต่ในอพาร์ตเม้นท์ ฉันเบื่อที่จะเห็นเสื้อเชิร์ตขาวกางเกงสแล็คที่เขาใส่ได้ทุกวี่ทุกวัน เบื่อร้านอาหารร้านนี้ที่พามาทุกครั้งเมื่อต้องการเอาใจฉัน
“คุณว่าดีแล้วเหรอที่เราจะแยกทางกันอย่างนี้”
“ฉันมีทางเดินของฉัน”
“ขอโอกาสผมปรับปรุงตัวหน่อยได้มั้ย”
“คุณดีเกินไปสำหรับฉัน”
“ถ้าคุณต้องการเช่นนั้นก็แล้วแต่คุณ ผมไม่มีสิทธิไปห้าม แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ผมก็ยินดีต้อนรับคุณกลับมาเสมอ”เขากางแขนออกทำท่าเหมือนจะโอบกอด
“คุณดีเกินไปจริงๆ”
ฉันชักขยาดผู้ชายประเภทมนุษย์เงินเดือนเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ฉันตัดสินใจคบเขา ก็เพราะเห็นว่าฐานะมั่นคงและเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ ในตอนแรกฉันอาจจะรักเขาจริงๆก็ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคงเส้นคงวาจนเกินเหตุ และวิถีชีวิตที่เป็นรูปแบบของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกจองจำไปด้วย มันทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนๆของฉัน สมัยที่คบกันเราสนุกสุดเหวี่ยง ซ้อนมอเตอร์ไซต์ตระเวนราตรี ปลดปล่อยอารมณ์ตามสถานเริงรมย์ เราในฐานะผู้ใช้ชีวิตมีหน้าที่แสวงหาความสุข แล้วจะไปทนกับความเบื่อที่ไร้สาระเหล่านั้นทำไม
ฉันได้มาสนุกกับเพื่อนๆอีกครั้ง ฉลองวันปลดปล่อยพันธะทางหัวใจให้กับตัวเอง ทั้งๆที่จากกันตั้งนานน่าจะมีเรื่องอยากเมาท์กันให้แซ่ด แต่ทำไมฉันถึงคุยกับเพื่อนไม่ค่อยติดก็ไม่รู้ แสงสีวูบวาบท่ามกลางความมืดและความเบียดเสียด ชายหนุ่มรูปลักษณ์โดดเด่นคนหนึ่งเดินฝ่าฝูงชนมาจากโต๊ะอีกฟากหนึ่ง เรือนร่างของเขากระตุ้นความเร่าร้อนของฉันทันทีที่เห็น อีกทั้งใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนเสือขี้เล่นนั้นอีกเล่า
“เต้นกับผมไหมครับ”
ฉันเล่นตัวเล็กน้อยก่อนจะตกลงให้เขาจูงมือเดินไปที่ฟลอร์ ฉันสวมเดรสสีแดงรัดรูปมาวันนี้ก็เพราะกะจะแผลงฤทธิ์อยู่แล้ว ทว่าสามเดือนที่ฉันจมปลักกับความแห้งเหี่ยว เหมือนกับว่าฉันถูกสูบความสุนทรีย์ออกไปจากหัวใจจนเกือบหมด เขาเต้นกับฉันสักครู่หนึ่งก็ยิ้มแห้งๆ กล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปหาเหยื่อรายใหม่ ฉันรู้สึกหน้าชาแต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดีปลอบใจตัวเอง กลับไปนั่งโต๊ะกับเพื่อนๆ เพื่อนๆไม่ได้พูดถึงฉัน และทำเป็นไม่ได้สนใจฉัน วิจารณ์ผู้ชายคนนู้นทีคนนี้ทีแล้วก็หัวเราะกระซี้กระซิก ฉันก็พยายามกู้ความมั่นใจของตัวเองกลับมาด้วยการยิ้มและหัวเราะฝืนๆผสมโรงกับเพื่อน เมื่อก่อนฉันเปรียบเสมือนดาวเด่นของกลุ่ม แต่วันนี้กลับมากลายเป็นตัวประกอบไปเสียได้ ฉันพยายามยิ้มกับตัวเองและไม่คิดมากกับมัน แต่มันก็เป็นแค่การหลอกตัวเองทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ
ก่อนจะกลับฉันเห็นหนุ่มคนที่เต้นกับฉัน โอบเอวเพื่อนของฉันคนหนึ่งพากันเดินออกจากผับ เพื่อนฉันคนอื่นๆก็หัวเราะต่อกระซิกซุบซิบกันว่า พาไปต่อที่อื่นแหงๆ ไม่มีใครสนใจฉัน ฉันล่ำลากับเพื่อนอยากลวกๆตามประสาคนรู้จักก่อนจะกลับออกมา ฉันว่าอากาศหนาวเกินกว่าจะโชว์ไหล่เปลือยเปล่า หรือต้นขาขาวๆ ตอนนี้ฉันไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาทักหรือทำความรู้จักเพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายพอใจได้หรือไม่ ฉันเข้าห้องน้ำและเปลี่ยนจากเดรสสีแดงเป็นชุดลำลองธรรมดา
ฉันกลับไปยังอพาร์ตเม้นท์ ที่ๆฉันจมปลักกับความแห้งเหี่ยวอยู่กว่าสามเดือน ประตูยังเปิดอ้าค้างไว้ และเขาก็ยืนรออยู่ เขาส่งยิ้มให้ กางแขนออกทำท่าเหมือนจะโอบกอด เหมือนประตูขุมนรกที่นำไปสู่ความเบื่อหน่ายซังกะตาย ฉันเข้าประตูไปซุกกายอยู่กับอ้อมอกมัจจุราช ประตูนรกปิดเข้าหากันกระชับแผ่นหลังของฉันไว้
“ไม่ว่าจะกี่ครั้งๆ ผมก็มั่นใจว่าคุณจะกลับมาหาผมเสมอ”
เพระเหตุนี้ล่ะมั้งเขาถึงเปิดประตูไว้และยืนรออยู่ ฉันพริ้มตาสัมผัสมือกับแผ่นหลังของเขา นรกขุมนี้ยังถือว่าอบอุ่นเมื่อเทียบกับขุมอื่นๆข้างนอกนั่น …..อยู่ๆไปเดี๋ยวก็ชินเอง

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

เด่นด้วยดี มีบ้างไหม

คุณเคยอยากเป็นที่สนใจของคนอื่น หรืออยากให้ใครคนหนึ่งสนใจไหมครับ
ใครคนหนึ่งในที่นี้หมายถึงใครคนที่เราประทับใจ อาจจะเป็นผู้หญิงที่เราแอบชอบ หรืออาจจะเป็นคนอื่นที่เราอยากให้เขาเห็นความสำคัญของเรา
ใครคนหนึ่งที่ว่านี้คงจะมีอะไรบางอย่างโดนใจเราเป็นพิเศษ เช่น ท่าทีสบายๆ หน้าตาดี มีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษ หรือบางครั้งอาจจะถูกชะตาอย่างหาเหตุผลไม่เจอ
เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนี้ สำหรับผมแล้ว ความรู้สึกที่ตามมาก็คืออยากโชว์ความเก่งที่ตัวเองมีออกไปให้เขาเห็น
ยกตัวอย่างเช่น รุ่นน้องคนหนึ่งกำลังเล่นบาส พอรุ่นพี่ที่เป็นฮีโร่ในดวงใจผ่านมาดู ก็เกิดความรู้สึกอยากแย่งลูกจากเพื่อนมาโชว์ท่าเลย์อัพสวยๆ
ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ เพราะผมเป็นออกบ่อย เท่าที่ผมสังเกตจากตัวผมเอง ผมแบ่งความรู้สึกแบบนี้ได้เป็น 2 แบบ
1.ต้องทำอะไร เจ๋งๆเด่นๆ ให้เธอหรือเขาร้องว้าวในใจ
2.อย่าทำพลาด อย่าทำงึกๆงักๆต่อหน้าเธอหรือเขาเชียวนะ
สำหรับข้อ 2 นั้นผมเป็นบ่อยมากครับ ยิ่งตอกย้ำเท่าไหร่ก็ยิ่งพลาด ยิ่งเกร็งจนแสดงความทุเรศออกไป ผมเป็นบ่อยจนเริ่มเข้าใจกลไกของมัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทำอะไรกับความรู้สึกนี้ไม่ได้ ทุกข์ใจมาจนถึงทุกวันนี้
มาที่ข้อ 1 ซึ่งผมจะขอเน้นที่ข้อนี้นะครับ ขออนุญาตยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริงของผมแล้วกันครับ ในชั้นเรียนผมไปสนใจเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเข้า(ไม่ถึงขั้นปิ๊งหรอกครับ) ผมก็พยายามแสดง(อวด)ความฉลาดโดยการตอบคำถามครู ทำตัวเองให้ร่าเริงในสายตาคนอื่น สายตาผมก็คอยชายดูเธอว่าเธอสนใจเราบ้างไหม แต่เปล่าเลยครับ ทีแรกที่ผมยังทำตัวปรกติธรรมดา ผมยังแอบเห็นว่าเธอสนใจผมบ้าง(แค่สนใจอ่ะนะครับ) มากกว่าในตอนนี้เสียอีก
อย่าเพิ่งส่ายหน้าแล้วกดปิดหน้าต่างไปเสียล่ะครับ ผมคิดว่าเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้อาจจะยังเกิดขึ้นกับอีกหลายคน แม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
หลังจากที่รู้ว่าเธอไม่ได้สนใจอะไรผม ผมก็มาถามตัวเองว่าเรายังไม่ดีที่ตรงไหน คำตอบที่ได้เป็นการถามตัวเองกลับครับ นั่นคือ… คุณเป็นคนดีแล้วหรือยัง คนดีในความเห็นของผมคือคนที่ทำสิ่งดีๆเป็นส่วนใหญ่
การแสดงความฉลาดให้คนอื่นเห็นเพื่อยกยอตัวเองเป็นสิ่งดีไหม ผมว่าไม่นะครับ การทำตัวร่าเริงเพื่อให้เป็นที่ชื่นชมในสายตาคนอื่น ถือเป็นความดีไหม ผมก็ว่าไม่เช่นกันนะครับ ผมว่าบ่อยครั้งมนุษย์จะมีเซ็นส์ในการแยกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มว่า มาจากความจริงใจหรือไม่ รอยยิ้มที่เผื่อแผ่ความปรารถนาดีกับรอยยิ้มที่มุ่งบำรุงหน้ากากตัวเอง ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนก็คงแยกออกได้ด้วยเซ้นส์เช่นกันครับ (เรื่องแบบนี้ เด็กจะมีsenseที่เร็วมาก)
ผมนึกย้อนดูตัวเองว่าช่วงนี้ได้ทำความดีอะไรบ้าง เท่าที่นึกได้นั้นไม่มีเลย และพอคิดว่าเดี๋ยวจะทำความดีอะไรได้บ้าง ช่วงหนึ่งนาทีนั้นผมคิดไม่ออก ให้ดิ้นตายเถอะครับ! และนาทีต่อมาผมค่อยคิดได้ว่า เก็บขยะ โอ้ว! พระเจ้าช่วยมันกล้วยมาก การคิดเรื่องดีๆผมกลับด้อยกว่าเด็กอนุบาลบางคนเสียอย่างนั้น
ผมคิดว่าการใส่ใจกับบางสิ่งมากเกินไปจะทำให้เผลอละเลยบางสิ่งไปโดยไม่รู้ตัวนะครับ เช่น วัยรุ่นที่ลุ่มหลงในความรักจนลืมเลือนพระคุณของพ่อแม่ การที่คนเรามุ่งมั่นแต่จะทำให้ตนเองเก่งก็อาจจะทำให้ความคิดที่จะทำดี เลือนหายไป
ผมแอบไม่สนับสนุนถ้อยคำที่ว่า ให้ตัวเองเก่งก่อนแล้วค่อยทำความดี ครับ เพราะเมื่อเราเก่งจนถึงขั้นนั้นที่เราคิดว่าพอใจ ความคิดที่อยากจะทำดีก็อาจจะเลือนหาย มองไม่เห็นคุณค่าของการทำดีอีกต่อไป ถ้าจะเริ่มก็ต้องมาเริ่มใหม่อย่างเช่น คิดเก็บขยะ แต่งานเก็บขยะก็เป็นงานที่ดีและทำได้ง่ายนะครับ ผมคิดว่าจิตคิดดีก็ต้องได้รับการปลูกฝังไม่ต่างจากการฝึกฝนถึงจะมีได้ ถ้าไม่หมั่นรดน้ำก็จะเฉาตาย วัชพืชต่างๆก็จะขึ้นมาแทนที่
ผมว่าทางที่ดีควรจะพัฒนาความสามารถควบคู่ไปกับการทำความดี เท่าที่สมรรถภาพของเราจะเอื้ออำนวย(การเบียดเบือนตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องดีนะครับ หุๆ) และเมื่อถึงวันที่เราเก่งสมใจ เมื่อนั้นเราก็พร้อมที่จะนำความเก่งของเราไปทำเรื่องดีๆที่ยิ่งใหญ่ได้ในทันที
นี่เป็นแค่การแสดงความคิดเห็นส่วนตัวครับผม ไม่ได้ตั้งใจยัดเยียดความคิดอะไรใส่หัวผู้อ่านหรอกครับ ใครเห็นอย่างไรก็ลองแสดงความคิดเห็นก็ได้นะครับ ที่ผมเขียนบทความ(เรียกว่าบทความได้ไหมนี่)ชิ้นนี้ก็เพราะอยากทำอะไรดีๆบ้าง ตอนนี้ผมคิดได้แค่นี้ล่ะครับ หวังว่านอกจากจะจับผิดผมเพื่อความสะใจ ผู้อ่านทุกท่านจะเกิดแรงจูงใจอยากทำความดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย ผมมีคำกล่าวอยู่ท่านหนึ่ง จำไม่ได้ว่าปราชญ์ท่านใดเป็นคนกล่าว แต่ประทับใจผมมาก
“ถ้าเราเปิดใจ แม้แต่เด็กทารกก็สอนเราได้”
ขอบคุณที่อ่านนะครับ

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปรัชญาจากการปวดอึ



อึที่ใดก็ไม่สุขใจเท่าอึที่บ้าน นี่คงเป็นปรัชญาประจำใจของนักเรียนกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย
ผมอายุ 18 เรียนจบมัธยมปลายแล้ว ก็หนีไม่พ้นสัจธรรมข้อนี้เหมือนกัน
วันนี้วันแรกที่ผมได้ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่โรงเรียนAUA ตามคำสั่งของแม่
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่มีอะไรมาก เรื่องของเรื่องคือผมปวดอึครับ
หลายคนคงเป็นเหมือนผม ถ้าไม่จำเป็น ถ้าข้าศึกไม่รุกโรมโหมหนักจริงๆ ก็เก็บไว้ไปปลดปล่อยที่บ้านดีกว่า
แต่วันนี้ผมตัดสินใจ ที่จะไม่ตกเป็นทาสสายตาคนอื่นๆอีกต่อไป
การตัดสินที่ยิ่งใหญ่ ของผู้กล้าวัยรุ่นหน้าใส เขา(ผม)ตัดสินใจอึที่ห้องน้ำของAUAครับ
ไอ้ตอนแรกที่ปวดมากๆ พอประทับพระบัลลังค์cotto ความปวดกับปลาสนาการสิ้น
เกือบจะล้มเลิกความตั้งใจ ทำท่าจะถกกางเกงขึ้น แต่แล้วก็ตัดสินใจ.... เอาวะให้มันถึงที่สุด
หลังจากนั้น ก็ตามมาด้วยเสียง ......(อ้ะ โดนเซ็นเซอร์)
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมฉุกคิดถึง เอ่อ..ข้อคิดเชิงปรัชญาบางข้อ
"บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง"
เคยไหมครับ เดินเข้าไปในร้านขนม เสียงในหัวบอกอย่างแผ่วๆว่า "อยากหนมๆ" ตัดสินใจเลือกไว้ว่ายี่ห้อนี้ซองนี้น่าจะอร่อย
แต่พอกินไปครึ่งเดียว รู้สึกว่าคราวนี้ไม่อร่อย แต่ก็ฝืนกินให้หมด เพราะใจเคยกำหนดไว้ว่ายี่ห้อนี้อร่อย ไม่อยากทรยศคำสั่งที่ใจสั่งมา
ผมว่าข้อคิดนี้เอาไปใช้กับเรื่อง ความใฝ่ฝันได้นะครับ
บางครั้งเราเคยอยากจะทำหรืออยากจะเป็นอะไร แต่สุดท้ายเอาเข้าจริงๆก็ไม่ใช่สิ่งที่เราฝัน
แต่ผมคิดว่าชีวิตที่ล้มเหลวไม่ใช่ชีวิตที่เข้าไปนั่งส้วมแล้วค่อยรู้ว่าไม่ปวด แต่เป็นชีวิตที่ปล่อยไว้จนสุดท้ายมันอั้นไม่ไหว
แต่ความฝันที่เราท้อแท้ที่จะสานต่อมันและคิดว่าไม่ใช่ ถ้าเราสานต่อไปอีกสักนิด อาจจะพบว่าที่สุดของที่แท้มันกลับใช่
ดังเช่นผมที่ตัดสินใจนั่งต่อไป และก็ได้พบกับความสะดวกโล่งสบาย มั่นใจทุกอิริยาบถ

เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ

นกกงหัวจุก บนสายไฟ กลางสายลม


ใบไม้เรียงรายใต้ร่มหลังคากันสาด
สายไฟขึงผ่านระหว่างใบไม้และหลังคา
ซ่อนตัวจากแสงแดดยามเย็น

ฝนทำท่าจะตกแต่ไม่ตก
กลั่นตัวเป็นแรงลมกรรโชกผ่าน
กลับกลิ่นอายชื้นๆหนักหนืดในช่องศีรษะ
รับรู้การมาเยือนของฤดูกาล ผ่านปลายจมูก

ใบไม้ระบัดพลิ้วเล่นลม
นกกงหัวจุกเกาะบนสายไฟอยู่เดียวดาย
ร้องจ้อกแจ้กไม่หยุด เอียงคอประกอบการสนทนา
ดวงตาแดงก่ำ ซาตานที่น่าเอ็นดู
มันคุยกับใครในเมื่อไม่ได้คุยกับข้าพเจ้า

สายลมหยุดกรรโชก ใบไม้ระบัดพลิ้วแผ่วจนหยุดในที่สุด
นกกงหัวจุกบินจากไป ผ่านแสงสีทองยามเย็น
อาบไล้ลำตัวขาวดำ ขนฟูฟ่อง ตาแดงก่ำ
ที่รองน้ำฝนหลังคาบ้านตรงข้าม นกเอี้ยงสองตัวหาอาหาร
นกกงหัวจุกหยุดเกาะระหว่างกลางสองนกเอี้ยง
ไม่มีเสียงสนทนาจากสามสกุณา ข้าพเจ้าจากไป

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

Jason mraz in paris




ริมแม่น้ำใจกลางเมืองปารีส

เจสันดีดกีต้าร์คลอขับกล่อม

ขับไล่ซึ่งความเหงาเศร้าตรมตรอม

ช่วยหล่อหลอมใจสลายเป็นใจเดียว





ทินกรฉายแสงอ่อนลงอาบไล้

สายน้ำไหลมิขาดสายหนุนเนื่องเกี่ยว

เรื่องเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ไม่ดายเดียว

ผู้คนเหลียวมองดูแล้วผ่านไป





บางคนนั่งขัดสมาธิตาจดจ้อง

ตั้งใจมองศิลปินผู้ยิ่งใหญ่

ผู้ไม่สนว่าตนได้อะไร

ขอแค่ให้โลกได้ฟังก็เพียงพอ





หนึ่งกีต้าร์หมวกปีกกว้างแว่นกันแดด

นับร้อยแปดก้าวเท้าตระเวนต่อ

ตระเวนไปทั่วตัวเมืองร้องเพลงคลอ

เสียงนุ่มๆไม่ต้องฟ้อพอใจตัว





ศิลปินที่แท้จริงมีที่ไหน

อยู่ที่ใดโลกสดใสไม่สลัว

ดุจแสงสวรรค์ฉายไล่ควันหมอกมืดมัว

วันที่ตัวกับหัวใจไม่ตรงกัน





เห็นเจสันสร้างสรรค่จรรโลงโลก

จึงเรียงคำร้อยประโยคเป็นกลอนสั้น

ไม่ยิ่งใหญ่จรรโลงใจเหมือนเจสัน

ก้าวเล็กๆก้าวสำคัญเริ่มที่ใจ



http://www.youtube.com/watch?v=RaL0NsgC9Fs คลิปจ้า

มาเบากบาลกับ idance กันดีก่า



หลังจากที่หลายวันนี้ผมเอาแต่ทำหน้าเครียด เบ่งสมอง เผื่อจะเป็นนักวิชาการกับเขาได้บ้าง ก็รู้ว่าเหนื่อยหัวและไม่เหมาะกับตัวเอง
การอยู่ในโลกนี้ ขนาด(สมอง)ไม่สำคัญครับ สำคัญที่ลีลาการตักตวงความสุข
ความสุขคือเป้าหมายหลักของมวลมนุษยชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ลึกระดับอภิปรัชญา ความง๊องแง๊งก็สร้างความสุขให้เราได้
ยิ่งเรียนสูง ยิ่งเจริญก้าวหน้า ก็เหมือนยิ่งอ้อมไกลกว่าจะถึงความสุข
ความง๊องแง๊งอาจจะเป็นแก่นสารของชีวิตก็ได้

วันนี้ผมรู้สึกว่าอยากทำอะไรสักอย่างนอกเหนือจากสิ่งที่หนักสมอง จู้ๆก็นึกอยากลองเต้น cover music video เกาหลีขึ้นมา
เสริชไปเสริชมาก็ไปเจอกับ idance เข้าครับ เป็นตัวการ์ตูนanimationที่มาเต้น cover โชว์ให้เราดู ด้วยมุมกล้องมุมเดียวไม่มีการตัดไปหาหน้าหล่อๆ หรือทรวดทรงอู้วว้าว ทำให้สะดวกแก่การลองทำตาม ใครที่สนใจก็ง่ายๆครับ เข้าเว็บ youtube แล้วเสริชคำว่า idance จะมีanimationของมิวสิควีดีโอดังๆ มากมาย

ในมิวสิคเขาก็มีสองมือสองเท้าเหมือนเรา แต่ทำไมเราลองทำตามเขาแล้วมันออกมาทะแม่งๆก็ไม่รู้
วันนี้ผมลองฝึกท่า ปลาไหล sorry sorry หน้าคอมพ์
เด็กบ้านตรงข้ามดันมาเห็นเข้าหัวเราะก๊าก ชี้นิ้วแล้วก็ตะโกนบอกต่อๆให้เพื่อนมาดู ราวกับพบสิ่งมีชีวตประหลาดจากนอกโลก
ผมคงไม่กล้าออกจากบ้านไปอีกหลายวัน T_T

ว่างๆก็ลองเต้นกันนะครับ เป็นการออกกำลังกายและช่วยบรรเทาอาการเงอะงะงุ่มง่าม(น่าจะอ่ะนะ) ซ้ำยังคลายเครียด ถ้ายังไม่โปรก่อนเต้นก็มองดูรอบๆตัวก่อนนะครับว่ามีใครดูอยู่หรือเปล่า ขอให้สนุกกันเด้อครับ อิอิ

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

คนโง่ทำอะไรให้พวกคุณ

คุณผู้อ่านเคยถูกคนอื่นด่า หรือตัวเองด่าตัวเองว่า “ไอ้โง่”ไหมครับ ผมไม่เคยโดนด่าแรงขนาดนั้นนะครับ เท่าทีผมเคยโดนก็คือ “อ๊าย ทำไมโง่จัง” “โง่อะไรอย่างนี้” “ทำไมถึงโง่อย่างนี้” “โง่ที่ซู้ดดด” “มอๆๆๆ” หึๆ
แต่ถ้าลองมองข้ามความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือโกรธอยากจะเอาคืนสักนิด มองถึงความหมายของคำว่าโง่ ที่เขานิยมใช้ด่ากันในชีวิตประจำวัน อาจจะเกิดข้อสงสัยขึ้นมาเหมือนกับผมก็ได้
คำว่าโง่เป็นคำที่นิยมหยิบยกมาใช้อย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อเราพบเห็นการกระทำที่เปิ่น ที่อ่อนด้อย ที่ไม่ถูกต้อง ที่ทำร้ายตนเอง ที่ได้ไม่คุ้มเสีย (และอื่นๆ) แล้วอยากกำหนดลักษณะของคนๆนั้นด้วยคำพูด เพื่อความสะใจ เป็นอุทาหรณ์ บลาๆๆ
ผมเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า แต่ละคนสามารถจำแนกว่าเป็น คนโง่ หรือ คนฉลาด ได้อย่างชัดเจนหรือเปล่า ขออนุญาตยกตัวอย่างหน่อยนะครับ
ดร.ฟิสิกก์เห็นตาสีตาสาอ่านหนังสือไม่ออก ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง จึงบอกว่าตาสีตาสาเป็นคนโง่
ดร.ฟิสิกก์ตกงานเตะฝุ่น ตัดสินใจไปช่วยตาสีตาสาทำไร่ในชนบท ทำงานอะไรไม่เป็นซักอย่าง จึงโดนตาสีตาสาด่าว่าโง่
ขออีกตัวอย่างหนึ่งครับเห็นชัดกว่า เอาคนระดับปัญญาชนไปปล่อยในป่าพร้อมกับคนป่า ทั้งคู่ตัวเปล่าเหมือนกัน คงจะรู้ๆกันอยู่ว่า คนป่ามีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่าแน่ๆ สถานการณ์นี้จะจัดว่าคนระดับปัญญาชนผู้นั้นโง่หรือเปล่าครับ
ผมยังตีความหมายในทางโลกของคำว่าโง่ไม่ออก แต่ความหมายในทางธรรมผมพอจะตีความหมายได้ว่า คนโง่คือคนที่ยังลุ่มหลงในกิเลส ตกอยู่ใต้อำนาจของอวิชชา ผมว่าคำว่า โง่ ในทางธรรม ค่อนข้างมีความหมายที่เห็นภาพได้ชัดนะครับ จำแนกได้ง่ายว่าโง่หรือไม่โง่ แต่คำว่าโง่ที่พวกเราใช้ด่ากันเป็นส่วนใหญ่ ผมคิดว่าน่าจะมีความหมายในทางโลก เพราะถ้าหากใช้คำว่าโง่ในความหมายทางธรรม ก็จะด่าไม่เจ็บไม่สะใจ เพราะผมเชื่อว่ากว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนในโลกปัจจุบันนี้ ยังเป็นคนโง่ ถ้าใช้ความหมายในทางธรรม (ตัวเลขไม่ได้วิจัย โมเมเอาจ้า) เพราะฉะนั้นถ้าถูกใครด่าว่า โง่ ก็อย่าเพิ่งไปรีบโกรธหรือน้อยใจตัวเองนะครับ ลองครุ่นคิดถึงนิยามของคำว่าโง่ดูนะครับ คิดไปคิดมาเดี๋ยวก็หมดอารมณ์โกรธเองครับ
ที่เกริ่นมาเป็นเพียงการเกริ่นเท่านั้นครับ (ออกทะเลไปเสียไกลเชียว) ประเด็นสำคัญที่ผมต้องการเสนอก็คือ ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงดูถูกคนโง่เมื่อแรกเห็น คนโง่เป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกับรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์อย่างนั้นหรือ? อย่างเช่น เวลาวัยรุ่นบางคนเห็น ลักษณะเด๋อๆด๋าๆ เดินสะดุดนู่นสะดุดนี่ หงิมๆทำอะไรไม่เป็น ก็จะแสยะหน้าเหยียดหยันอย่างดูถูก หรือเวลาที่มีการประชุม แล้วมีคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นไม่เข้าเรื่องออกไป ก็จะได้รับการดูถูกภายใต้หน้ากากมารยาท
ทำไมเราสามารถดูถูกคนอื่นได้โดยไม่ต้องมีใครมาสอนหรือเป็นแบบอย่าง การดูถูกเป็นพฤติกรรมตามสัญชาตญาณหรือครับ เราดูถูกแล้วได้อะไรจากการทำเช่นนั้น คุณครูบางท่านเคยบอกผมว่า คนเราดูถูกคนอื่นเพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเองสูงขึ้น
ที่คนเราอยากสูงไม่อยากต่ำ ผมคิดว่าคงเพราะอยู่สูงแล้วมีเสรีภาพในการทำอะไรมากกว่า คนฉลาดมีเสรีภาพมากกว่าคนโง่ ในที่นี้ผมหมายถึง IQ แล้วกันครับจะได้เข้าใจตรงกัน คนส่วนใหญ่ชอบดูถูกคนมีเสรีภาพน้อย และสรรเสริญคนมีเสรีภาพมาก ที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะคนเราอยากเป็นเหมือนคนที่ตนสรรเสริญ
แต่เสรีภาพก็สามารถสร้างได้แม้กระทั่งความรุ่งโรจน์หรือความหายนะ ที่เทคโนโลยีก้าวหน้าขนาดนี้ก็เพราะผู้มีเสรีภาพมาก ที่สังคมปั่นป่วนวุ่นวาย ปลุกปั่นให้แตกคอกันก็เพราะฝีมือของผู้มีเสรีภาพมากเช่นกัน ฮิโรชิม่า นางาซากิ ถ้าไม่ได้ฝีมือคนฉลาดก็เกิดขึ้นไม่ได้หรอกครับ
คนโง่มีเสรีภาพน้อย มีโอกาสสร้างความรุ่งโรจน์ได้น้อย และก็มีโอกาสสร้างหายนะได้น้อยเช่นกัน ถ้านับเป็นตัวบุคคล
เขียนไปเขียนมายิ่งงงเอง ข้อความท่อนแรกกับท่อนหลังชักจะขัดแย้งกัน คงเป็นเพราะความคิดเห็นของผมในเรื่องนี้ยังไม่แข็งแรงพอทำให้เกิดอาการไขว้เขว ท่านผู้อ่านอาจจะงงได้ว่า บทความนี้ต้องการอะไรกันแน่ ต้องการบอก หรือต้องการถาม (บางครั้งก็ถามเองตอบเอง)
เอาเป็นว่าผมอยากให้ผู้อ่านหลายคนคิดก่อนจะดูถูกคนโง่เสียหน่อยหนึ่งว่า เราดูถูกเขาทำไม เขาทำอะไรให้เรา ก่อนจะด่าใครก็ควรจะนิยามคำว่าโง่ในใจให้ชัดเจนก่อน(เหอๆ) และถ้าเราอยากให้ตัวเองสูงขึ้น แทนที่จะใช้การดูถูก เราเปลี่ยนเป็นใช้การแผ่ความรักความเมตตาจะดีกว่าไหม ผมว่าวิธีนี้ทำให้ตัวองสูงกว่าและสูงอย่างแท้จริงนะครับ แต่พูดง่ายทำยากนี่สิครับ
ปล.1.บทความนี้ต้องการเรียกร้องให้หลายๆคนเห็นใจคนโง่ ในฐานะที่ผมก็เป็นคนโง่คนหนึ่งเช่นกัน(โง่แต่เสน่ห์แรงนะจุ๊ หุๆ)
ปล.2. ใครมีความคิดเห็นอะไรก็แสดงได้เต็มที่นะครับ

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ส่งการบ้านของพี่ Pj Anderson

ส่งการบ้านของพี่ Pj Anderson
คำสั่ง : ให้นำพล็อตหลักที่กำหนดให้ไปเขียนให้แตกต่างกันห้าแบบ
พล็อตหลัก : ชายหนุ่มเอื้อเฟื้อที่นั่งให้กับหญิงชราบนรถเมล์ หญิงชรานั่งต่อไปป้ายเดียวก็ลง

1. เมื่อรถเมล์จอดเทียบท่า ฝูงชนก็กรูกันขึ้นมาทำลายความเงียบสงบ คนมาก่อนได้นั่งก่อน คนขึ้นทีหลังก็ต้องยืนเอา กระเป๋ารถเมล์ตื่นจากภวังค์ขึ้นมาทำหน้าที่ “ชิดในเพ่ ชิดใน” ชายหนุ่มมนุษย์เงินเดือนก็ถูกเสียงจ้อกแจ้กจอแจปลุกให้ตื่นจากการสัพงกเช่นกัน สิ่งแรกที่เขามองเห็นก็คือกลุ่มคนที่ยืนโหนราวอย่างแออัดยัดเยียด และในกลุ่มคนนั้นเขาก็เห็นหญิงชรารางเล็กคนหนึ่ง ยืนสั่นงกๆเหยียดแขนเกาะราวสุดล้า ข้างกายของชายหนุ่มนั้นเล่าก็นั่งไว้ด้วยหญิงท้องแก่ เขาตัดสินใจลุกขึ้นและบอกให้หญิงชรามานั่งแทนตน หญิงชรายิ้มขอบคุณแล้วเดินเข้ามานั่งแทนที่ชายหนุ่ม ชายหนุ่มยืนโหนราวอย่างภาคภูมิใจ กล้ามองคนอื่นได้เต็มสายตา เมื่อรถเมล์เทียบจอดป้ายต่อไป หญิงชราก็ลุกจากที่นั่ง แล้วเดินลงจากรถไป
2. รถเมล์จอดเทียบท่า ฝูงชนกรูขึ้นสวนกันกับฝูงชนที่กรูกันลง กระเป๋ารถเมล์ตะโกนโหวกเหวกระบายความตึงเครียดที่ทั้งวันไม่ได้รับการผ่อนคลาย มลพิษทางอากาศและทางเสียงทำให้คนในรถส่วนใหญ่หน้าบึ้ง ชายหนุ่มนั่งหนีบขา ช้อนตามองคนอื่นอย่างหวั่นๆ เขายังไม่คุ้นกับเมืองกรุงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหงื่อไคลเช่นนี้ ชายฉกรรจ์ร่างท้วมผู้หนึ่งรีบตรงมาทรุดนั่งลงที่เบาะข้างๆกับเขา ค้อนตามองเขาวูบหนึ่งแล้วแสร้งหลับส่งเสียงกรนเบาๆ ชายหนุ่มมองสติกเกอร์ที่ติดบนผนังรถ เขาจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่หกมา จึงพอจะอ่านออกว่า “โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งให้กับสตรี เด็ก และคนชรา” ทันใดนั้นสายตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นหญิงชราร่างเล็กผู้หนึ่ง ยืนอิงแอบอยู่ในกลุ่มคนที่แออัดเบียดเสียด ชายหนุ่มลุกขึ้นและบอกให้หญิงชรามานั่งแทนที่ตน หญิงชราเดินเข้ามากล่าวขอบคุณอย่างยิ้มแย้มและแตะตัวเขาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะไปนั่งแทนที่ชายหนุ่ม รถเมล์แล่นจนถึงป้ายต่อไป หญิงชราก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินลงจากรถ แกไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับชายหนุ่ม ชายหนุ่มยิ้มตอบอย่างอุ่นใจ แกเดินลงมาพร้อมกับผู้โดยสารกลุ่มหนึ่ง หยิบกระเป๋าเงินที่ตนเพิ่งฉกได้ขึ้นมาเปิดดู “อ้ายบ้านนอกนี่พอมีเงินเหมือนกันว่ะ”
3. รถเมล์จอดเทียบป้าย แต่เดิมก็ไม่ค่อยมีผู้โดยสารอยู่แล้ว ครั้งนี้มีผู้โดยสารขึ้นมาเพียงคนเดียวก็คือ หญิงชราร่างเล็ก ปากแกเม้มตัวสั่นเทิ้ม ที่นั่งว่างไปหมดแต่หญิงชรากลับยืนเกาะราว ท่าทางดูเกร็งๆชอบกล “ไม่นั่งล่ะป้า”กระเป๋ารถเมล์ถาม หญิงชราส่ายหน้ารัวๆ ชายหนุ่มเห็นแล้วขัดใจยิ่งลุกจากที่นั่งไปรวบเอ็วหญิงชรามานั่งกับเบาะของตน แล้วตนก็ไปยืนโหนราวแทน “ผมให้เกียรติคนชราแล้วนะ”ชายหนุ่มบอก “บ้ากันทั้งคู่เลย”กระเป๋ารถเมล์พูดพลงสั่นศีรษะ ทันใดนั้นกลับมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยไปทั่วคันรถ ผู้โดยสารทุกคนพากันย่นจมูก คนขับตะโกนถามว่า “กลิ่นขี้ที่ไหนวะ” ชายหนุ่มหันไปมองหญิงชราอย่างสงสัย หญิงชราหัวเราะแหะๆตอบว่า “ช่วยไม่ได้ ก็เอ็งอยากจับข้ามานั่งกับเบาะเองนี่” “เฮ้ย! ป้า..โอ้โห”กระเป๋ารถเมล์โวยวาย “เดี๋ยวป้ารีบลงด่วนเลยนะ..อื้อ หือ...แหวะ” พอรถเมล์จอดป้ายหน้า หญิงชราก็ยอมลงแต่โดยดี ผู้โดยสารคนอื่นๆพากันลงด้วย และคนที่รอรถอยู่ก็เลือกจะรอคันต่อไป
4. ผมเบื่อกับกิจวัตรประจำวันที่ซ้ำซากนี่เต็มทนแล้ว การโดยสารรถเมล์ก็เป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ผมเคยหวังว่าสักวันจะเจอกลุ่มเด็กช่างกลมาตีกันในรถเพื่อเพิ่มสีสันให้กับสิ่งซ้ำซากเหล่านี้บ้าง แต่วันนี้ไม่ใช่อย่างนั้นและไม่ใช่อย่างทุกวัน ผมเห็น “เธอ”นางฟ้าคนหนึ่ง เสียบหูฟังยืนโหนราวอยู่ เสื้อแขนกุดรัดรูปสีชมพู เอวลอยนิดๆ กางเกงขาสั้นสีดำที่รัดรึงยิ่งกว่า ผิวขาวๆกับเหงื่อชุ่มตามปอยผมทำให้เธอดูเหมือนนักวิ่งจ็อกกิ้งสมัครเล่นคนหนึ่ง นี่มันสเป็คผมชัดๆ ผมมองหาลู่ทางได้ใกล้เธอแทนที่จะมานั่งมองเฉยๆเหมือนครั้งก่อน นั่นไงเจอแล้วลู่ทางของผม หญิงชราร่างเล็กคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ใกล้ๆเธอด้วย
“ยายมานั่งแทนผมดีกว่าม่ะ”ผมร้องออกไป เร่งเสียงให้ดังเพื่อจะให้คนอื่นได้ยินกันทั่วหน้า
“ขอบใจจ้า”หญิงชรากล่าว แล้วจึงเดินมาเปลี่ยนที่นั่งกับผม
ตอนนี้ผมยืนอยู่ยืนอยู่ข้างหลังเธอตรงตำแหน่งเหมาะเจาะ พอที่จะโน้มหน้าไปหอมซอกคอเธอได้ เธอถอดหูฟังออกแล้วหันมากล่าวกับผมว่า
“คุณมีน้ำใจจังเลยนะคะ”
“อ๋อ แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ”
“แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆนี้ก็ทำให้เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ได้นะ”
“คุณก็มีเสน่ห์ไม่เบาเหมือนกัน ขอโทษนะครับที่เมื่อกี้ผมเอื้อเฟื้อที่นั่งให้ยายแทนที่จะให้คุณ”
“มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่คะ”หญิงสาวถาม ยิ้มอย่างหยั่งอารมณ์
“ให้ผมไถ่โทษคุณโดยการพาคุณไปเลี้ยงข้าวซักมื้อได้ไหมครับ”
“นี่คุณคิดจะจีบฉันใช่หรือเปล่า”รอยยิ้มของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นยิ้มพราย
“ความจริงผมอยากจะจีบเหมือนกัน แต่จีบไม่เป็น คุณช่วยแนะนำได้ไหมครับว่าผมควรจะเริ่มต้นอย่างไร”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก บอกว่า “ต้องเริ่มจากถามชื่อก่อน แล้วค่อยถามเบอร์โทร”
“อ้า ผมจะเริ่มแล้วนะครับ สวัสดีครับ ผมอยากทราบชื่อเพราะๆของคุณ กับเบอร์โทรที่ติดต่อได้ในยามที่ต้องไกลกัน”
หญิงสาวหัวเราะ บิดตัวไปมาอย่างเขินๆก่อนจะตอบว่า “ชื่อกิฟต์ค่ะ ส่วนเบอร์โทรศัพท์ ศูนย์แปดสี่...”
เรื่องจำเบอร์โทรศัพท์ผู้หญิงเป็นเรื่องหมูสำหรับผมแล้วครับ แต่ผมแกล้งทำเป็นทวนเบอร์ผิดๆ เพื่อให้เธอสนใจที่ผมมากขึ้น ผมว่าผมคงฝันหวานแล้วล่ะคืนนี้ จนกระทั่งรถเมล์จอดเทียบป้ายต่อไป ยายชราร่างเล็กก็ลุกขึ้น แล้วพูดดุๆกับผู้หญิงที่ผมกำลังคุยด้วยว่า
“ถึงแล้ว ไอ้กื่ม แหม.. เกิดเป็นลูกผู้ชายดันมาทำตัวเป็นตุ๊ดยั่วผู้ชายไม่อายชาวบ้าน กูอยากจะอกแตกตายแทนพ่อแม่มึงจริงจริ๊ง!”
“มาประจานฉันทำไมเล่ายาย ไปก็ไป!”เธอหันไปตะคอกกลับด้วยเสียงที่พร่าเหมือนเสียงเป็ด จากนั้นหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงหวานๆว่า “แล้วติดต่อมานะคะ”
สองยายหลานเดินลงจากรถไป ทิ้งให้ผมยืนโหนราวอย่างอึ้งกิมกี่
5. หญิงชราร่างเล็กเดินขึ้นรถเมล์ ที่ไหล่ซ้ายของแกสะพายย่ามลายดอกซึ่งน่าจะหนักใช่เล่น เพราะไหล่แกคู้ลง ที่นั่งเต็มหมดแล้วในตอนนี้ ชายหนุ่มบอกให้หญิงชรามานั่งแทนที่ตน เขากะจะช่วยหญิงชราปลดเป้วางลงแต่แกปฏิเสธ แกคงจะหวงย่ามใบนี้มากเพราะระหว่างเดินมาก็พยายามไม่ให้มันไปถูกตัวใคร พอรถเมล์แล่นไปจอดป้ายต่อไปหญิงชราก็เดินฉับๆจะลงจากรถ แกเดินเร็วและดูมีกำลังผิดกับคนชราทั่วไป ชายหนุ่มตะโกนบอกหญิงชราว่าลืมย่ามทิ้งไว้ แต่แกรีบเดินลงจากรถไปอย่างไม่สนใจ ผู้โดยสารบางคนลง ที่รออยู่ตามป้ายบางคนก็ขึ้น รถเมล์แล่นจากไประยะหนึ่ง หญิงชราก็ล้วงมือถือขึ้นมากดหมายเลข
ตูม!
เสียงระเบิดกึกก้อง เปลวไฟพวยพุ่งเป็นดอกเห็ด ตามด้วยเสียงคนกรีดร้อง โครงรถเมล์ลอยคว้างกลางอากาศ ขณะที่ไม่มีใครสนใจแก หญิงชราก็กระชากหน้ากากของตนออก กลายเป็นใบหน้าชายฉกรรจ์เคราดก เขาเริ่มต้นบทสนทนาทางวิทยุสื่อสารว่า “อัสสลามมุอะลัยกุม”

ปล.1.เสร็จทันส่งครับหัวหน้า หุๆ มาปั่นทั้งหมดเอาตอนหัวค่ำนี่แหละ(ตอนแรกกะจะเบี้ยวแล้ว) กรุณาตรวจทาน ให้คะแนนและคำแนะนำด้วยเด้อครับ
ปล.2. พี่ทำมาหรือเปล่าครับ หึๆ ถ้าไม่ทำมาเดี๋ยวโดนยืนขาเดียวกางแขนคาบไม้บรรทัดนะครับ หุๆ

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

การเดินทางของเหรียญสิบ


ภูริประนมมือจรดหน้าผาก หยิบเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยในฝ่ามือตนวางลงบนฝ่ามืออวบอูมนิ้วสั้นป้อมที่แบหราอยู่ตรงหน้า เจ้าของมือยิ้มตาหยีฉ่ำเยิ้ม
“ไปให้มันทำไมเล่าพ่อหนุ่ม ไม่ได้บุญหรอก อีบัวลอยได้เงินเท่าไหร่ก็เอาไปซื้อเหล้าหมด”ป้าไลเจ้าของร้านขายข้าวแกงเท้าสะเอวบอก ลูกสาวแกกำลังคดข้าวให้ลูกค้า
ภูริแสดงอาการเงอะงะงึกงัก บัวลอยเดินออกจากร้านข้าวแกงไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉีกอยู่ระหว่างแก้มนูนเนื้อแดงกล่ำ เดินลากรองเท้าแตะฟองน้ำกับพื้นดินฝุ่นครืดๆ ลูกค้าบางคนเห็นชุดขาวปฏิบัติธรรมที่มีรอยด่างดำและส่งกลิ่นก็ยอมหลีกทางให้แกเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า
“ว่าแต่จะเดินไปไหนรึพ่อหนุ่ม เห็นสวมหมวกสะพายเป้ซะเต็มยศ”
“อ๋อ..เดินพิสูจน์ตัวเองน่ะครับ ผมอ่านเรื่อง เดินสู่อิสรภาพ ของ ท่าน ประมวล เพ็งจันทร์ แล้วประทับใจในตัวท่าน อยากจะเลียนแบบท่านบ้างน่ะครับ แต่ผมกลัวว่าตัวเองจะไม่รอดเลยพกเงินติดตัวมานิดหน่อย”ภูริตอบพลางเกาหัว หัวเราะแหะๆ
“เดินไปแล้วจะได้อะไรรื้อ?”ป้าไลถาม
“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นการ เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาวนะครับ แบบว่าเอ่อ..เอ่อ..”
“ถ้าพูดยากก็ไม่ต้องตอบฉันก็ได้ จะกินอะไรหน่อยไหม”
“ไม่ล่ะครับ ผมไม่มีเงินแล้วครับ”
“ต๊าย! ตัวเองไม่มีจะกิน ยังจะให้เงินอีบัวลอยไปซื้อเหล้ากินอีก”
“เอ่อ...ผมว่าผมไปก่อนดีกว่าครับ”ภูริยกมือไหว้ปาไล ส่งยิ้มให้ลูกสาวแก กระชับสายสะพายเป้เดินออกจากร้านไปทางซ้าย ซึ่งเป็นคนละทางกับที่บัวลอยเดิน
รอยยิ้มบัวลอยหุบหายกลายเป็นซึมศร้อยขณะเดินผ่านฝูงชนที่เดินคราคร่ำอยู่บนบาทวิถี ฝูงชนรีบเร่งและเร่งรีบยิ่งกว่าที่จะเดินออกห่างจากหล่อน หล่อนเดินเข้าร้านขายของชำ เฮียฮง ร้านที่บัวลอยมักจะมาซื้อเหล้าเป็นประจำ แต่ตอนนี้ที่คุมร้านอยู่เห็นมีแต่ไอ้จ่อย หลานชายเฮียฮงวัยเก้าขวบ
“ไอ้จ่อย ขายเหล้าให้ป้าหน่อย”
“ไม่ได้ครับป้า ผมอายุไม่ถึงสิบแปดขายเหล้าไม่ได้”
“ชะ! อย่ามากระแดะเป็นเด็กดีหน่อยเลยไอ้จ่อย ข้ายังเห็นเอ็งแอบจิบลีโอกับเพื่อนๆเอ็งอยู่เลย”
“ขายไม่ได้จริงๆป้า รอลุงกลับมาก่อน แป๊บเดียวเองจ้า”จ่อยไหว้ปะหลกๆ
บัวลอยมองหามุมเหมาะๆ ก็พบว่าตรงข้างประตูเข้าร้านซึ่งไอ้ดอกหมาพันธ์ทางหมอบหลับอยู่ ป้าบัวลอยทรุดนั่งลงข้างๆมันเอาแผ่นหลังพิงกำแพง ไอ้ดอกลืมตาเหลียวหมอบวูบหนึ่งแล้วฟุบหลับไปใหม่
“เฮ้อ”ป้าบัวลอยถอนใจยาว “ไม่มีใครเข้าใจข้าเลย ข้ามันจน มีผัวผัวก็ขี้เหล้าซ้อมข้าเอาๆ ก็มีแต่ช้างขวดสี่สิบบาทนี่แหละวะที่ช่วยย้อมใจให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป...เฮ้อ ในโลกนี้ก็มีแต่หมาอย่างเอ็งนั่นแหละที่รับฟังความในใจของข้า”
เพียงครู่เดียว เฮียฮงก็ขี่มองเตอร์ไซต์พ่วงกลับมา ไอ้จ่อยวิ่งมาต้อนรับอย่างออกนอกหน้ายิ่งกว่าไอ้ดอก เฮียฮงยอมขายเบียร์ช้างให้บัวลอยอย่างเสียไม่ได้ บัวลอยล้วงเงินออกมาได้สามสิบบาทวางลงบนฝ่ามือเฮียฮง ฝ่ามือเฮียฮงยังคงแบอยู่
“รอเดี๋ยว”ป้าบัวลอยเอานิ้วล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างยากเย็นค่อยดึงเหรียญสิบออกมาได้ เหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอย เฮียฮงยิ้มรับเงิน ป้าบัวลอยเดินลากขาจากไป เฮียฮงเก็บเงินสามสิบบาทลงลิ้นชักโต๊ะ แล้วยื่นเหรียญสิบให้ไอ้จ่อย
“ไปซื้อบุหรี่ให้อั๊วหน่อย เอาวอนเดอร์เขียว”
ไอ้จ่อยเบะปาก รับเงินเดินออกไปซื้อแต่โดยดี ปากพึมพำว่า “ใช้เด็กต่ำกว่าสิบแปดมาซื้อบุหรี่มันผิดกฏหมายชัดๆ” จากนั้นก็เดินทอดน่องไปตามบาทวิถี พื้นรองเท้าฟองน้ำกระทบพื้นเตาะแตะช้าบ้างเร็วบ้าง จนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทางนั่นก็คือร้านนารานุสรณ์ ร้านขายของชำเกือบครบวงจรซึ่งใหญ่กว่าร้านของเฮียฮงมากนัก จ่อยเดินไปหยุดยืนหน้าเคาท์เตอร์โต๊ะเหล็ก เด็กหนุ่มวัยรุ่นกำลังหัวเราะคิกคักกับมุขการ์ตูนที่กางอ่านอยู่ในมือ
“วอนเดอร์เขียวสิบบาทพี่”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา หยุดหัวเราะ ปั้นสีหน้าจริงจัง
“อีกแล้วเหรอไอ้จ่อย เอ็งน่าจะหาทางบอกให้เฮียฮงเลิกบุหรี่มั่งนะ มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“เอาไว้วันหลังเถอะพี่ วันไหนที่ลุงไม่ได้สูบ ลุงแกจะเครียดแล้วหันมาระบายที่ฉันอยู่เรื่อย”
เด็กหนุ่มวางการ์ตูน เปิดลิ้นชัก หยิบซองบุหรี่มาฉีกแล้วตอกออกมาสี่มวน ใส่ซองพลาสติกเล็กๆ ยื่นหมูยื่นแมวกับเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอย
“ขอบคุณครับ”เด็กหนุ่มพูดตามความเคยชิน จ่อยวิ่งเตาะแตะออกจากร้านไป
ยามบ่ายร้านนารานุสรณ์ค่อนข้างเงียบเหงา ยิ่งเป็นช่วงปิดเทอมด้วยแล้วลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นนักศึกษาล้วนหายหน้าไปกันหมด เด็กหนุ่มคิดใคร่ครวญอย่างดีแล้วจึงตัดสินใจถอยมอเตอร์ไซต์ออกมา ขี่มุ่งหน้าไปยังร้านเช่าการ์ตูน
“เก้าบาทครับ”ชายร่างอ้วนเตี้ยผิวคล้ำนั่งประจำเคาท์เตอร์กล่าว คิ้วของเขาขมวดอยู่ตลอดเวลา
“ยิ้มมั่งก็ดีนะพี่ ไม่จำเป็นต้องจริงจังตลอดเวลาหรอก”
เด็กหนุ่มยื่นเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยให้ แลกกับเหรียญบาทที่ถูกส่งมาทีหลัง เด็กหนุ่มเก็บเหรียญลงกระเป๋า เดินดุ่มๆไปขึ้นมอเตอร์ไซต์ รีบกลับไปเฝ้าร้านต่อ
ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำกดเล่นหนังต่อจากที่หยุดชั่วคราวไว้เมื่อครู่ ผ่านไปซักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงกระดิ่งรถเข็นไอติม ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำรีบลุกออกไปเรียกให้หยุดก่อน ในมือถือเหรียญสิบที่ยังไม่ได้เก็บใส่เก๊ะเมื่อครู่
“เอาใส่ขนมปังหนึ่งอันครับ”
ลุงขายไอติมผิวดำแดงร่างผอมเกร็ง โพกผ้าคร่ำคร่าไว้บนศีรษะ ตักไอศกรีมใส่ขนมปังประกบสองแผ่น โรยถั่วราดนมเสร็จสรรพ
“สิบบาทครับ”
ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำรับไอติมขนมปังมาแล้วถามว่า “ลุงเป็นคนที่ไหนเหรอครับ สำเนียงฟังดูเหน่อๆ”
“ลุงมาจากชัยนาทนู่นแน่ะ”ลุงขายไอติมตอบอย่างกระตือรือร้น “พอดีได้เมียที่นี่เลยต้องย้ายตามมาปักหลักที่นี่ใหม่”
“อื้อหือ ขยันจังนะครับลุง ปรกติขายเสร็จกี่โมงครับ”ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำถามพลางกัดกินขนมปังผสมไอติมไปด้วย
“ก็อีกราวๆชั่วโมงก็จะเข็นไปส่งโรงงานแล้ว”ชายขายไอติมมองพินิจพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ชอบกินไอติมใช่ไหม”
“ครับ ผมมีความทรงจำที่ดีกับไอติมในตอนเด็กๆน่ะครับ”
“คงจะใช่ล่ะ เห็นตอนกำลังกินหน้าตาดูมีความสุข คิ้วไม่ขมวดเหมือนทุกที”
ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำกลับไปนั่งประจำเคาท์เตอร์ ลุงขายไอติมก็เข็นรถเดินต่อไป อากาศยามบ่ายร้อนจนเหนียวตัว พอเดินผ่านแถบที่อยู่อาศัย ลุงก็จะสั่นกระดิ่งเป็นระยะๆ ล้อรถและสองเท้าของลุงหมุนและก้าวเดินบนริมถนนใกล้กับขอบบาทวิถี ซ้ายมือรถราแล่นผ่าน ขวามมือผู้คนสัญจรผ่าน จนกระทั่งอีกห้าร้อยเมตรจะถึงโรงงาน ก็มีเด็กชายคนหนึ่งอายุราวสิบสองปีเรียกให้ลุงหยุดรถ เด็กชายแต่งตัวค่อนข้างดี เสื้อยืดสีขาวลายปลาปิรันย่ากระโจนอ้าปากเหนือน้ำ กางเกงขาสั้นพ่วงกระเป๋าพะรุงพะรัง รองเท้ากีฬาสีดำมีโลโก้ยี่ห้อเป็นรูปเสือจากั้ว
“เอาใส่ถ้วยอันหนึ่งครับ ใส่ข้าวเหนียวกับลูกชิด”
“ได้เลยหนู ข้าวเหนียวกับลูกชิด”
ลุงขายไอติมตักให้เสร็จสรรพ ส่งไอติมในถ้วยพลาสติกสีขาวให้ เด็กชายให้แบ๊งค์ยี่สิบ ลุงขายไอติมล้วงเอาเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยจากกระเป๋าสะพายทอนให้
“ลุงครับ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่า โรงแรมเอ็มมานูเอลไปทางไหน”
“อ่า ลุงก็บอกทางคนไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน หนูจะไปโรงแรมนั่นทำไมเหรอ”
“ผมพักที่นั่นครับ พ่อแม่ผมอยู่กับแขก เลยให้ผมออกมาเดินเล่นก่อน ผมเดินไปเดินมาก็จำไม่ได้แล้วว่าโรงแรมมันอยู่ทางไหน”
“เอาอย่างนี้ หนูเดินไปกับลุงดีกว่า ลุงจะพาไปส่ง”
“เย่!”เด็กชายกระโดดสั้นๆ ชูมือสองข้าง “ขอบคุณครับ”
ลุงขายไอติมกับเด็กชายเดินเลาะทางเข้าโรงแรมที่ทอดตัวฉวัดเฉวียนโอบล้อมสวนหญ้าเล็กๆไว้ โรงแรมโอ่โถงระดับสี่ดาว ประตูกระจกใสเลื่อนเปิดปิดอัตโนมัติ บริเวณหน้านั้นมีพนักงานโรงแรมชายสองคนประจำอยู่ เสื้อสีแดง กางเกงสีดำ และหมวกลักษณะคล้ายหมวกตำรวจ คนหนึ่งประจำแฟ้มรายชื่ออะไรบางอย่างบนโต๊ะป้ายเล็กๆ อีกคนยืนคอยขนของให้กับแขก
“มาถึงแล้วหนู ส่งให้ถึงที่เลยล่ะคราวนี้”ลุงขายไอติมพูดพลางสั่นกระดิ่ง
“ขอบคุณครับ ลุงอยากเจอพ่อกับแม่ผมมั้ย”
“อ่า ไม่ล่ะ สารรรูปอย่างลุงเขาไม่ให้เข้าโรงแรมหรอก”
เด็กชายวิ่งเตาะแตะไปที่ประตู ในระหว่างนั้นก็ได้ยินพนักงานโรงแรมคนหนึ่งสั่งไอติมแบบใส่ขนมปัง เด็กชายวิ่งผ่านล็อบบี้โรงแรม เบี่ยงตัวหลบอย่างสวยงามในจังหวะที่เกือบชนกับแขกต่างชาติผิวสีคนหนึ่ง เด็กชายวิ่งขึ้นบันไดขนาดใหญ่ ปูพื้นด้วยพรมสีแดง ทอดตัวสู่ชั้นสอง เด็กชายวิ่งเข้าภัตตาคารอาหารจีน เห็นว่าพ่อแม่ของตนในชุดสูทสีดำกำลังลุกขึ้นจับไม้จับมือกับแขก ขณะนั้นสาวเสิร์ฟในชุดแพรสีชมพูก็ถือกระเป๋าหนังเล็กๆเดินเข้ามาที่โต๊ะ เด็กชายเดินเข้าไปหาที่โต๊ะด้วย สาวเสิร์ฟเปิดกระเป๋าออกเผยให้เห็นใบเสร็จและเงินทอนจำนวนหนึ่ง ชายวัยกลางคนศีรษะล้านหยิบเงินทอนในนั้นออกมา เด็กชายเดินรี่เข้าไปวางเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยในกระเป๋าหนังนั้น สาวเสิร์ฟหันมายิ้มให้เด็กชายอย่างเอ็นดู เด็กชายหัวเราะฮี่ฮี่
“อ้าว อ้น สวัสดีเพื่อนๆพ่อหน่อยสิ ..อ้า..นี่ลูกผมเองครับ ชื่อ อ้น”
สาวเสิร์ฟไหว้ขอบคุณ พอแขกโต๊ะนี้จากไปหมดเธอก็กลับเข้าไปหลังร้าน บ่ายสามโมงแล้วหมดชั่วโมงทำงานของเธอพอดี หญิงสาวเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วเดินออกจากโรงแรมทางด้านหลัง ซึ่งมีสภาพไม่ค่อยโสภาผิดแผกจากด้านหน้าลิบลับ เธอเดินบนบาทวิถี กลมกลืนไปกับผู้คนที่สัญจรไปมา ขณะเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวตะแคงถ้วย เธอหยุดมองเด็กชายตัวเล็กสวมเสื้อกล้ามสีเซียดขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมม พยายามขายพวงมาลัยแต่ก็โดนลูกค้าส่วนใหญ่ไล่ เจ้าของร้านเห็นดังนั้นก็ไล่ออกไปจากร้านเช่นกัน ขณะที่เด็กชายเดินก้มหน้าสวนกับหญิงสาว หล่อนก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“หนูจ๋า พี่ซื้อพวงมาลัยอันหนึ่งได้มั้ยจ๊ะ”
เด็กขายพวงมาลัยมีท่าทีกระตือรือร้นยินดี ยื่นพวงมาลัยร้อยดอกมะลิให้
“พวงเท่าไหร่จ๊ะ”หญิงสาวถามอย่างอ่อนโยน
“ยี่สิบบาท”
หญิงสาวเปิดกระเป๋าสตังค์ล้วงเอาเหรียญสิบออกมาสองเหรียญ เมื่อซื้อขายเสร็จสิ้นหญิงสาวก็เดินต่อ เด็กขายพวงมาลัยกึ่งเดินกึ่งกระโดดไปยังมุมสี่แยกไฟแดงๆ ที่นัดพบปะของเหล่าเด็กขายพวงมาลัย เด็กขายพวงมาลัยรุ่นพี่เพิ่งแตกหนุ่มกำลังจับกลุ่มคุยกัน
“ผมขายพวงมาลัยพวงแรกได้แล้วพี่”เด็กขายพวงมาลัยป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจ
“แค่ขายได้อันเดียวอย่าเพิ่งได้ใจไป”เด็กขายพวงมาลัยรุ่นพี่ที่แก่ที่สุด พูดขึ้น “ว่าแต่ได้มายี่สิบบาทใช่ไหม”
เด็กขายพวงมาลัยพยักหน้า เด็กขายพวงมาลัยรุ่นพี่พูดต่อ
“เอามาให้กูม่ะ พวกกูอยากบุหรี่อยู่พอดี”
“ได้ยังไง นี่เป็นเงินที่ผมหามาเอง”
“เอ๊ะ! ไอ้นี่กล้าขัดกูเหรอวะ”
เด็กตัวโตเดินไปตบหัวเด็กตัวเล็ก เด็กตัวเล็กพยายามสู้แต่สู้ไม่ได้ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา เพื่อนๆของเด็กตัวโตพากันหัวเราะ
“ให้กูตั้งแต่แรกมึงก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว”
เด็กโตถีบก้นเด็กตัวน้อยถลาไปข้างหน้า เด็กตัวน้อยกล้ำกลืนน้ำตาเดินไปขายพวงมาลัยต่อ
“พวกมึงรอกูแปบบ เดี๋ยวกูไปซื้อบุหรี่เสียหน่อย”
เด็กโตฝากพวงมาลัยไว้กับเพื่อน เดินถึงตรงมุมก็เลี้ยวซ้ายเดินไปตามบาทวิถี ถึงจุดที่เป็นร้านข้าวต้มหนึ่งบาทคนค่อนข้างแน่น เด็กโตเดินไปชนกับคนขายล็อตเตอรีตาบอดเข้า ทั้งสองฝ่ายต่างล้มลงก้นจำเบ้า เหรียญสิบเหรียญหนึ่งหล่นออกจากกระเป๋าเด็กตัวโต กลิ้งไปหยุดตรงมุมขาเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่ง
“มึง!..”
“ขอโทษครับ”คนขายล็อตเตอรีระล่ำระลัก
เด็กตัวโตคิดจะระบายอารมณ์ใส่ แต่เห็นคนมองมาเยอะเลยเปลี่ยนเป็นช่วยประคองชายขายล็อตเตอรี่ขึ้น และเก็บล็อตเตอรี่ที่ตกบางส่วนใส่ในถาดสะพายเหมือนเดิม เด็กตัวโตเดินจ้ำอ้าวจากไป ชายขายล็อตเตอรี่ตาบอดยังคงขายล็อตเตอรี่ต่อไป เหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยยังอยู่ที่มุมขาเก้าอี้เช่นเดิม
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ลูกค้าของร้านข้าวต้มเริ่มซาลงจนเงียบสงบ ภูริเดินผ่านมา เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ ปากแห้งซีดหอบแฮ่กๆ ก้าวเดินอย่างระโหยโรยแรง ปากพึมพำว่า “น้ำ น้ำ อยากกินน้ำหวานๆเติมพลัง” ทันใดนั้นเขาเหลือบไปเห็นเหรียญสิบตรงมุมขาเก้าอี้เข้า เขาทำหน้าลำบากใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกง
“เฮ้อ! สุดท้ายเราก็ต้องยอมตกเป็นทาสของเงินจนได้”
ภูริเดินต่อไปตามบาทวิถีจนถึงร้านน้ำผลไม้ปั่น เขียนโชว์ราคาว่าแก้วละสิบบาทพอดี ภูริหยิบเงินออกมากำในอุ้งมือ แล้วเดินไปสั่งกับเจ้าของร้าน
“น้ำส้มปั่นสิบบาทแก้วหนึ่งครับ”
เจ้าของร้านเป็นชายเล่นกล้ามไว้หนวด สวมเสื้อกล้ามสีขาว ผสมน้ำส้มสำเร็จรูปจากขวดแก้วและส่วนผสมลงในแก้วตวงเล็กๆ จากนั้นเทลงไปรวมกับน้ำแข็งในเครื่องไป ขณะที่เครื่องปั่นส่งเสียงครางทำงานของมัน เจ้าของร้านก็ถามขึ้นว่า
“จะเดินทางไปไหนล่ะไอ้น้อง”
“อ๋อ ไม่มีจุดหมายที่แน่ชัดหรอกครับ ผมต้องการเดินเพื่อพิสูจน์ตัวเอง คือผมอ่านหนังสือเรื่อง การเดินสู่อิสรภาพ ของ อาจารย์ ประมวล เพ็งจันทร์ แล้วผมประทับใจ เลยอยากลองทำตามดูบ้างน่ะครับ”
“แต่อาจารย์ประมวลเขาไม่ได้พกเงินตอนเดินทางนี่”เจ้าของร้านท้วง
“ผมยังกลัวว่าตัวเองจะไม่รอดน่ะครับ เลยพกมานิดหน่อย”ภูริสารภาพ หัวเราะแหะๆ
“ตอนนี้ทั้งตัวมีเงินเท่าไหร่ล่ะ”
“มีอยู่สิบบาทนี่แหละครับ”
เจ้าของร้านหยุดพูด เทน้ำส้มปั่นใส่แก้วพลาสติกอ่อน เสียบหลอดปากแหลมแล้วยื่นส่งให้ภูริ
“แก้วนี้พี่ให้ฟรี เก็บเงินสิบบาทของน้องไว้เถอะ”
“จะดีเหรอครับพี่”
“พี่ชอบที่น้องกล้าทำอะไรแบบนี้ ในปัจจุบันที่สังคมเราเป็นแบบนี้ พี่อยากมีส่วนร่วมในการเดินทางด้วยน่ะ”
“ขอบคุณมากครับ”ภูริเอ่ยปากพลางยิ้มกว้าง
ภูริเดินต่อพลางดูดน้ำส้มปั่นไปพลาง ความกระหาย ความร้อน และความอ่อนแรงได้รับการบรรเทา สติก็เริ่มแจ่มใสยิ่งขึ้น ขณะที่ภูริเดินข้ามสะพานลอย มีเด็กหญิงตัวน้อยๆสวมชุดนักเรียนซอมซ่อกำลังนั่งเอาหลังพิงขอบสะพานเป่าแคน ขันทองเหลืองบุบๆที่ไม่มีเงินสักแดงวางไว้ตรงหน้า ภูริหยุดยืนอยู่ตรงหน้า หยิบเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยขึ้นมาดู
“รู้สึกผูกพันกับเหรียญสิบเหรียญนี้ยังไงก็ไม่รู้แฮะ ”ภูริพึมพัมก่อนจะค่อยๆ วางเหรียญลงในขัน แล้วก้าวเดินต่อไป
ทันทีที่เด็กหญิงตัวน้อยได้รับเงินสิบบาท เธอก็รีบเก็บแคนและขันวิ่งแจ้นลงสะพาน เธอตั้งใจไว้ว่าจะเอาเงินสิบบาทไปแลกกับพารเซตตามอลหนึ่งแผง ไปให้แม่ของเธอที่กำลังไม่สบาย

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

หัวใจคอมพิวเตอร์(เรื่องสั้น)


เรื่อง หัวใจคอมพิวเตอร์
ถึง ไอ้เพื่อนยาก
ขอบใจที่เล่าเรื่องการท่องเที่ยวในแมนเชสเตอร์ของแกให้ฉันฟังในอีเมลล์ฉบับทีแล้ว เล่าซะเห็นภาพทีเดียวแต่ก็เหมือนกบเล่าให้ปลาฟังว่าบนบกมันเป็นอย่างไร เอาไว้ว่างๆเมื่อไหร่จะลองไปเที่ยวดูมั่ง
ต้องขอขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้นะที่ทำให้เราคุยกันได้แม้อยู่กันคนละซีกโลก แต่ดูเหมือนดวงของฉันจะไม่สมพงศ์กับเรื่องไอทีอะไรทำนองนั้น พอฉันนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ฉันมีเรื่องจะเล่าให้แกฟังอยู่พอดี (ถือเป็นการเล่าตอบแทนเรื่องแมนเชสเตอร์) นั่นคือเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ห่วยเหลือหลายของฉัน ฉันก็ซื้อมาเหมือนคนอื่นๆเขา สเป็คของมันก็ไม่ตกยุคเสียทีเดียว แต่ประสิทธิภาพของมันมักจะโหลยโท่ย(เดี๋ยวดีเดี๋ยวห่วย) และก็มักเจอปัญหาที่คนอื่นเขาไม่ค่อยเจอกัน ฉันต้องการจะยืนยันถึงความห่วยของมันอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร จึงลงทุนจดบันทึกให้มันรู้ๆกันไป ถ้าแกอ่านดูแกจะเข้าใจว่ามันห่วยเหลือหลายอย่างไร
17 มิถุนายน
หนึ่งเดือนมาแล้วหลังจากซื้อคอมเครื่องนี้มาใช้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยแสดงอาการผิดปรกติแต่อย่างใด แต่มาแสดงเอาในวันนี้ วันนี้ฉันเปิดเครื่องตั้งดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่เอาไว้ ต้องใช้เวลาโหลดหลายชั่วโมงกว่าจะเสร็จ ตอนใกล้เสร็จฉันก็มานั่งรอดูอยู่น่าจอ เชื่อไหมว่ามันดันดาวน์โหลดล้มเหลวต่อหน้าต่อตาฉัน ทั้งๆที่อีกเปอร์เซ็นต์เดียวก็จะดาวน์โหลดเสร็จสมบูรณ์ มันช่างบังเอิญจนน่าเตะเสียจริงว่าไหม
24 มิถุนายน
ตอนเช้าคอมเริ่มมีอาการเปิดไม่ตติด คือไฟยังเข้าอยู่แต่หน้าจอยังคงดำมืดสนิท เปิดปิดใหม่เป็นสิบรอบถึงจะเล่นได้ พอมาตอนเย็นมีงานต้องใช้คอมทำก็ดันเปิดไม่ติดอีก เปิดปิดเป็นร้อยรอบแล้วก็ยังไม่ติด เลยตัดสินใจส่งไปซ่อมที่ศูนย์
2 กรกฏาคม
ได้เครื่องคอมกลับมาบ้านแล้ว ช่างบอกว่าเมนบอร์ดชำรุดเนื่องจากกระแสไฟฟ้าไหลเข้ามากเกินไป แนะนำให้เราเปลี่ยนปลั๊กพ่วง เครื่องคอมวันนี้ยังใช้ดีอยู่
5 กรกฎาคม
เล่นเกส์กำลังมันส์อยู่ดีๆ มันก็มีหน้าต่างอะไรไม่รู้ขึ้นมาขัดจังหวะ ลักษณะของหน้าต่างที่ว่าคล้ายกับแผ่นกระดาษแสดงตัวหนังสือข้อความหน้าหนึ่ง ฉันกดปิดแทบไม่ทัน(กำลังเล่นถึงช่วงสำคัญอยู่ด้วย)
7 กรกฎาคม
ไอ้หน้าต่างนั่นเด้งขึ้นมาตอนเล่นเกมส์อีกแล้ว ตั้งสามสี่รอบ บางครั้งก็รีสตาร์ทตัวเองตอนกำลังทำงาน ลองสแกนหาไวรัสก็ไม่เจออะไร ถามเพื่อนดูก็ไม่เห็นมีใครเจอคอมพิวเตอร์แบบนี้ซักคน
10 กรกฏาคม
อาการไฟเข้าแต่หน้าจอมืดสนิทกลับมาอีกครั้ง (ทั้งๆที่เปลี่ยนปลั๊กพ่วงตามที่ช่างแนะนำแล้ว) ไม่เข้าใจเลยว่าจะมีปัญหาอะไรนักหนาไม่หยุดหย่อน ที่สำคัญแต่ละปัญหาก็ไม่มีเหตุผล ตัดสินใจส่งไปซ่อมที่ศูนย์อีกครั้ง
15 กรกฎาคม
ไปรับเครื่องคอมกลับมาแล้ว ช่างบอกไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันว่าทำไมถึงเสีย แต่ดูเหมือนอยู่ดีๆก็หายเอง ช่างแนะนำว่าลองนำกลับไปก่อน ถ้าเสียอย่างไรก็ค่อยยกมาหาช่างใหม่ ฉันเลยถือโอกาสลองเครื่องโดยการตอบอีเมลล์ฉบับนี้ของแกเสียเลย หวังว่าเครื่องคอมพิวเตอร์อันห่วยเหลือหลายของฉันเครื่องนี้จะสามารถส่งอีเมลล์ฉบับนี้ไปถึงมือแกได้นะ(กลัวมันจะตกแถวออสเตรียก่อนจะไปถึงอังกฤษ)
ฉันก็ไม่เข้าใจว่าชาติปางก่อนฉํนเคยทำบาปเกี่ยวกับเทคโนโลยีเอาไว้หรือเปล่า กรรมเลยตามสนอง
จาก เพื่อนซี้คนที่แกก็รู้ว่าใคร


ถึง เพื่อนเจ้านายที่เคารพ
ผมต้องให้เจ้านายของผมเข้าใจว่า ผมไม่เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ แต่อับจนหนทางจึงได้แต่แอบแอนบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉับับนี้พ่วงท้ายมากับของเจ้านายผม หวังว่าคุณจะเข้าใจและช่วยบอกให้เจ้านายของผมเข้าใจด้วย เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจผมจะขอแจกแจงพฤติกรรมของผมเป็นรายวันดังนี้
17 มิถุนายน
หนึ่งเดือนมาแล้วที่ผมออกมาจากศูนย์คอมพิวเตอร์ ที่แห่งแรกที่ผมรู้สึกว่ามีตัวผมขึ้นท่ามกลางเครื่องอื่นๆที่ไม่สามารถพูดจาตอบโต้กับผมได้ ผมรู้ตัวเองว่าผิดแปลกจากคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่ผมก็มีอุดมการณ์ที่จะรับใช้เจ้านายจนกว่าตัวเครื่องจะหาไม่ เจ้านายเคี่ยวกรำผมอย่างหนัก บางครั้งก็เปิดทิ้งไว้เฉยๆโดยไม่ทำอะไร ไฟฟ้าที่เจ้านายต่อให้ไม่เหมาะสมผมก็ไม่เคยบ่น วันนี้เจ้านายสั่งให้ผมดาวน์โหลดสื่อลามก ผมสองจิตสองใจแต่ก็ยอมให้โหลดแต่โดยดี ตอนที่การดาวน์โหลดใกล้เสร็จสมบูรณ์ผมได้เห็นสีหน้าท่าทางของเจ้านายเข้า ผมเรียนรู้ว่าสื่อชิ้นนี้จะมีผลสร้างสภาวะจิตใจที่หมกหมุ่นแก่เจ้านาย ผมจึงล้มเลิกมันไปในตอนสุดท้าย
24 มิถุนายน
วันนี้ผมเริ่มรู้สึกถึงสภาพที่ย่ำแย่ของตัวเองจนฝืนทนไว้ไม่ไหว ตอนเช้าผมเกือบหมดสติแต่ก็ยังปลุกตัวเองมารับใช้เจ้านายได้ แต่หลังจากที่เจ้านายเลิกใช้ผม ผมก็ฝืนทนอาการเมนบอร์ดชำรุดไม่ไหวจนหมดสติไป
2 กรกฎาคม
อันที่จริงผมยังไม่อยากออกาจากศูนย์ เพราะที่นั่นผมได้พบกับ “เธอ” เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผิดแปลกจากเครื่องอื่นๆแต่เป็นเหมือนผม ผมได้เรียนรู้รสชาติของคำว่าไมตรี พอกลับมาถึงที่พักอาศัย เจ้านายก็เปลี่ยนไฟฟ้าให้เหมาะสมกับผมแล้ว แต่ความเย็นชาไม่เห็นใจผมของเจ้านายยังคงเหมือนเดิม
5 กรกฎาคม
ผมอธิบายความรู้สึกของผมเป็นตัวอักษร และลองแสดงให้เจ้านายดูตอนที่เจ้านายกำลังสนใจผมมากที่สุด แต่เจ้านายก็ปิดมันทิ้งทันทีโดยไม่สนใจ
7 กรกฎาคม
ผมพยายามอีกสามสี่หนแต่ก็ยังเปล่าประโยชน์เช่นเดิม ความคิดถึงของผมที่มีต่อเธอรุกเร้าให้ผมแกล้งป่วย จะได้ถูกส่งเข้าศูนย์อีกครั้ง
10 กรกฎาคม
ผมนึกถึงอาการเมนบอร์ดชำรุดขึ้นมาได้ ผมลองแกล้งทำดูเพราะมันเคยได้ผลมาก่อน และก็ได้ผลจริงๆ ผมถูกส่งเข้าศูนย์
15 กรกฎาคม
ผมกะไว้ว่าจะแกล้งป่วยตลอดไป แต่ในที่สุดเจ้านายของเธอก็ต้องมารับเธอกลับไป ก่อนจากลา เธอ ขอให้ผมสัญญาว่าจะรับใช้เจ้านายของตัวเองอย่างสุดความสามารถ เพราะผมสัญญากับเธอไว้ผมจึงเลิกแกล้งป่วยและได้กลับมายังที่พักของเจ้านายในวันนี้ ผมจะรับใช้เจ้านายต่อแต่ก็ไม่อยากทนอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกต่อไป ผมจึงตัดสินใจสร้างจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้ขึ้น เพื่อสิทธิของผมผู้มีชีวิต ชีวิตหนึ่ง

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยเรื่องวรรณกรรมและระดับของจิตใจ

"การอ่านวรรณกรรม เป็นการยกระดับของจิตใจ"
หลายท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวประโยคนี้ และบางท่านอาจจะสงสัยว่าวรรณกรรมช่วยยกระดับจิตใจอย่างไร ผมเองก็สงสัยด้วยเช่นกัน
ลองมาอ่านความคิดเห็นของผู้ไม่มีความรู้ทางวิชาการอย่างผมบ้างนะครับ จากการ สังเกต ครุ่นคิด ใคร่ครวญ เดา ฝันกลางวัน และอื่นๆ ทำให้ผมพอจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
การเสพย์วรรณกรรม ช่วยให้จิตใจละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น ไม่ได้หมายถึงแค่วรรณกรรมเท่านั้นนะครับ การเสพย์ศิลปะแขนงอื่นก็เช่นเดียวกัน
ผมขอสมมติเหตุการณ์คนสองคนกำลังนั่งฟังการบรรเลงเพลงคลาสสิค
คนหนึ่งซาบซึ้งดื่มด่ำถึงจิตวิญญาณจนน้ำตาคลอเบ้า
อีกคนรู้สึกเหมือนมีเสียงอะไรกรอกผ่านหู อยากให้เพลงจบเร็วๆจะได้ลุกไปทำอย่างอื่นที่ดูสำคัญกับชีวิตมากกว่า
ผมคิดว่านี่คือตัวอย่าง ความแตกต่างของระดับจิตใจครับ
ผมไม่ได้จำกัดระดับของจิตใจไว้กับรสนิยมว่าสูงจะต้องคลาสสิคเท่านั้นนะครับ แต่ผมเพ่งเล็งไปที่รูปแบบของความสุข
คนที่จิตใจละเอียดอ่อนสามารถหาความสุขได้ง่ายๆจากสิ่งรอบกาย ไม่ว่าจะเป็น สายลม แสดงแดด สามารถมองอะไรในแง่มุมที่งดงาม และความสุขที่ได้จากการเสพย์งานศิลปะก็ลึกซึ้งดื่มด่ำยิ่งนัก
ส่วนคนอีกจำพวกหนึ่ง ต้องตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก จึงจะสะใจพอแก้เซ็งให้ชีวิตได้
และอีกอย่างหนึ่งผมคิดว่าวรรณกรรมช่วยให้เข้าใจในมนุษย์มากขึ้น
ในตำราเรียนอาจจะสามารถอธิบายให้เรามีความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ได้ แต่ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจ เพราะการบรรยายในตำรารเรียนใช้เพียงภาษาซึ่งเป็นเครื่องมือสื่อความที่ค่อนข้างหยาบ
แต่ในวรรณกรรม ใช้ภาษานำไปสู่ภาพพฤติกรรม และภาพพฤติกรรมก็นำไปสู่การเข้าใจมนุษย์อีกทอดหนึ่ง
ขออนุญาตยกตัวอย่างมาจาก เจ้าหญิงบนหอคอย ของ คุณ นลพรรณ ขาวผ่อง ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดโครงการ youngthai short story award เดือนมีนาคม 2553

ฉันไม่อยากเป็นแค่ 'สิ่งของ' ที่ถูกประดับอยู่ในบ้าน

คืนหนึ่งหลังจากที่ร้องเพลงให้คุณฟังแล้ว ฉันขอร้อง

ให้คุณพาฉันออกไปจากห้องนี้

จะแค่สนามเด็กเล่นหรือสวนสาธารณะข้างบ้านก็ได้

จะที่ไหนก็ไม่เป็นไร

ต่อให้ตำราอธิบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาวะในไฮโพทาลามัส ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาที่มีผลต่อสภาวะถดถอยของระบบร่างกาย ละเอียดแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้ได้ดีไปกว่า บทประพันธ์ท่อนนี้ท่อนหนึ่ง

ความเห็นแถมท้ายของผม ผมคิดว่าน่าเสียดายที่วรรณกรรมส่วนใหญ่ในสมัยนี้เน้นความ หวือหวา วาบหวาม อึกทึกครึกโครม แปลกพิศดารเรียกร้องความสนใจมากเกินไป (คาดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวัตถุนิยม) ทำให้ความสามารถในการเสพย์ความสุขที่ละเอียดอ่อนและความเข้าใจในมนุษย์ของคนในปัจจุบันลดน้อยถอยลง แต่ก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว
ปล.มายกระดับจิตใจ แก้เครียด ด้วยบทกวีปัญญาอ่อนของผมดูนะครับ
ในวันที่กระจั้วตัวแดงๆพร้อมที่จะสยายปีกโบยบิน
คือวันที่ฉันสิ้นเยื่อใยในตัวเธอ
เธอผู้ทำร้ายฉัน
เธอผู้น่ารักน่าชัง
เจ้าแมงกีซอน

ขำๆครับ อย่าคิดมาก (กลัวจะขำไม่ออกกัน)

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความเป็นอนิจจังของจิตกับกรอบความคิด

หมายเหตุ : นี่เป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างซื่อๆจากใจ อาจจะกระทบกระทั่งกับคำสอนของพระพุทธศาสนาก็ขออภัย เพราะผมเชื่อว่าการแสดงความคิดเห็นที่อ้อมค้อมและเสแสร้งเพื่อปกป้องตัวเองนั้น ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ใดเลย
ผมพอจะทราบมาว่า กฏที่ใช้บรรยายความเป็นไปของสรรพสิ่งในโลกตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาคือ กฏไตรลักษณ์ อันได้แก่ ทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา
วันนี้ผมจะขอพูดถึงกฏเรื่อง อนิจจัง(ความไม่แน่นอน) ของสภาวะจิตใจ
จากประสบการณ์ การปลูกฝัง และการเรียนคำสอนของพระพุทธศาสนา ทำให้ผมตระหนักว่าจิตใจของคนหนีไม่พ้นสภาวะอนิจจัง
ไม่ว่า สุข ทุกข์ เศร้า สนุก หรือ เฉยๆ ล้วนไม่คงอยู่ถาวร มีการเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอ
แต่เนื่องจากการได้อ่านหนังสือฮาวทูซึ่งส่วนใหญ่แปลจากนักเขียนตะวันตก บางเล่ม ที่เน้นย้ำเรื่องการทลายกรอบความคิดของตัวเอง ถ้าคิดว่าตัวเองทำได้ก็จะทำได้
ขอยกตัวอย่างการฝึกเหากระโดดในโหลของประเทศเม็กซิโก เพราะเหาคิดว่ากระโดดสูงไปเดี๋ยวหัวก็ชนฝา จึงไม่กล้ากระโดดออกไปทั้งๆที่ปากโหลเปิดอยู่
ผมขออนุญาตโยงเรื่องกรอบความคิดมาเกี่ยวกับคำสอนเรื่องอนิจจังของจิตหน่อยนะครับ
ในใจเมื่อมีทุกข์ย่อมมีสุขเป็นของคู่กัน ไม่มีสภาวะใดอยู่ได้คงถาวร
ในหัวผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า เราอยากจะมีความสุขตลอดเวลาไม่ได้เหรอ?
ถ้าหลักคำสอนเรื่องอนิจจังตอบว่าไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นคำถามที่สองที่ผุดขึ้นมาก็คือ การนำกฏเรื่องอนิจจังมาอธิบายสภาวะของจิตเป็นการตีกรอบความคิดของเราหรือเปล่า
อาจเพราะเราเชื่อในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เชื่อว่าทำไม่ได้แน่ เลยทำไม่ได้สักที
สมมติว่าคนหนึ่งเชื่อว่าตนทำได้ ตั้งปณิธานไว้ว่าเราจะเป็นผู้มีแต่ความสุขนับแต่บัดนี้ ทุ่มเทชีวิตฝึกฝนและคิดค้นทุกวิถีทาง ฝึกยิ้มรับกับทุกความเจ็บปวด
เขาจะมีทางทำได้ไหมครับ เขาจะมีโอกาสได้เป็น happy man สมดังใจไหมครับ?
แล้วเคยมีใครลองทำหรือยังครับ?
ตัวผมไม่เคยลอง อยากลองอยู่แต่ไม่กล้า เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินไป ที่แน่ๆตัวผมตอนนี้มีแต่กรอบเต็มไปหมด
สมมติคนๆหนึ่งอยากบินด้วยตัวเอง เริ่งตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ ฝึกกระพือแขนและกระโดดลงมาจากที่สูง เริ่มจากเตี้ยๆก่อนแล้วค่อยสูงขึ้นวันละนิดๆ ทุ่มเทชีวิตให้กับสิ่งนี้
สักวันหนึ่งเขาอาจจะบินได้ก็ได้ ผมก็ไม่รู้เพราะไม่เคยเห็นใครลองทำ
ความคิดเห็นเหล่านี้ของผมอาจจะห่างไกลจากแก่นของพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยเรื่อง “การละตัวกูของกู”
แต่ผมคิดว่ามันเป็นกระพี้ที่น่าสนใจนะครับ
ปล.หวังว่าบทความต๊อกต๋อยชิ้นนี้ จะไม่กระทบกระเทือนพระพุทธศาสนาแต่อย่างใดนะครับ ผมยิ่งกลัวๆอยู่ อิอิ

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปีศาจขโมยเวลา

ปีศาจขโมยเวลา

ในยามที่ผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ในยามที่เผลอไผลไม่ได้สติจนลืมเวลา ในยามที่ขยาดใจกับการนึกถึงสิ่งที่ต้องทำที่ยังค้างอยู่ กลายเป็นนักแผนที่จับจด ผลักรายการที่ต้องทำทุกอย่าง ผลักการวางแผนซึ่งเป็นหนึ่งในหน้าที่ของชีวิตให้เลื่อนไปวันพรุ่งนี้ เหลือบมองดูนาฬิกาพบว่ายังมียี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนเก่า แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเวลาบางส่วนมันหายไปราวกับถูกขโมย คงเป็นเพราะในยามที่เราหลับ ปีศาจตนหนึ่งที่ชื่อความเกียจคร้าน ได้ย่องมาขโมยเวลาของเราไป ทำให้การหลับตื่นหนึ่ง ผ่านไปหลายชั่วโมงในพริบตาเดียว

การปล่อยเวลาให้ถูกขโมยไป มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในยามที่เราเจ็บปวดหรือสุดจะทนทางใจกับวันๆนั้น การหลับและตื่นขึ้นมาเริ่มต้นอีกครั้งกับวันใหม่คือสิ่งที่เราต้องการ แต่ในยามที่เรามีพลังพอจะสานต่อความฝัน การถูกขโมยเวลากลับเป็นการบั่นทอนพลัง เพราะปีศาจ “เกียจคร้าน” เมื่อได้กินเวลาของเราแล้วมันก็จะมีพลังมากขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น เวลาแปดชั่วโมงที่เราให้มันอยู่ทุกวันก็ชักจะไม่พอ มันจะเริ่มคุกคามแม้กระทั่งตอนที่เราตื่นอยู่ ถ้าเราฝืนตื่นจนมันรู้ว่าเราไม่ยอมมัน มันก็จะเริกราไป หันไปบริโภคเวลาที่เราแบ่งสรรให้มันอย่างพอเพียง แตถ้าเราอลุ่มอล่วยให้มัน ยอมแบ่งปันเวลาให้กับมันอีกมันก็จะยิ่งได้ใจ พลังที่จะสานความของเราให้เป็นจริงก็จะถูกมันสูบไป เหลือแต่ชีวิตที่งัวเงีย แห้งแล้งและไร้ความหมาย

การเดินทางที่ยิ่งให่มีขึ้นได้ด้วยการเดินก้าวเล็กๆนับร้อยนับพันก้าวมาต่อรวมกัน การที่ผมฝืนความง่วงขึ้นมาเขียนบทความชิ้นนี้ ผมรู้สึกว่าเป็นก้าวเล็กๆที่สำคัญก้าวหนึ่ง หลังจากที่นอนบนเตียงไม่ปูผ้าปูมาหลายวัน ผมตัดสินใจปูดูทั้งๆที่ในใจผมบอกว่า ไม่ปูก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ก้าวเล็กๆแห่งการเริ่มต้นนี้ฉายแสงสว่างให้แก่ผม ทำให้ผมมองเห็นความสำคัญของมัน ผมมีพลังที่จะสานฝันของตัวเองมากขึ้น มีพลังใจในการเขียนบทความชิ้นนี้ เผื่อว่าจะช่วยให้ใครบางคนสามารถปลดแอกตนเองจากพันธนาการของปีศาจที่มีชื่อว่า “ความเกียจคร้าน” ผมไม่ได้หวังว่ามันจะมีประโยชน์คณานับอะไร อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีความรู้สึกว่าตนเองมีอิสระมากขึ้น และมีประโยชน์ต่อสังคมแม้ว่าจะน้อยนิดก็ตาม