วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หมาไม่รับประทาน




มันเป็นศึกดวลลูกสักกะหลาดที่มันส์ระเบิด ไม่ใช่ศึกแกรนด์แสลมระหว่างเฟเดอร์เรอปะทะนาดาล แต่เป็นศึกระหว่างผมกับรุ่นน้องชั้นม.2คนหนึ่ง ตีไม่แรงเท่าไหร่แต่เหนียวมาก และโยกดีด้วย ผมอาศัยข้อได้เปรียบตรงที่ช่วงแขนขายาวกว่าและกำลังที่มากกว่าเพราะอยู่ม.6แล้ว ไล่ตามเก็บได้หมดทุกลูก ไม่มัวเสียเวลาคิดว่าควรจะปล่อยลูกไหนทิ้งไป เพิ่งผ่านไปสามเกมอย่างกะเล่นมาแล้วสี่เซ็ต แสบคอ ปากแห้ง น้ำลายเหนียว เนื้อตัวกระปลกกระเปลี้ยเบาหวิว กติกากำหนดไว้ว่าตัดสินภายในเซ็ตเดียวโดยที่ไม่มีการพักระหว่างเกม จึงไม่มีโอกาสงามๆสำหรับดื่มน้ำดับกระหาย ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามซึ่งเด็กกว่ายังไม่ดื่ม ผมในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ก็ต้องไม่ดื่มเช่นกัน ดวงอาทิตย์ยามก่อนบ่ายฉายแสงแรงกล้า เปียกทั้งตัวราวกับไปอาบน้ำมาทั้งชุด ผลสุดท้ายผมชนะได้ด้วยการเล่นไทเบรคเจ็ดต่อหก
พี่วิ่งเร็วจริงๆ แถมยังอึดมากด้วย
ผมโบกมือตอบรับคำชมของรุ่นน้อง แต่ปากคอแห้งจนพูดลำบากมากจึงเปลี่ยนใจไม่พูดเสียดีกว่า คู่แข่งและเพื่อนๆชั้นม.2ของมันสวัสดีผมด้วยความยำเกรงกึ่งเป็นกันเอง จากนั้นก็เดินออกจาคอร์ทไป ส่วนตัวผมพออะดรีนาลีนหยุดหลั่ง ขาก็ทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น
โอ๊ยๆๆๆขาหลังข้างซ้ายดันมาเป็นตะคริวเสียได้
ผมพยายามยืดเส้นต้นขาตัวเอง ปล่อยให้แดดแผดเผาตัวเองต่อไป ยืดจนรู้สึกว่าดีขึ้นแต่ยังไม่หายดี ความกระหายรุกเร้าให้ผมเดินขะย่องขะแย่งไปยังเก้าอี้ยาวๆตัวหนึ่งสำหรับวางข้าวของและให้ผู้ชมสามสี่คนนั่งดู มีหลังคาสังกะสีสีเขียวให้ร่มเงาด้วย ร่างกายโหยหาเครื่องดับกระหาย ที่ผมเตรียมเอาไว้ก็คือแก้วน้ำเปล่าใส่น้ำแข็ง แต่พอไปถึงก็พบว่ามันถูกซดไปเสียเกลี้ยงไม่เหลือน้ำแข็งสักก้อน ไอ้กลุ่มเด็กม.2บางคนคงแอบซดเพราะทนกระหายไม่ไหว อาจจะทุกคนรวมใจกันซดก็ได้ ผมแหงนหน้าอ้าปากยกแก้วพลาสติกที่เหลือเพียงกลุ่มหยดน้ำก้นแก้ว เมื่อหยดน้ำที่ไหลอ้อยอิ่งผ่านช่องปากลงสู่ลำคอ แทนที่จะดับกระหายกลับกระตุ้นความกระหายของผมให้แรงขึ้นกว่าเก่า ผมกวาดตาล่อกแล่ก ที่พึ่งแรกที่นึกได้ก็คือร้านภิรมย์นมสด ซึ่งอยู่เยื้องสนามเทนนิสไปเล็กน้อยพอไปถึง คำตอบแรกที่ผมได้จากป้าภิรมย์ หญิงวัยสี่สิบปลายผมสั้นประท้ายทอย ผิวคล้ำ ใบหน้าขรุขระคือ
น้ำเปล่าหมดลูก
ผมเหลือบมองน้ำปั่นหลากสี จากนั้นล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาเปิดดู ไอ้หยา! เหลืออยู่ยี่สิบบาท หวุดหวิดค่านั่งรถสองแถวกลับบ้านพอดี(ต้องต่อราคาก่อน) ผมเหลือบมองกระปุกผงโกโก้ เหลือบมองเครื่องปั่น พลางกลืนน้ำลายเอื้อกอย่างยากเย็น ใจหนึ่งก็อยากจะเอ่ยปากขอแปะเงินป้าภิรมย์ไว้ก่อน แต่คิดดูแล้วช่างน่าอาย ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยยืมหรือติดเงินใครเลย
เอาไว้วันหลังแล้วกันครับผมพูดเสียพร่า ฉีกรอยยิ้มแห้งผาก
ตู้กดน้ำดื่มของโรงเรียนนั้นเอาไว้ก่อน เพราะรสชาดไม่ค่อยดี เป้าหมายที่สองชองผมคือเซเว่นอีเลฟเว่น ระหว่างการเดินจะเดินเร็วไปก็ไม่ได้ มิฉะนั้นอาการตะคริวที่ขาหลังด้านซ้ายจะกำเริบแปล๊บขึ้นมาทันที ดวงอาทิตย์แผดแสงอย่างไร้ความปราณี เนื้อตัวที่ทำว่าจะแห้งก็ชุ่มอีกครั้งด้วยเหงื่อที่ออกไม่หยุด พอมาถึงริมถนนก็หยุดยืนให้รถราวิ่งผ่านหน้าไป สายลมตีอุ่นๆชวนหายใจมิใคร่ออก มองขวามองซ้ายแล้วข้ามไป เซเว่นรออยู่เบื้องหน้า พอผลักประตูกระจกใสเข้าไปเสียงกริ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเซเว่นอีเลฟเว่นก็ดัง เข้ามาในร้านแล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่าตังค์ไม่มีนี่หว่า ผมเดินถอยหลังออกมาจากร้าน เดินช้ามไปอยู่เส้นสีเหลืองแบ่งครึ่งกลางถนน รถราตรงหน้าผมแล่นมาจากไหนไม่รู้ต่อกันเป็นแถวยาวพรืด วิ่งกันเฟี้ยวฟ้าวตีลมผ่านหน้าผม เมฆก้อนเล็กๆบดบังแสงชั่ววูบหนึ่งแล้วคล้อยผ่านไป ความกระหายรุกเร้าให้ผมเดินกลับเข้าไปในเซเว่นอีกครั้ง
ผมเดินเข้ามาอย่างไม่สนใจใครเพราะการดับร้อนดับกระหายสำคัญที่สุดในยามนี้ รู้แต่ว่ามีคนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยม นิสิตนักศึกษา หรือมนุษย์เงินเดือน ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างๆตู้กดน้ำเกล็ดหิมะ(สเลอร์ปี้) คนแรกเป็นชายศีรษะล้านเลี่ยนมันปลาบ สวมเสื้อเชิร์ตสีชาว กางเกงสแล็คและแว่นตา กดน้ำเกล็ดหิมะสีน้ำตาลคล้ำที่ต่อกันเป็นสายลงไปในแก้วอย่างไม่ชาดไม่เกิน แล้วเดินออกไปอย่างเคร่งขรึม ไม่สนใจเด็กนักเรียนชายผู้ต่อแถวอยู่ข้างหลังที่ซึ่งกำลังส่งยิ้มให้ เด็กนักเรียนเดินเข้าไปกดต่อ เขาเลือกแก้วขนาดกลาง กดเสียพูนแก้ว เอาริมฝีปากเม้มเขมือบหายไปพร่องปากแก้ว เติมใหม่แล้วเขมือบใหม่ ทำเช่นนี้หลายครั้งจนผมต้องกระดิกเท้าแต่ไม่กล้ากระแอมไอเพราะกลัวอ้วก ผ่านไปสี่ห้ารอบคาดว่าเด็กคนนั้นคงหนำใจแล้ว เขาหันมาส่งยิ้มให้ผมแล้วเดินเฉียดไหล่ผ่านผมไป ผมรีบเดินเข้าไปประกบเครื่องกดอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่สามารถ มือกระชับคันโยกเล็กๆ ย่อเข่าก้มหน้าแหงนคออ้าปากรอให้น้ำเกล็ดหิมะไหลลงสู่ช่องปาก แต่ก่อนที่จะกดหางตาผมก็เหลือบเห็นเงาคนตะคุ่มๆอยู่ข้างหลัง ผมหันไปดูพบว่าเป็นพนักงานชายสวมเสื้อเชิร์ตสีเขียวอ่อน รูปร่างเตี้ยล่ำ ผมรองทรงไว้เคราแพะ มือขาวกำผ้าขี้ริ้วขนหนู สายตามองมายังผมอย่างเฉยชา แต่ผมนี่รู้สึกชาที่หน้าขึ้นมาเลย แกล้งหันกลับไปก้มหัวต่ำลง แหงนหน้ามองส่องขึ้นไปเพื่อให้เขาเข้าใจว่าเรากำลังดูอะไรบางอย่างทีอยู่ในรูทางออกของน้ำเกล็ดหิมะอยู่ จากนั้นเดินก้มหน้างุดๆเฉียดไหล่พนักงานคนนั้นออกจากเซเว่นมา เสียเวลายืนตากแดดบนเส้นเหลืองแบ่งครึ่งถนนครู่หนึ่ง หน้ามืดวูบวาบร่างส่ายโงนเงน มีจังหวะหนึ่งที่โตโยต้ายาริสสีชาวเฉี่ยวผ่านหน้าผมไปพร้อมเสียงแตรดังลั่น ช่วยปลุกผมจากภวังค์ ผมสั่นศีรษะสลัดความมึน รอให้ชบวนรถราทิ้งช่วงห่างแล้วจึงข้ามไป
เป้าหมายที่สามคือตู้กดน้ำของโรงเรียน ลำคอแสบ น้ำลายเหนียวจนกลืนไม่ได้ เพราะถ้ากลืนอาจจะไอและอ้วกออกมา ผมไม่ชอบรสชาดน้ำดื่มสาธารณะเพราะรสชาดมันคล้ายน้ำประปราที่มีกลิ่นโลหะเจือปน ตู้กดน้ำดื่มตั้งอยู่ในโรงอาหาร ระยพทางที่เคยคิดว่าใกล้บัดนี้รู้สึกว่าไกลโข มันเป็นตู้ทำจากเหล็กตู้หนาๆสี่ขาตั้ง สูงระดับอก ผมก้มหน้าแหงนคออ้าปาก สันมือกดประทับปุ่มทรงกระบอก แต่น้ำดื่มสาธารณะเจ้ากรรมดันไม่ไหลลงมา เปลี่ยนไปใช้อีกสองก๊อกข้างเคียงก็ไม่ไหลเช่นกัน ผมรีบมองหาเป้าหมายที่สี่นั่นก็คือห้องน้ำชาย
ห้องน้ำชายปูพื้นและผนังด้วยกระเบื้องสีเหลืองนวล พอแสงแดดจากภายนอกที่ส่องผ่านช่องประตูและหน้าต่างกระจกฝ้าเข้ามาตกกระทบ ทั้งห้องก็จะมีบรรยากาศสีเหลืองนวลไปด้วย ซิงค์น้ำอยู่หน้าทางเข้า มีสองอ่างติดกัน ทางขวามือเป็นโถปัสสาวะสามโถคั่นระหว่างกลางด้วยแผ่นเซรามิกซ์หนาๆ โถกลามีรุ่นน้องม.4คนหนึ่งประกบอยู่ ผมเดินเข้าประชิดอ่างล้างหน้า จุ่มหน้าลงไปแล้วหมุนก๊อก ไม่รู้ว่าโรงเรียนนี้เป็นบ้าอะไรในวันนี้ น้ำไม่รู้จักไหลสักที่ น้องม.4มองผมแล้วพูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า
น้ำไม่ไหลตั้งแต่เช้าแล้วพี่ ทั้งโรงเรียนเลย
ผมเกือบทุบกระจกแตก ดีที่หักใจเดินออกมาได้เสียก่อน เมื่อออกมาสู่โรงอาหารที่นักเรียนคราคร่ำ ผมสอดส่ายสายตาไปตามเครื่องประดับฉากที่มีชีวิตเหล่านี้
บังเอิญเหลือบไปเห็นเพื่อนร่วมชั้นชายคนหนึ่ง จักรินทร์เดินสะพายกระเป๋าด้วยไหล่ขวาข้างเดียวมาพอดี มันเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่เมื่อก่อนผมไม่อยากนับเป็นเพื่อนเท่าใดนัก แต่ตอนนี้คงต้องนับไปพลางๆก่อน จักรินทร์ไม่มีเพื่อนสนิท เพราะมันชอบพูดอะไรขวานผ่าซากไม่เกรงใจใคร และชอบพูดอะไรเป็นเชิงปรัชญาและนามธรรมที่เข้าใจยาก ออกจะติดเพ้อเจ้อเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆผมไม่อยากคุยด้วย แต่ตอนนี้ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองแล้วเดินเข้าไปหา
จักรินทร์ ขะ..ขอผมกระแอมสบัดความแห้งที่ลำคอและความอายออกไปอย่างระมัดระวังไม่ให้อ้วกออกมา ขอยืมเงินหน่อย
จักรินทร์ยืนนิ่งสบตาผมด้วยท่าทีที่เฉยชาครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นว่า
เราไม่ชอบนายในตอนนี้ สายตานายบ่งบอกว่านายเห็นแต่ความสำคัญของตัวเอง นายมองคนอื่นเป็นเหมือนฉากที่ดิ้นได้ เราสาบานกับฟากฟ้าว่าจะไม่ช่วยเหลือคนแบบนี้ ดังนั้นเราจะไม่ช่วยเหลือนาย สุดท้ายก็จะไม่ให้นายยืมเงิน
มันเดินชนไหล่ผ่านผมไป ผมหันหลังไปชูนิ้วกลางให้แทนคำด่าที่แห้งผากทั้งหมดทั้งมวล เพิ่งจะครึ่งวันก็สะพายกระเป๋ากลับบ้านแล้ว ไม่เสียดายตังค์พ่อแม่ส่งมาเรียนหรือวะ ไอ้ถ่วงความเจริญชาติ วันๆดีแต่เพ้อเจ้ออวดฉลาด ผมเดินออกจากโรงอาหารมา เพื่อนร่วมชั้นชายซึ่งเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่งเดินผ่านหน้าผมไปหยกๆ ผมนึกชื่อไม่ออก ผมหยิกติดหนังศีรษะ หูกาง ช่วงปากกว้างและยื่นออกมามากกว่าช่วงหน้าผาก ไม่ได้สวมแว่นตา จมูกใหญ่ๆชอบขยับไปมาเหมือนเจ้าตูบพิฆาตกลิ่น ผมเดินขะย่องแขย่งตามให้ทัน ต้องคอยระวังไม่ให้ตะคริวกำเริบด้วย ช่างเหนื่อยและลำบากเหลือแสน ผมเอื้อมมือไปสะกิดหลังของเขา เขาหยุดเดินแล้วหันหลังมา
สวัสดี มีธุระอะไรกับเราเหรอ
ผมรวมความกล้าอ้าปากกล่าวออกไปว่า คือเรา..แค่กๆผมไอแห้งๆจนเกือบอ้วกออกมา
เพื่อนเด็กเรียนใช้สายตาสำรวจร่างที่โชกเหงื่อของผมอย่างหวั่นๆ
หักโหมเล่นมากไปแล้ว ดื่มน้ำสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น
คือเราอยาก....แค่กๆๆ..ผมไอแห้งๆจนเกือบอ้วกออกมาอีกครั้ง ขย้อนจนรู้สึกเปรี้ยวๆที่ลำคอแต่ก็กลืนกลับลงไป จากนั้นก็ไอต่ออีกยกใหญ่ ไอ้ร่างกายเวรนี่เป็นของเราเแท้ๆ ดันมาทรยศในช่วงเวลาสำคัญเสียได้
เรามีงานค้างอยู่ ต้องไปรีบสะสาง รักษาตัวดีๆนะ
เพื่อนเด็กเรียนดีเดินจากไป ไม่มีกะจิตกะใจจะเดินตามไปไอใส่หน้ามันอีกแล้ว ที่พึ่งอีกที่หนึ่งที่นึกได้ ที่ๆไม่เคยได้เฉียดกายเข้าใกล้มากว่าสามปีนั่นก็คือห้องสมุด จำได้ว่าที่นั่นมีที่กดน้ำเย็นเจี๊ยบอยู่ด้วย ระยะทางสองร้อยเมตรตอนนี้ไกลยังกะสองไมล์ ทนเดินขะย่องขะแย่งบากหน้าไป ระหว่างทางผ่านบริเวณหน้าศาลาสำหรับประกอบกิจกรรมซึ่งเป็นลานจอดรถ มีเชิงปูนก่อสูงขึ้นมาสำหรับปลูกดอกเข็มเรียงราย กำลังเดินได้จังหวะข้อเท้าก็เสือกพลิก ตัวก็ทรุดล้มลงไป พยายามชันกายลุกขึ้นตะคริวก็ดันกำเริบจนต้องล้มลงไปนอนปวดอยู่กับพื้น ไอ้ร่างกายทรพี! ไม่รู้จักบุญคุณกูที่เป็นผู้คุ้มหัวกบาลมึงอยู่ แดดแม่งก็เปรี้ยงๆ กูยังไม่อยากตายเพราะเรื่องโง่ๆแบบนี้ แค่อ้าปากส่งเสียงร้องขอชีวิตกูยังไม่มีปัญญาจะทำเลย ไอ้รถและคนที่ผ่านมาก็ดีแต่มอง จะมีใครมีน้ำใจช่วยดับกระหายให้กูบ้างมั้ยโว้ย! ทำไมโลกมันถึงได้เส็งเคร็งอย่างนี้!

15 นาทีผ่านไป

แดดยังคงแผดเผาเปรี้ยงๆไม่ราแรง รอบข้างปราศจากผู้คนและรถราเพราะได้เวลาเข้าเรียนภาคบ่ายแล้ว ผมอ่อนแรงเกินกว่าจะขบถต่อความตายที่กรายเข้ามาใกล้ ผมกลัวและคอแห้งเกินกว่าจะร้องไห้กับสิ่งที่มวลมนุษยชาติยากจะยอมรับ ผมเลือกทำใจปลงซึ่งเป็นทางเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ มีเวลาและความจำเป็นให้ผมฝึกหลักสูตรการปลงเร่งรัดนี้อยู่มากโข สายตาเริ่มพร่าเลือน ผมพยายามใช้เทคนิคของหนูน้อยไม้ขีดไฟบิดเบือนภาพที่เห็นให้กลายเป็นสวนสวรรค์ขนาดย่อม ได้ผลจริงด้วย สักพักก็มีนางฟ้าชุดขาวองค์หนึ่ง โฉบเข้ามาเหนือบใบหน้าของผม ยกคนโทขึ้นเท ผมอ้าปากรองรับน้ำอัมฤตนั้น สายน้ำสีเหลืองเข้มกลิ่นเตะจมูกพุ่งลงมาเป็นสายอย่างสวยงาม นางฟ้ายิ้มพริ้มตา พอน้ำอมฤตไหลผ่านลำคอ ความกระหายส่วนใหญ่ก็ปลาศนาการหายไป ภาพแห่งความเป็นจริงกระจ่างชัดขึ้นอีกครั้ง ไอ้โจ้ ลาบราดอร์ตัวสีขาวประจำโรงเรียนกำลังพริ้มตายกขาปล่อยน้ำแสดงอาณาเขต จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆจากไป ผมชันกายขึ้นนั่ง เอาข้อมือเช็ดป้ายรอบปาก จากนั้นค่อยลุกขึ้นยืน อาการตะคริวกินหายเป็นปลิดทิ้ง ผมเดินไปก้มสำรวจดูต้นดอกเข็มบนเชิงปูนบริเวณนั้น

พระเจ้า! เพิ่งเคยเห็นเอ็งสวยงามขนาดนี้ก็วันนี้ล่ะผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ชุ่มชื่นที่สุดเท่าที่เคยพูดมา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น