วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

เดี๋ยวก็ชิน

เดี๋ยวก็ชิน
ฉันโล่งใจเมื่อรวบรวมความกล้าประกาศตัวเองให้เป็นอิสระจากความแห้งเหี่ยว ณ ร้านอาหารตามสั่งร้านเดิม ที่นั่งประจำที่เดียวกันกับเมื่อสามเดือนก่อน ฉันคิดว่าเป็นการกระทำที่สมควรแล้ว ทุกคนมีอิสระเป็นของตัวเอง ฉันเลือกที่จะไม่จมปลักกับชายที่กำลังซบหน้าลงกับฝ่ามือร้องไห้คนนี้ ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาการใช้ชีวิตร่วมกับเขาช่างซังกระตาย กิจวัตรประจำวันซ้ำๆซาก กลางวันไปทำงาน กลับมาก็หมกตัวอยู่แต่ในอพาร์ตเม้นท์ ฉันเบื่อที่จะเห็นเสื้อเชิร์ตขาวกางเกงสแล็คที่เขาใส่ได้ทุกวี่ทุกวัน เบื่อร้านอาหารร้านนี้ที่พามาทุกครั้งเมื่อต้องการเอาใจฉัน
“คุณว่าดีแล้วเหรอที่เราจะแยกทางกันอย่างนี้”
“ฉันมีทางเดินของฉัน”
“ขอโอกาสผมปรับปรุงตัวหน่อยได้มั้ย”
“คุณดีเกินไปสำหรับฉัน”
“ถ้าคุณต้องการเช่นนั้นก็แล้วแต่คุณ ผมไม่มีสิทธิไปห้าม แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ผมก็ยินดีต้อนรับคุณกลับมาเสมอ”เขากางแขนออกทำท่าเหมือนจะโอบกอด
“คุณดีเกินไปจริงๆ”
ฉันชักขยาดผู้ชายประเภทมนุษย์เงินเดือนเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ฉันตัดสินใจคบเขา ก็เพราะเห็นว่าฐานะมั่นคงและเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ ในตอนแรกฉันอาจจะรักเขาจริงๆก็ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคงเส้นคงวาจนเกินเหตุ และวิถีชีวิตที่เป็นรูปแบบของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกจองจำไปด้วย มันทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนๆของฉัน สมัยที่คบกันเราสนุกสุดเหวี่ยง ซ้อนมอเตอร์ไซต์ตระเวนราตรี ปลดปล่อยอารมณ์ตามสถานเริงรมย์ เราในฐานะผู้ใช้ชีวิตมีหน้าที่แสวงหาความสุข แล้วจะไปทนกับความเบื่อที่ไร้สาระเหล่านั้นทำไม
ฉันได้มาสนุกกับเพื่อนๆอีกครั้ง ฉลองวันปลดปล่อยพันธะทางหัวใจให้กับตัวเอง ทั้งๆที่จากกันตั้งนานน่าจะมีเรื่องอยากเมาท์กันให้แซ่ด แต่ทำไมฉันถึงคุยกับเพื่อนไม่ค่อยติดก็ไม่รู้ แสงสีวูบวาบท่ามกลางความมืดและความเบียดเสียด ชายหนุ่มรูปลักษณ์โดดเด่นคนหนึ่งเดินฝ่าฝูงชนมาจากโต๊ะอีกฟากหนึ่ง เรือนร่างของเขากระตุ้นความเร่าร้อนของฉันทันทีที่เห็น อีกทั้งใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนเสือขี้เล่นนั้นอีกเล่า
“เต้นกับผมไหมครับ”
ฉันเล่นตัวเล็กน้อยก่อนจะตกลงให้เขาจูงมือเดินไปที่ฟลอร์ ฉันสวมเดรสสีแดงรัดรูปมาวันนี้ก็เพราะกะจะแผลงฤทธิ์อยู่แล้ว ทว่าสามเดือนที่ฉันจมปลักกับความแห้งเหี่ยว เหมือนกับว่าฉันถูกสูบความสุนทรีย์ออกไปจากหัวใจจนเกือบหมด เขาเต้นกับฉันสักครู่หนึ่งก็ยิ้มแห้งๆ กล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปหาเหยื่อรายใหม่ ฉันรู้สึกหน้าชาแต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดีปลอบใจตัวเอง กลับไปนั่งโต๊ะกับเพื่อนๆ เพื่อนๆไม่ได้พูดถึงฉัน และทำเป็นไม่ได้สนใจฉัน วิจารณ์ผู้ชายคนนู้นทีคนนี้ทีแล้วก็หัวเราะกระซี้กระซิก ฉันก็พยายามกู้ความมั่นใจของตัวเองกลับมาด้วยการยิ้มและหัวเราะฝืนๆผสมโรงกับเพื่อน เมื่อก่อนฉันเปรียบเสมือนดาวเด่นของกลุ่ม แต่วันนี้กลับมากลายเป็นตัวประกอบไปเสียได้ ฉันพยายามยิ้มกับตัวเองและไม่คิดมากกับมัน แต่มันก็เป็นแค่การหลอกตัวเองทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ
ก่อนจะกลับฉันเห็นหนุ่มคนที่เต้นกับฉัน โอบเอวเพื่อนของฉันคนหนึ่งพากันเดินออกจากผับ เพื่อนฉันคนอื่นๆก็หัวเราะต่อกระซิกซุบซิบกันว่า พาไปต่อที่อื่นแหงๆ ไม่มีใครสนใจฉัน ฉันล่ำลากับเพื่อนอยากลวกๆตามประสาคนรู้จักก่อนจะกลับออกมา ฉันว่าอากาศหนาวเกินกว่าจะโชว์ไหล่เปลือยเปล่า หรือต้นขาขาวๆ ตอนนี้ฉันไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาทักหรือทำความรู้จักเพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายพอใจได้หรือไม่ ฉันเข้าห้องน้ำและเปลี่ยนจากเดรสสีแดงเป็นชุดลำลองธรรมดา
ฉันกลับไปยังอพาร์ตเม้นท์ ที่ๆฉันจมปลักกับความแห้งเหี่ยวอยู่กว่าสามเดือน ประตูยังเปิดอ้าค้างไว้ และเขาก็ยืนรออยู่ เขาส่งยิ้มให้ กางแขนออกทำท่าเหมือนจะโอบกอด เหมือนประตูขุมนรกที่นำไปสู่ความเบื่อหน่ายซังกะตาย ฉันเข้าประตูไปซุกกายอยู่กับอ้อมอกมัจจุราช ประตูนรกปิดเข้าหากันกระชับแผ่นหลังของฉันไว้
“ไม่ว่าจะกี่ครั้งๆ ผมก็มั่นใจว่าคุณจะกลับมาหาผมเสมอ”
เพระเหตุนี้ล่ะมั้งเขาถึงเปิดประตูไว้และยืนรออยู่ ฉันพริ้มตาสัมผัสมือกับแผ่นหลังของเขา นรกขุมนี้ยังถือว่าอบอุ่นเมื่อเทียบกับขุมอื่นๆข้างนอกนั่น …..อยู่ๆไปเดี๋ยวก็ชินเอง

2 ความคิดเห็น:

  1. อ่านจบแล้ว


    มาบอก

    ^^

    ตอบลบ
  2. เง้อ เป็นอะไรที่มองโลกในแง่ร้ายมาก ๆ

    เลยไม่รู้จะว่าอะไรดีนอกจาก
    ...ใจร้าย

    ตอบลบ