วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แขวนใจให้ถูกที่



เมื่อเราอยากให้เขาปฏิบัติต่อเราอย่างไร  เราก็ควรปฏิบัติเช่นนั้นต่อเขาก่อน  กฎข้อนี้ส่วนใหญ่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน  แต่มักจะไม่ค่อยประสบผลเมื่อใช้กับเรื่องความรัก  ทุกวันนี้การรักเขาข้างเดียวกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ   เมื่อรักใครสักคน ก็อยากแสดงให้เขารู้  มอบดอกไม้ เอาอกเอาใจ เป็นห่วงเป็นใย  ลึกๆก็หวังว่าจะได้รับความรักจากเขาตอบแทนบ้าง  แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่เป็นไปตามที่หวัง  และคนที่ผิดหวังก็ต่อยอดกลายเป็นคนอกหักที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน  มีตั้งแต่แค่ซึมๆจ๋อยๆ  ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวน  กินของหวานไม่ได้มันขมปากไปหมด  ต้องกระดกแก้วเหล้าอย่างเดียว  จนถึงขั้นอยากกระโดดตึกอยากกรอกปากด้วยยาพาราเพื่อลาโลก
แต่ก่อนที่จะกรอกยาใส่ปากหรือก้าวเท้าลงจากขอบตึกก็อยากให้ลองคิดย้อนกลับไปหน่อย  วินาทีแรกที่เราลืมตาออกมาดูโลกพร้อมกับเปล่งเสียงร้องไห้จ้า  ตอนนั้นเรามีอะไรติดตัวมาบ้างนอกจากสายสะดือที่เชื่อมกับรกของแม่  สิบกว่าปีที่ผ่านมาก่อนจะเข้าสู่วัยแห่งความรัก  ก่อนที่จะได้มาเจอกับคนที่ใช่  เราก็ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างปรกติสุขไม่ใช่หรือ    ต่างจากวันนี้ที่ร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อผิดหวังจากเธอคนนั้น     เมื่อไม่มีเธอชีวิตก็เหมือนขาดอะไรไป  เหมือนสวมรองเท้าข้างซ้ายโดยไม่มีรองเท้าข้างขวา  แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าเมื่อก่อนเราเคยเดินเท้าเปล่ามาตลอดและก็มีความสุขกับมันดี  ตอนนี้เราแค่ไม่ชินกับการกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง  แต่เมื่อใช้เวลาปรับตัวสักพักเราก็จะชินกับมันและสามารถกลับไปเดินเท้าเปล่าได้อีกครั้งอย่างปรกติสุข
พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จักอยู่กับปัจจุบัน  ผมว่ามันเป็นคำสอนที่วิเศษมาก  สาเหตุที่ทำให้คนอกหักและเจ็บช้ำปางตายก็เพราะการไม่อยู่กับปัจจุบันนี่แหละ  มองไปยังภาพวันเก่าๆที่เราเคยรักกันหวานแหววแล้วรู้สึกเสียดาย  มองไปยังวันข้างหน้าแล้วหัวใจสลายเพราะความหวังที่วาดฝันเอาไว้พังทลายไปหมด  หันมามองตัวเองตอนนี้ก็ใจหดเมื่อเขาไม่อยู่ข้างๆเราเหมือนเมื่อวาน  แต่เราลืมมองไปหรือเปล่าว่าตอนนี้เรายังหายใจอยู่  มือและเท้าของเรายังอยู่ครบสามสิบสองเหมือนตอนที่เราเกิดมาใหม่ๆ  สิ่งที่ทำเราเจ็บช้ำปางตายน่ะจิตเราปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น  ผมไม่ขอใช้สำนวนเทศนาโวหาร เพราะผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนธรรมะธรรมโม   ผมขอเปรียบเทียบเป็น “การแขวนใจ”ตามแบบฉบับของผมเองแล้วกัน
การแขวนใจก็เหมือนการตากเสื้อผ้าให้แห้งนี่แหละครับ  เมื่อเธอเดินเข้ามาในชีวิตฉันก็เปรียบดั่งแสงตะวันส่องให้โลกของฉันสดใส  อยากให้ผ้าแห้งไวๆก็ต้องเอาไปตากข้างนอกนั่น  ยิ่งเธอบอกว่าจะรักฉันคนเดียวตลอดไปฉันก็ยิ่งตายใจนอนรอให้เสื้อผ้าแห้งอย่างมีความสุข  ลืมนึกถึงธรรมชาติของสภาพอากาศที่แปรปรวน  เมื่อมีแดดออกก็ต้องมีฝนตก  คำพูดของเธอก็เปรียบได้กับคำพยากรณ์อากาศที่เอาแน่เอานอนได้ไม่มาก   เมื่อเธอหมดรักหรือมีคนใหม่ก็เปรียบเหมือนห่าฝนที่อยู่ดีๆเทกระหน่ำลงมา  สุดท้ายเสื้อผ้าที่ตั้งใจจะตากไว้ให้แห้งกลับเปียกยิ่งกว่าเก่า  หลายคนทำใจไม่ได้ก็คิดอยากลาโลกนี้ไป  ทั้งๆที่ผ้าที่เปียกโชกนั้นเราสามารถทำให้แห้งใหม่ในวันหน้าได้
การแขวนใจเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง  บางคนกลัวว่าวันหน้าจะพลาดท่าทำใจเปียกเพราะสภาพอากาศไม่แน่นอน เลยแขวนไว้แต่ในบ้าน  ก็เหมือนกับคนที่ไม่ยอมเปิดใจรักใครนั่นแหละครับ  ปลอดภัยดี ไม่ต้องเสี่ยง  แต่ก็เหมือนชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง  กับอีกทางหนึ่งเมื่อแดดมาก็เอาใจไปแขวนข้างนอก  เมื่อฝนทำท่าจะตกก็เอาใจมาแขวนไว้ในบ้าน  บางครั้งพลาดทำใจเปียกบ้างก็ไม่ถึงกับเปียกโชก  ยังไงก็ถือเป็นประสบการณ์คราวหน้าจะได้ไม่เปียกอีก  สำรับคนอื่นจะเลือกทางไหนก็แล้วแต่คนแล้วแต่สไตล์เลยครับ  เป็นผมผมขอเลือกทางที่สองเพราะรู้สึกว่าได้ใช้หัวใจคุ้มค่ากับที่เกิดมาหนึ่งชีวิตดี
เมื่อผิดหวังมาก็อย่ามัวแต่ไปโทษฟ้าโทษฝนอยู่เลยครับ   มันเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว  ต่อให้บริสุทธิ์ยังไง  ปักตะไคร้มากแค่ไหน  ถ้าฝนมันจะตกซะอย่างมันก็ตกแหละครับ  ผมว่าทางที่ดีหันมาใส่ใจ”ใจ”ของเราดีกว่า  ลองสังเกตว่ามันถูกแขวนไว้ถูกที่หรือยัง  ลองแขวนมุมนู้นบ้าง  มุมนี้บ้าง  สักวันหนึ่งอาจจะเจอมุมที่ฝนสาดไม่โดนทว่าแดดส่องถึง   แต่ถึงกระนั้นก็ควรตระหนักไว้เสมอว่าสภาพอากาศภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน  วันดีคืนดีพายุอาจจะถล่มก็ได้  ถ้าเป็นผมผมจะเลือกแขวนใจไว้ใกล้ๆมือของผมเอง    วันดีคืนดีท่าไม่ดีผมจะได้เปลี่ยนที่แขวนใจของผมได้ทัน
รักมากไม่จำเป็นต้องเจ็บมากเสมอไป  เพียงแค่แขวนใจให้ถูกที
ขอให้มีความสุขกับการรักนะครับ ^ ^

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชีวิต ความฝัน คุณค่า ความหมาย




การอ่านหนังสือเป็นหนทางการเรียนรู้ที่ชาญฉลาด  แทนที่จะเสียเวลาทั้งชีวิตในการลองผิดลองถูก  เราก็เรียนรู้จากสิ่งที่คนอื่นลองผิดลองถูกทั้งชีวิตซะเลย  หนังสือหนึ่งเล่มเพียงไม่กี่ร้อยหน้า  อาจรวบรวมสิ่งที่คนรุ่นก่อน ค้นหา ค้นพบและเรียนรู้สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน  ประสบการณ์จากเมื่อสองพันปีที่แล้วพร้อมจะถูกต่อยอดโดยคนรุ่นใหม่  หนังสือช่วยพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์  และพัฒนามนุษย์ให้เป็นมนุษย์ยิ่งขึ้น

แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง  การอ่านหนังสือมาเป็นพันๆเล่ม  ก็ยังไม่เทียบเท่าการได้ลองเดินทางด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง

สมมติว่าปลาตัวหนึ่งมีเพื่อนเป็นกบฝูงใหญ่ๆ  กบทุกตัวมาเล่าให้ปลาฟังว่าบนบกเป็นอย่างไร  เจ้าปลาฟังเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าฟังมุมของกบตัวโน้นทีตัวนี้ทีจนจำขึ้นใจทุกรายละเอียด  จากนั้นปลาก็เอาเรื่อง บนบก ไปเล่าให้เพื่อนที่เป็นปลาฟังอีกที  ปลาเล่าตามที่จำขึ้นใจได้ทุกคำ  ตอบข้อสงสัยของเพื่อนปลาได้ทุกคำถาม(เพราะปลาก็เคยถามกบมาหมดแล้ว)  เพื่อปลาอาจจะร้องว่า “อ๋อ บนบกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

แต่ลองคิดดู  บนบกในมโนภาพของกบซึ่งมาจากประสบการณ์จริง  กับบนบกของปลาและเพื่อนปลาที่มาจากการบอกเล่าต่อกันเป็นทอดๆ  จะเหมือนกันหรือไม่  ถึงจะเล่าเหมือนกันทุกคำแต่ “บนบก” ในมโนภาพของทั้งสามอาจจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้า  เมื่อเพื่อนเราไปเที่ยวที่ไหนก็สามารถบันทึกภาพและเสียงกลับมาให้เราที่ไม่เคยไปได้รับชม   ถึงเราจะดูจนเก็บได้ทุกรายละเอียดก็ยังรู้สึกว่ามีบางส่วนที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม  ซึ่งจะเติมเต็มได้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้น นั่นคือ ต้องลองไปเอง

ทุกวันนี้เราดูละครเราอาจจะเห็นฉากที่คน โกรธกัน รักกัน สุขใจ เศร้าใจ  เราดูแล้วรู้ว่ามันเป็นแบบนี้  แต่จะเข้าจริงๆหรือไม่ว่าเวลาเจอกับตัวเองมันเป็นอย่างไร   บางคนอาจจะมองคนกำลังอกหักว่า โง่จัง  จมอยู่กับเรื่องเก่าๆอยู่ได้ไม่รู้จักเดินต่อไปข้างหน้า  ซึ่งถ้าไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่เข้าใจหรอกว่าอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับมันเป็นอย่างไร  ผมอ่านชีวิตบุคคลที่ผมอยากเป็นจนรู้ว่ามันเป็นยังไง  แต่ผมจะเข้าใจความรู้สึกของการได้เป็นคนๆนั้นจริงๆเหรอ  คุณมีความฝัน  คุณจินตนาการว่าได้ทำมันจนเห็นภาพตัวคุณเองไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็จบ   มันจบแค่นี้จริงๆเหรอ

บางทีชีวิตอาจไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการตอบคำถาม  คำถามที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคืออะไร และตอบไม่ได้ด้วยคำตอบ  พจนานุกรมอาจบอกได้ว่า “ชีวิต” แปลว่าอะไร  แต่ถ้าอยากรู้ความหมายและตระหนักถึงคุณค่า  ก็คงต้องออกไปค้นหาเองด้วยกันลองใช้ชีวิตแลทำตามความฝัน

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แฟน?...ไม่แฟน?...แฟน

 
 


1              ครั่นคร้าม
วาบหวาม
                หวั่นไหว

2              ฉันรัก
เธอรัก
รักกัน

3              ห้ามเจ้าชู้
ห้ามโกหก
ห้ามไม่รัก

4              หึงหวง
เง้างอน
ง้อด้วย

5              เหงา
คิดถึง
รอ

6              รอ….
ไม่มา
รอ

7              สายฝน
น้ำตา
ผ้าเช็ดหน้า

8              น้ำเน่า
เงาจันทร์
คืนดี

9              ยิ้มแย้ม
ควงแขน
ซบไหล่

10           เจ้าชู้ได้
โกหกได้
แต่ต้องรัก

                แฟน?
ไม่แฟน?
แฟน


วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตักตวงมันส์จากชีวิต

ผมชอบเปิด Youtube ดูคลิปของ Jason Mraz ศิลปินเจ้าของเพลงชาติประจำชายหาดสุดฮิตติดชาร์ตอย่าง I’m yours ท่วงทำนองสบายๆอบอุ่นหัวใจและเป็นกันเองกับโลกใบนี้  สามารถสะท้อนความเป็น Mraz ได้ดีมาก  ผมสังเกตเห็นทุกครั้งที่ออกอัลบั้มใหม่ รูปลักษณ์ของเขาจะเปลี่ยนไป  แต่ก็ยังคงความเป็น JM อยู่ลึกๆ   ตั้งแต่อัลบั้มแรกที่ใส่หมวกแก๊ปสีแดงคล้ายเด็กฮิปฮอป  จนถึงอัลบั้มล่าสุดที่ไว้ผมเครา  ผมยาวหยิกประบ่าฟูเล็กน้อย  เสื้อเชิร์ตเซอๆและกางเกงยีนส์ให้ความรู้สึกเหมือนศิลปินติดดิน   มีบางคนคอมเมนต์ในYoutubeไว้ว่า “ He looks like Jesuz “ ผมไม่ดูแค่คลิปเพลงของเขาอย่างเดียว  ผมยังชอบดูคลิปทริปการเดินทางและชีวิตประจำวันของเขาด้วย  คลิปหนึ่งเขาไปนั่งเล่นกับนักดนตรีเปิดหมวกข้างถนนในฝรั่งเศส  อีกคลิปเขาไปสอนเด็กที่อูกันดาร้องเพลง “Freedom song” และอีกหลายๆคลิปซึ่งถ้าจะให้บรรยายคงต้องใช้อีกหลายหน้ากระดาษ  ทุกครั้งที่ผมมองดูเขาผมรู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ผมอยากไปค้นหาความเป็นตัวตนของ Jason Mraz  มันดูสนุก น่าค้นหา และท้าทาย  เขาทำสิ่งที่หัวใจบอกให้ทำ สิ่งที่หลายคนก็อยากทำแต่ไม่ได้ทำ  โลกที่สะท้อนมาจากในความคิดของเขามันช่างดูมีสีสัน  ผมและคนอื่นๆเองก็คงถูกดึงดูดให้อยากเข้าไปสัมผัสโลกใบนั้นบ้าง

 
สำหรับอีกคนหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจอันแรงกล้าให้แก่ผมและอีกหลายชีวิตทั่วโลก  ชื่อของเขาคือ Kyle maynard แชมป์มวยปล้ำที่มีความพิเศษกว่านักมวยปล้ำคนอื่นๆ คือ เขาไม่มีแขนขาแม้แต่ข้างเดียว  ผมรู้จักKyleจากหนังสือ “ชีวิตไม่มีข้ออ้าง” ซึ่งเขาเป็นคนเขียน  ชายวัยสามสิบต้นผู้นี้ไล่ทำสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ  เขาสามารถทำลายสถิติโลกในการยกน้ำหนักท่าเบนช์เพรซดัดแปลง   เขาพิมพ์ได้เร็ว 50 คำต่อนาที  จับปากกาเขียนหนังสือได้เหมือนคนปรกติ  ขี่ม้า  ขับรถ  ดิ่งพสุธา  และสิ่งต่อไปที่เขาตั้งใจจะพิชิตก็คือ เทือกเขาเอเวอร์เรสต์  ประโยคหนึ่งของเขาที่โดนใจผมมากก็คือ  “ผมเชื่อว่าเราทุกคนต่างเป็นคนพิการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  รวมถึงการพิการทางนิสัยและบุคลิกภาพด้วย  ความพิการของผมก็แค่บังเอิญเห็นได้ชัดกว่าความพิการบางอย่างเท่านั้นเอง” ชายผู้นี้ได้พิสูจน์แล้วว่า นอกจากเป็นแชมป์มวยปล้ำแล้ว  เขายังเป็นแชมป์ในชีวิตจริงอีกด้วย  ด้วยปรัชญาอันแสนเรียบง่ายของเขา “ไม่มีข้ออ้าง” แทนที่จะมองเรื่องยากให้เป็นเรื่องท้อแท้  Kyle maynard กลับมองมันเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องพิชิตให้ได้  ลายสักรูปเสือที่ไหล่ของเขาสะท้อนให้เห็นตัวตนภายในที่ฉายออกมาทางแววตา

หลายคนก็คงมีหลายสิ่งที่อยากจะทำ  ตัวผมถ้าให้ลิสต์รายการก็คงได้เป็นหน้ากระดาษ  ผมอยากเต้นป๊อบปิ้งแดนซ์ได้ สามารถบีบอยลังกาเกลียวสักสี่รอบกลางอากาศ  อยากเล่นกีต้าร์ให้เทพๆไปวาดลวดลายบนเวที  อยากร้องเพลงให้เพราะๆโดนใจผู้ฟังจนน้ำตาไหลอย่าง พี่กิ๊ก Thailand got talent  อยากเป็นศิลปินแต่งเพลงง่ายๆแต่อมตะ  เขียนเรื่องสั้นฝากโลกไว้ซัก 1500 เรื่อง  เรียนให้ผ่านสบายๆพ่อแม่หายห่วง รวมถึงการได้เขียนบทความลงบล็อกอย่างสม่ำเสมอ  แต่ที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจเอาไว้เลย  ผมมัวแต่เสียเวลารีเฟรชหน้าเฟสบุ๊ค  ดูคลิปเดิมๆในยูทูป  อ่านกระดานข้อความตอบปัญหาหัวใจ  ดูหนังAV หรือไม่ก็นอนอยู่บนเตียงเฉยๆแล้วคิดว่าจะทำนู่นทำนี่แต่ก็ไม่ได้ทำซักที  แล้วช่วงนี้ยิ่งมีปัญหาหัวใจก็ยิ่งกลับไปย้ำคิดอยู่กับเรื่องเดิมๆ   ชีวิตชีวาเริ่มเหือดหายไปจากชีวิต  อยากหลบหนีโลกแห่งความจริงไปนอนอุดอู้สักพัก  แต่ในที่สุดเมื่อผมตัดสินใจฝืนความเคยชินเก่าๆ  ลุกจากเตียงขึ้นมาลงมือทำอะไรบางอย่าง  ผมพลันรู้สึกได้ถึงชีวิตชีวาจากการใช้ชีวิต  แทนที่จะหมกมุ่นคิดแต่ว่า “ทำยังไงให้เขารักเราคนเดียว”  โลกนี้ยังมีอย่างอื่นให้ทำและเราก็ทำได้อีกหลายอย่าง  ผมเริ่มเข้าถึงแรงดึงดูดที่ Jason Mraz และ Kyle Maynard มีต่อผม   ตอนนี้รู้สึกว่าผมกำลังดึงดูดตัวผมเอง  สัมผัสได้ถึงความ สนุก น่าค้นหา และท้าทาย  ผมชักจะหลงรักตัวเองแล้วสิ

เขารักเราหรือเปล่าเราไม่รู้  แต่เรารักตัวเราเองได้  เรารู้และรักในสิ่งที่เราเป็น  และมุ่งมันทำสิ่งที่เรารักให้โลกรู้ว่าเรารักตัวเองมากแค่ไหน   คุณจะรักคนอื่นได้อย่างไรถ้าแม้แต่ตัวเองคุณยังรักไม่ได้  และเมื่อไหร่ที่คุณรักตัวเองได้คุณก็จะรู้ว่าชีวิตนี้มีความมันส์ให้ตักตวงอีกเยอะ

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โบยบินไปเถอะกระจั๊ว

อะไรเอ่ย...ไม่อันตรายแต่โคตรน่ากลัว
คำถามนี้ค่อนข้างจะกว้างเกินไป  บางคนอาจจะตอบว่า  ที่แคบ  ความสูง  หรือจิ้งจก 
แต่สำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อายุจะบรรลุนิติภาวะแหล่ไม่บรรลุแหล่  หน้าตาหล่อเหลาเร้าใจสำหรับสาวหรือชาวสีม่วงที่ชอบของแปลก  การศึกษาพอเอาตัวรอดและพอเชิดหน้าในสังคมได้  เขาจะตอบว่า
แมลงสาบว่ะคำตอบของเขายังไม่จบแค่นั้น ตอนที่มันบินอ่ะนะ
เอ้ย! แกกลัวแมลงสาบเรอะ เพื่อนของเขาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจระคนกับขบขัน
แมลงสาบไม่กลัว  แต่กลัวแมลงสาบบิน
เพื่อนคนแรกหัวเราะตัวงอ  เพื่อนอีกคนพูดขึ้น
ถามหน่อยเถอะไอ้วิน  แมลงสาบมันน่ากลัวตรงไหน  ต่อยก็ไม่ต่อยกัดก็ไม่กัด  แถมหน้าตาก็น่ารัก  สาวๆเห็นเป็นต้องกรี๊ดกร๊าด
พวกที่กลัวแมงสาบส่วนใหญ่จะเป็นแต๋ว  ที่ผ่านมาแอ๊บแมนหรือเปล่าไอ้วินเพื่อนคนแรกพูด แล้วก็หัวเราะดังกว่าเดิม
ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ วินคำรามเสียงเข้มอย่างจงใจดัด บอกว่ากลัวแค่ตอนมันบินโว้ย!”
มันบินแล้วมันไปยังไงเพื่อนคนทิ่สองถามด้วยสีหน้าจริงจังใคร่รู้  จากนั้นก็หันไปพูดกับเพื่อนที่หัวเราะไม่หยุดว่า
ไอ้นนท์...ดูเอ็งมีความสุขกับความทุกข์ร้อนของคนอื่นจริงนะ
อ๊ะ หยอแหยหยอแหย บลาๆๆเพื่อนคนแรกล้อเลียนกลับและหัวเราะต่อ  เพื่อนคนที่สองกับวินจ้องหน้ามันจนมันเริ่มหัวเราะไม่ออก
โอเค ข้ายอมแพ้นนท์ชูสองมือ เรามาเป็นที่ปรึกษาทุกข์ให้เพื่อนวินของเราดีกว่า
ที่เรากลัวแมลงสาบบินน่ะเหรอ ก็เพราะ...เอ่อ..มันรู้สึกขัดแย้งในใจมั้ง  แบบว่ามันวิ่งกับพื้นก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องบินด้วย...ถ้าจะบินก็น่าจะบินอย่างเดียวไปเลย  ที่สำคัญมันบินห่วยมาก บินมั่วซั่วไร้ทิศทางแต่ดันชอบบินอีก
แกรับไม่ได้ที่พวกมันทำอะไรครึ่งๆกลางๆ  แกคงเป็นพวกยึดติดกับความเพอร์เฟ็กต์
วินิจฉัยได้เฉียบแหลมมากครับหมอโก้นนท์ปรบมือเปาะแปะ
ไม่ใช่หรอกวินปฎิเสธ พูดง่ายๆก็คือมันน่ากลัวด้วยน่ะแหละ  เมื่อก่อนเราอยู่บ้านก็มีแมลงสาบอยู่บ้างไม่มาก  ส่วนมากมันก็แค่วิ่ง  จับก็ง่าย เห็นหน้าเราปุ๊บก็รีบหนีปั๊บ  แต่พอย้ายมาอยู่ร้านในเมืองกับแม่เมื่อปีก่อนก็ชักจะกลัวมันซะแล้ว  พวกมันบินกันให้ควัก   บินเข้าหน้าต่างไปเยี่ยมชั้นสองชั้นสามเป็นประจำ  แล้วดูเหมือนพวกมันจะกล้าบ้าบิ่นมาก บินเฉี่ยวหัวเราเล่นอย่างสนุกสนาน  ไอ้วูบแรกก็นึกว่าเป็นผีเสื้อกลางคืน เหลือบไปดูที่ผนังอีกทีนี้ขนลุกเลย  ทุกทีที่เห็นมันอยู่ใกล้ๆก็ต้องหวาดระแวงว่ามันจะบินหรือเปล่า
ก็มีเหตุผลนะโก้พยักหน้า แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันน่ากลัวตรงไหน
ก็เพราะกลัวมันน่ะซี่มันถึงชอบเข้าหา นนท์ออกความเห็น ดูอย่างพวกผู้หญิงที่กระทืบเท้าไล่มันยิ่งเข้าหา  แต่อย่างเรารึเห็นก็ยิ้มร่าแล้ว  มันเห็นหน้าก็ไปเองโดยไม่ต้องไล่ไม่ได้หมายความว่าไม่หล่อนะ 
เพิ่งรู้ว่าไอ้นนท์ก็พูดเรื่องมีสาระเป็นกับเขาด้วย โก้พูด ยิ่งแกกลัวมันบิน มันก็จะชอบบินอวดซิกแพ็คของมันมากเท่านั้น
งั้นเรามาหาวิธีช่วยให้เพื่อนวินหายกลัวกันดีไหม  เพื่อนโก้ นนท์หัวเราะหึๆ  โก้เองก็หัวเราะหึๆหันไปตีมือกับนนท์  จากนั้นทั้งสองก็หันมามองวินอย่างมีเลศนัยน์
อย่ายุ่งกับชีวิตกูนะวินมีสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วินไปเรียนวิชารักษาดินแดน  นักศึกษาวิชาทหารปีที่สามส่วนใหญ่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งฟังบรรยาย  การนั่งหลับคอพับเป็นเรื่องธรรมชาติที่ห้ามกันไม่ได้  ความตั้งใจจริงของวินก็แค่ตั้งใจมาเรียนให้ครบเพื่อจะได้ไม่ต้องเกณฑ์ทหารเท่านั้น  วันนั้นเป็นการบรรยายเรื่องการดำรงชีพในป่า  วินฟังบ้างหลับบ้างจนมาถึงช่วงสำคัญที่วินตั้งใจฟังอย่างเต็มที่
เพื่อนครูมันกลัวกระจั๊วหรือแมลงสาบนั่นแหละ ครูไม่รู้ว่ามันจะกลัวไปทำไมไม่เห็นมีอะไรให้น่ากลัวสักน้อย  ตอนนั้นครูกับมันไปพักในโรงแรมเก่าๆครูฝึกเหล่าถึงตอนนี้  นักศึกษาวิชาทหารหนุ่มบางคนเอ่ยปากแซว แล้วแต่พวกเอ็งจะคิด  เพื่อนครูมันเจอกระจั๊วอยู่ในห้องน้ำ  เกาะผนังส่ายหนวดดิกๆ  มันไม่กล้าเข้าไปอาบน้ำ
ครูหันไปบอกมันว่า เอ็งคอยดูแล้วกันจากนั้นครูก็เดินเข้าไปคว้าตัวมันหมับ  เอานิ้วดึงเครื่องในมันออกแล้วหย่อนใส่ปากเคี้ยวแม่มันสะเลย 
เล่าถึงตอนนี้วินร้องโอ้โห  นักศึกษาวิชาทหารคนหนึ่งถามว่า
มันไม่สกปรกหรือครับ
กระจั๊วกินได้ครูฝึกเน้นย้ำความมั่นใจด้วยน้ำเสียงสูง  แค่เอานิ้วหยิกตรงตูดดึงออกมา  ทั้งสาบทั้งเครื่องในมันก็ติดออกมาหมด
วินไม่ได้อยากกินแมลงสาบ  แต่วินก็หวังว่าสักวันตัวเขาจะมีความกล้าเหมือนครูฝึกคนนี้บ้าง

วันนั้นหลังจากที่เลิกเรียนแล้วกลับไปอยู่บ้าน  บ้านของเขาเป็นตัวตึกสี่ชั้นอยู่ในซอยหลังมหาวิทยาลัย  มองไปรอบข้างก็จะเจอแต่หอพักเป็นส่วนใหญ่  ด้านซ้ายติดหอพัก  ด้านขวาติดโกดังเก็บของของพ่อค้าเชื้อสายจีน  ด้านหลังติดกับร้านขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นนำชัย  ชั้นล่างสุดเป็นร้านขายโชว์ห่วย  อีกสามชั้นข้างบนเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล  ตอน นั้นเป็นเวลาราวๆสามทุ่มครึ่ง ซึ่งโดยปรกติวินจะนั่งโซฟาดูทีวีเป็นกิจวัตรประจำวัน ซึ่งพ่อและแม่ก็ให้เกียรติในความเป็นส่วนตัวของเขา   หลังจากที่เขาเสร็จจากการทำธุระส่วนตัวแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ  ทันใดนั้นเขาก็พบว่า ห้องนั่งเล่นของเขาถูกรุกรานความเป็นส่วนตัวเสียแล้ว  เมื่อผีเสื้อราตรีจำแลง(กระจั๊ว)ตัวหนึ่งบินว่อนแถวๆหลอดไฟข้างบน  ถึงมันจะโตเต็มวัยแล้วแต่ก็ยังบินได้ไม่คล่องนัก  มันบินชนหลอดไฟสองสามครั้งแล้วหล่นแหมะมาอยู่ที่พื้น  ปีกสีแดงของมันหุบซ้อนกันบนหลังอย่างเป็นระเบียบ ส่ายหนวดสองเส้นดิกๆคล้ายกับได้กลิ่นความกลัวอันโอชะ  จากนั้นมันก็แผ่ปีกบินว่อนไปทั่วห้อง  มีอยู่สองครั้งที่มันบินโฉบเป็นวงโค้งผ่านหน้าวินไป  วินกระโดดเหยงไปข้างหลังรู้สึกขนลุกซู่จนร่างกายสั่นกระตุก
แย่จริงๆ  วันนี้ฉันยกห้องให้แกไปก่อนก็ได้วินพูดกับแมลงสาบที่กำลังบินว่อน แกวิ่งก็ดีอยู่แล้วทำไมแกต้องบินด้วยล่ะ  อยากเป็นผีเสื้อเหรอ วินส่ายหน้าแล้วพูดต่อว่า ฉันไม่เข้าใจความคิดแกจริงๆ
ถึงตอนนี้มันคงจะเหนื่อยเลยหยุดพักเกาะขอบผนังริมขอบหน้าต่าง  วินพลันนึกถึงคำพูดของเพื่อนขึ้นมาได้
ก็เพราะกลัวมันน่ะซี่มันถึงชอบเข้าหา
วินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กางมือออกยื่นไปข้างหน้าระดับสายตา  เจ้าผีเสื้อจำแลงกำลังใช้ปากเล่นกับขาหน้าสองข้างของมัน  วินกลืนน้ำลายดังอึ้ก  ค่อยๆย่องเข้าไปอย่างช้า แต่พอเข้าไปใกล้เข้าๆ  เจ้าผีเสื้อจำแลงพลันแผ่ปีกออกเล็กน้อย  วินสะดุ้งโหยงกระโดดถอยหลังออกมาอย่างไม่คิดชีวิต  เจ้าแมลงสาบก็ยังคงสงบนิ่งอยู่ที่เดิม
โอย... ใช้มือเปล่าคงยังไม่ไหวหรอก
วินเดินไปหยิบไม้กวาดมา จากนั้นค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ๆ  ใกล้จนมันหยุดการกระทำของมัน  วินก็หยุดตามไปด้วย
แมลงสาบบินมาเกาะที่หัวของเขา  ไต่เข้าปากที่อ้าค้างไว้ด้วยความตกใจ แล้ววิ่งออกมาจากจมูกอย่างรวดเร็ว
ภาพจินตนาการที่ชัดแจ่มแจ้งทำให้วินเกิดความลังเลขึ้นมา  แต่ก็สะบัดศีรษะตัวเองแรงๆแล้วข่มใจตัวเองว่า
เป็นไงเป็นกันวะ 
วินตัดสินใจปัดไม้กวาดใส่มันอย่างรวดเร็ว  มันบินหนีออกหน้าต่างไป  วินยืนมองความสำเร็จของตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา  เขาเริ่มรู้สึกว่าแมลงสาบน่ากลัวน้อยลงแล้ว  การทดสอบตัวเองขั้นต่อไปก็คือการใช้มือจับมัน
เรื่องนั้นเอาไว้วันหลังดีกว่า แล้ววินก็ดูทีวีต่ออย่างสบายใจ  ตลอดคืนนั้นผีเสื้อราตรีจำแลงก็ไม่ได้ปรากฎกายอีกเลย

วันรุ่งขึ้นเมื่อวินมาถึงที่โรงเรียนก็ได้รับการล้อจากกลุ่มเพื่อนนักเรียนชาย
ไอ้ตุ๊ด  กลัวแมลงสาบ เยๆ 
วินไม่ตลกด้วยและพยายามไม่ใส่ใจกับคำล้อเลียนเหล่านั้น  แต่บางครั้งมันก็สุดทิ่วินจะทนได้  เช่นแกล้งเอาตุ๊กตาแมลงสาบราคาห้าบาทมาโยนใส่  เพื่อนผู้หญิงก็หัวเราะพร้อมกับส่งเสียงวี้ดว้ายอย่างชอบใจ  หรือตอนที่เล่นฟุตบอลกับคนอื่นๆ  ไม่มีใครยอมเข้าใกล้วินเลย
อย่าเข้าไปใกล้มันนะ  มันทำแอ๊บแมนล่อให้เราไว้ใจ จะได้ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งเพื่อนๆกระซิบต่อกัน  วินแอบได้ยินจึงพูดออกไปอย่างเหลืออด
กลัวแมลงสาบบินแล้วมันผิดตรงไหนวะ!”
กลัวแมลงสาบไม่ผิด  ผิดตรงที่แกเป็นตุ๊ดนนท์ตอบ
ตุ๊ดแล้วทำไมวะ  ถึงเป็นตุ๊ดก็ไม่เอามึงหรอก  กลัวไปได้
นั่นไงมันสารภาพแล้ว แล้วเพื่อนๆก็ล้อเขาต่อไปอย่างสนุกสนาน

วินกลับบ้านด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ  ไม่รู้ว่าสาเหตุที่จริงที่ตัวเองกลัวแมลงสาบบินคืออะไร  วินคิดว่าตนเองจะต้องกำจัดความกลัวแมลงสาบบินออกไปให้ได้เพื่อที่จะสามารถกลับไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนอีกครั้ง   พอตกดึกวินก็ใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาเรื่องแมลงสาบในอินเตอร์เน็ต  ส่วนมากเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลจะเป็นพวกกระดานสนทนา  มันช่วยเปิดหูเปิดตาให้วินได้รู้ว่า ยังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่กลัวแมลงสาบ  หลายคนมาระบายประสบการณ์เลวร้ายที่ได้รับพวกมันให้อ่าน วินนั่งอ่านไปก็ขำไปด้วย  บางเว็บบอกว่าแมลงสาบเป็นสัตว์ที่มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์  มีความสามารถในการปรับตัวเป็นเลิศ  บางเว็บบอกว่าแมลงสาบอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวมาจากนอกโลก  นอกจากนี้ยังพบความรู้แปลกๆอีกว่า มีตัวต่อชนิดหนึ่งสามารถทำให้แมลงสาบกลายเป็นซอมบี้ แล้ววางไข่ในตัวแมลงสาบ  วินนึกภาพซอมบี้แมลงสาบไม่ค่อยออก  จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่รู้สาเหตุและวิธีขจัดความกลัวแมลงสาบบินออกไปได้
ครึ่ก   ครึ่ก
ทันใดนั้นวินรู้สึกถึงเสียงอะไรผิดปรกติบริเวณผนังด้านหลัง  เขาค่อยๆหันไปมองอย่างช้าๆ  ใช่มันจริงๆแต่ตัวใหญ่กว่าตัวเมื่อวานเสียอีก  ใจหนึ่งวินบอกให้เดินเข้าไปจับมันเสียให้รู้แล้วรู้รอด  อีกใจหนึ่งบอกว่าเอาไว้วันหลังก็ได้  มันแผ่ปีกบินอีกแล้ว  วินเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างจนแทบจะตกเก้าอี้  มันบินไปเกาะขอบหน้าต่างแล้วบินกลับมาหาวิน  วินพลันนึกถึงวีรกรรมกล้าหาญที่เขาได้ทำลงไปเมื่อวาน
ต้องทำได้สิน่าวินตัดสินใจเอื้อมมือเข้าไปหากระจั๊วที่กำลังบินตัวนั้น
ได้ผล กระจั๊วบินหลบไปข้างหลัง  มันบินเข้าไปหลบหลังผ้าม่านข้างหน้าต่าง  วินรู้สึกภูมิใจขึ้นมาวูบหนึ่ง  แต่ปัญหาคือต่อจากนี้ต่างหาก  วินลังเลว่าจะเดินเข้าไปกระชากม่านตัวนั้น หรือจะเดินไปหยิบไม้กวาดก่อนดี
ไอ้วิน แกทำได้  มันกำลังกลัวแกอยู่วินย้ำกับตัวเองในใจหลายๆครั้งจนสุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหามันโดยไม่ต้องพึ่งไม้กวาด  ขณะที่ผ้าม่านยังไร้วี่แววความเคลื่อนไหววินค่อยๆเอื้อมมือไปจับที่ชายผ้าม่านแล้วกระชากเต็มแรง
ไอ้บ้าเอ๊ยยย!!”
มันบินพุ่งเข้าใส่หน้าของเขาอย่างกะทันหัน ซิกแพ็คของมันโชว์หราอยู่ต่อหน้าต่อตา  โชคดีที่มือของวินปัดออกไปตามสัญชาตญาณได้อย่างทันท่วงที  ถูกตัวมันกระเด็นไปชนผนังแล้วร่วงแหมะลงไปนอนหงายกับพื้น วินหัวใจเต้นตูมตาม
เสร็จเราเราแล้วเขาบอกกับตัวเอง  เดินเข้าไปดูผลงานตรงพื้นที่มันนอนอยู่
แต่อนิจจา แผ่นหลังของเจ้ากระจั๊วสัมผัสกับพื้นเพียงบางส่วน  มันออกแรงดีดปีกสองสามครั้งก็ส่งตัวเองกลับมาคว่ำตัวได้อีกครั้ง    มันกำลังจะวิ่งหนี  วินเอื้อมมือไปจับ สองนิ้วถูกข้างลำตัวมันแต่จับไว้ไม่อยู่  มันแผ่ปีกบินขึ้นเกาะหลังมือของวิน  แล้วมันก็ใช้ท่าไม้ตายประจำตัวที่น่าสะพรึงกลัวนั่นคือวิ่งไต่ไปตามแขนของเขา
อ๊ากกกกก!”วินส่งเสียงร้องโหยหวน   มันวิ่งเร็วมาก เผลอพริบตาเดียวก็จวนจะถึงหัวไหล่แล้ว  กลิ่นไม่พึงประสงค์โชยเข้าจมูก  สัญชาตญาณช่วยวินปัดมันออกไปได้อย่างทันท่วงทีอีกครั้ง  แมลงสาบร่วงเอาหลังลงกับพื้น   วินไม่กล้าประมาทอีกต่อไปแล้ว คราวนี้เจ้าแมลงสาบพยามออกแรงดีดปีกและตะกายขาส่งตัวเองหมุนคว้างไปตามพื้น  แต่สุดท้ายก็นิ่งสนิทอย่างจนปัญญา  มันนิ่งราวกับว่าตายแล้ว  พอวินเอานิ้วจิ้ม ขาของมันก็ดิ้นไปมา
ไม่ไหวแล้วไปอาบน้ำก่อนดีกว่า
หลังจากที่วินอาบน้ำเสร็จมาแล้วก็ยังพบมันอยู่ที่เดิม  วินนั่งขัดสมาธิลงข้างๆเจ้าแมลงสาบหงายท้อง  สองมือวางซ้อนที่น่าตัก กำหนดรู้ที่ลมหายใจ แต่ตายังคงจ้องมองที่เจ้าแมลงสาบที่หงายโชว์ซิกแพ็ค   เมื่ออารมณ์เจือจางลงความคิดอ่านก็แจ่มใสขึ้น
ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวเลยนี่นา  มันไม่ได้ทำร้ายเราสักหน่อย  ใจเราต่างหากที่คิดไปเองวินพูดออกมาตามที่พินิจพิจารณาได้
ในเมื่อมันไม่เขี้ยวเล็บที่ทำอันตรายได้  ดังนั้นมันจึงต้องมีความน่ากลัว น่าขยะแขยง และความทนทาน เป็นสิ่งทดแทน
วินนั่งพิจารณามันต่อไป จากนั้นก็พูดต่อ
แต่เอ... ขนาดเพื่อนๆรังเกียจเราหาว่าเราเป็นตุ๊ดเรายังไม่ชอบเลย  แล้วตัวเขาเล่าโดนคนรังเกียจมาตั้งแต่แบเบาะ เขาจะรู้สึกยังไงหนอ
ที่เขาชอบหลอกให้หลายๆคนตกใจกลัวอยู่เรื่อยอาจจะเป็นเพราะเขาอยากชดเชยปมด้อยของตัวเองก็ได้
เอ..แล้วสัมผัสที่เขาไต่แขนเราเมื่อกี้นี้  มันจะต่างยังไงกับสัมผัสที่สาวสวยๆมาเล่นปูไต่
วินคลายมือออกแล้วลุกขึ้นยืน
เอาละเจ้ากระจั๊ว   เราจะพยายามเลิกกลัวเจ้าและต่างคนต่างอยู่อย่างสันติวิธี  เราไม่ทำร้ายเจ้า เจ้าไม่ทำร้ายเรา  วันไหนมาจ๊ะเอ๋กันบังเอิญก็ขอโทษกัน  โอดเคไหม
เจ้าแมลงสาบไม่ตอบ
ถือว่าเจ้าตกลงก็แล้วกัน
วินท่องบทแผ่เมตตาที่จำมาจากกิจกรรมหน้าเสาธงตอนอยู่ชั้นประถมให้กับมัน  จากนั้นค่อยๆใช้สองนิ้วหนีบตัวมันขึ้นมา  ขามีขนทั้งหกข้างของมันตะเกียกตะกายกลางอากาศ
เอ้า  อยากบินก็บินเล้ยวินโยนส่งมันเบาๆออกนอกหน้าต่าง   แล้วมันก็แผ่ปีกบินจากไปแต่โดยดี
ดูให้ดีๆมันก็ผีเสื้อราตรีดีๆนี่เอง

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ใบไม้ สายลม ความเหงา แสงดาว




ใบไม้พลิ้วปลิวไหวตามสายลม       ปล่อยตัวจมระทมกับความเหงา
รอเวลาดารามวลหมู่ดาว                สุกสกาวพราวแพรวแคล้วสนธยา

ตะวันรอนอ่อนแสงคือคมมีด          กล้ำกรายกรีดรีดใจให้โหยหา
สุดจะอั้นกลั้นอดหยดน้ำตา           ไหลรินราจากสองตาหน้าต่างใจ

สกุณาลาลับกลับรวงรัง                  สดับฟังคำบอกลาน่าใจหาย
ร่ำลาแล้วแคล้วกันหวั่นเดียวดาย    จองจำใจให้หายตายจากตน

ราตรีกาลคลี่ม่านผ่านนภา               ว้างเวหามืดมนแสนสับสน
ดวงดาวเดือนเลือนลับกลับซ่อนตน    หมองมัวหม่นมืดมิดสนิทนาน

ใจเจ้ากรรมช้ำฟกตระหนกจิต            เคว้งคว้างคิดขยาดกลัวยั่วสงสาร
จิตใจจมในหล่มอนธการ                  ทรมาณทานทนจนท้อใจ

เคียงค่ำคืนไร้แสงดาวเคล้าปุยเมฆ   มนต์ใดเสกเศษเสี้ยวแสงดาราไสว
ระยิบยับวิบวับงามจับใจ                    มนต์นั้นไซร้จากหัวใจของเราเอง 

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จากผู้หญิงคนหนึ่ง






“ครับ” เขารับคำ เอานิ้วแคะหูไปพลาง
“ตอนนี้สิ่งที่ก้องต้องรับผิดชอบมีเรื่องเดียวคือเรื่องเรียน  ขอแค่เรียนผ่านสบายๆก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียนดีเด่นอะไรหรอก
“ครับแม่”เขารับคำพลางตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก
“ก้องรู้มั้ย  เด็กบ้านนอกอายุเท่าก้องน่ะ เค้าดูแลครอบครัวได้แล้ว  นี่ก้องแค่ดูแลตัวเองได้ให้แม่สบายใจแค่นั้นเอง”
“ครับผม”เด็กหนุ่มปล่อยช้อนส้อมจากมือลงในจาน
“เฮ้อ..”แม่ของเขาถอนหายใจ
“ครับผม”ก้องรับคำอัตโนมัติ
“ที่ลูก ครับๆ นี่ลูกฟังแม่อยู่รึเปล่า”
ก้องหัวเราะ  ลุกขึ้นสะพายกระเป๋า “เดี๋ยวก้องไปเรียนก่อนนะครับแม่”
“ขับรถระวังๆล่ะ”หล่อนเตือนขณะเดินมาเก็บจาน “จำที่แม่บอกได้มั้ย ใส่หมวกกันน็อคทุกครั้ง และห้ามขับเร็วเกินสี่สิบนะ”
เด็กหนุ่มทำหน้าลำบากใจก่อนจะยอมรับปาก  ก่อนเดินออกจากบ้านไป ขี่มอเตอร์ไซต์ไปเรียนตามปรกติ
หลังเลิกเรียนก้องก็ไปจอดมอเตอร์ไซต์รออยู่หน้าหอพักแห่งหนึ่งใกล้ๆโรงเรียน  ระหว่างที่รอเขาก็ส่องกระจกข้างรถจัดทรงผมให้เข้าที่ไปพลาง  เขานัดเธอห้าโมงเย็น  เวลาผ่านเลยไปถึงห้าโมงครึ่งในที่สุดเด็กสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักก็เดินลงมา
“รอนานมั้ยคะพี่ก้อง  โทษที่ค่ะ พอดีฟ้ามัวแต่เป่าผมให้แห้ง”
“ไม่นานเลยครับ”ก้องตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “วันนี้น้องฟ้าอยากทานอะไร”
“วันนี้อยากทานอาหารญี่ปุ่นค่ะพี่ก้อง”
“อาหารญี่ปุ่นเหรอครับ...อืมม์ พี่รู้จักร้านอยู่ เดี๋ยวพี่พาไป”
ก้องพาน้องฟ้าไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้าน “ซึนามิ” ร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดย่อม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอพักเท่าไหร่ ระหว่างรับประทานก้องก็คอยสังเกตสีหน้าของน้องฟ้า
“เป็นไงครับน้องฟ้า รสชาติถูกปากมั้ย”
“อร่อยดีค่ะ” เด็กสาวตอบ “สงสัยต้องให้พี่ก้องพามาทานบ่อยๆแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเอาของพี่ไปอีกนะ”เขาพูดพลางคีบซาซามิแซลมอนในจานตัวเองใส่จานของน้องฟ้า
“พี่ก้องก็ได้ทานนิดเดียวสิคะแบบนี้”น้องฟ้าพูดเสียงอ่อน
“แค่ได้เห็นน้องฟ้าอร่อยพี่ก็อิ่มแล้วล่ะ”ก้องพูดพร้อมกับรอยยิ้ม  พอน้องฟ้าทานเสร็จก้องก็ยกมือเรียกเก็บเงินโดยที่เขาเป็นฝ่ายออกเงินเองทั้งหมด  ส่วนเงินทอนที่เหลือก็ให้ทิปแก่พนักงานเสิร์ฟ
“พี่ก้องน่ารักจังเลย”เด็กสาวพูดเสียงออดอ้อน“ฟ้าเกรงใจพี่ก้องจัง”
“พี่ก็แค่ทำหน้าที่แฟนที่ดีของน้องฟ้าแค่นั้นเองครับ เอ้อ... น้องฟ้าเคยบอกพี่ว่าชอบผู้ชายที่เล่นกีต้าร์เป็นใช่มั้ย”
“อ่า..ใช่ค่ะ  ฟ้าว่าการที่คนที่เรารักเล่นกีต้าร์ให้ฟังมันดูโรแมนติคดี  แต่ยังไงฟ้าก็ชอบในสิ่งที่พี่เป็นที่สุดนะคะ”
“ชื่นใจจัง”เด็กหนุ่มยิ้มแก้มปริ
น้องฟ้าขอให้ก้องไปเดินเลือกเสื้อผ้าต่อเป็นเพื่อน  ก้องก้มดูนาฬิกาอย่างกังวลแต่ก็ตกลงไปด้วย  ทั้งคู่ไปเดินที่ตลาดนัดกลางคืน  น้องฟ้าได้เสื้อผ้าถูกใจมาหลายชุด  กว่าจะเดินเสร็จเวลาก็ผ่านล่วงเลยไปถึงสองทุ่มครึ่ง  ก้องไปส่งน้องฟ้าที่หอ ก่อนที่เธอจะเดินเข้าหอเธอก็หันมาจูบที่แก้มซ้ายของเขา
“พี่ก้องน่ารักที่สุดเลย”เธอโบกมือลาอย่างร่าเริงเดินขึ้นหอไป  เด็กหนุ่มโบกมือตอบอย่างเลื่อนลอย  ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดทางที่ขี่มอเตอร์ไซต์กลับบ้าน
เมื่อกลับมาถึงที่บ้าน แม่ของเขายืนรอหน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว  เดินตรงเข้ามาถามทันทีที่เห็นหน้าลูกชาย
“ไปไหนมา  ทำไมไม่เปิดโทรศัพท์”
“เอ่อ”ก้องพยายามนึกหาข้ออ้าง
“คราวหลังก้องจะไปไหนมาไหนก้องต้องโทรบอกแม่ก่อน  ไม่ใช่หายไปดึกดื่นแถมยังติดต่อไม่ได้แบบนี้  แม่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับก้องหรือเปล่า”
“แม่ครับ” ก้องถอนหายใจอย่างหมดความอดทน “ก้องโตแล้วนะครับ แม่ไม่ต้องมาตามเป็นห่วงทุกฝีเก้าหรอก เพื่อนก้อง...”
“เดี๋ยวนะ”แม่ของก้องเดินเข้ามาสัมผัสที่แก้มซ้าย “นี่มันลิปสติคนี่  ก้องไปกับผู้หญิงมาใช่มั้ย”
“นี่มันเรื่องส่วนตัวก้องนะแม่”เขาตอบกลับ เดินผ่านแม่ของเขาเข้าประตูบ้านไป  ผู้เป็นแม่ก็เดินตามหลังเข้ามา
“แม่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามีแฟน  ก้องควรตั้งใจเรียนก่อน เรียนจบแล้วค่อยหาแฟนก็ได้  รักวัยเรียนรักกันไม่ยืดหรอก  แถมปัญหาก็ตามมาเยอะ”
“พอแล้วแม่ ก้องขี้เกียจฟังแล้ว”เขาเดินขึ้นไปไดไปที่ห้องของเขา ปิดประตูเสียงดังแล้วล็อคกลอน
“ก้อง”แม่เขาร้องเรียกพลางเคาะประตู “ออกมาคุยกับแม่ให้รู้เรื่องก่อน...ก้อง”
เขาไม่สนใจเสียงเรียกของแม่  หยิบกีต้าร์มานั่งเล่นบนเตียงนอน เขาเหลือบมองปฏิทินเห็นวันที่ของวันพรุ่งนี้มีไฮไลท์สีชมพูวงไว้  เขาหันไปมองรูปน้องฟ้าบนหัวนอน แล้วเล่นกีต้าร์ต่อ

ตกเย็นวันรุ่งขึ้นก้องก็ไปนัดเจอน้องฟ้าหน้าหอเหมือนอย่างเคย  แต่วันนี้เด็กสาวที่อ่อนหวานร่างเริงกลับดูซึมเซา
“น้องฟ้าครับ วันนี้พี่จะพาไปร้านๆหนึ่ง บรรยากาศดี อาหารอร่อย พี่ว่าน้องฟ้าต้องชอบแน่ๆ”
“จริงเหรอคะพี่ก้อง  งั้นเราไปกันเถอะค่ะ”
 ร้านเกียรตินำเป็นร้านเล็กๆแต่ดูดี  ตั้งอยู่ในซอยที่ค่อนข้างสงบ บรรยากาศอบอุ่นประดับด้วยแสงเทียนสีแสด  เปิดเพลงบรรเลงนุ่มๆคลอเบาๆ  รายการอาหารเป็นสไตล์ตะวันตก  รสชาติมาตรฐานแต่ราคาย่อมเยา
“เป็นไงครับน้องฟ้า”
“อร่อยมากเลยค่ะพี่ก้อง”เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แววตาดูเลื่อนลอย
“เอาของหวานหน่อยมั้ยครับ”ก้องถาม
“เอ่อ.. ไม่ดีกว่าค่ะ ฟ้ากำลังลดความอ้วน”
“รับซักหน่อยดีกว่านะครับ”ไม่รอช้าก้องรีบยกมือสั่งของหวาน ทันใดนั้นเค้กวันเกิดกับกีต้าร์โปร่งก็ถูกยกมาถึงโต๊ะ  ก้องยิ้มเมื่อได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของน้องฟ้า
“สุขสันต์วันเกิดนะครับน้องฟ้า  บ่ายนี้พี่โดดเรียนเพื่อมาเตรียมให้น้องฟ้าโดยเฉพาะ  แล้วก็เพลงที่จะเล่นนี้ขอมอบให้คนพิเศษของพี่นะครับ”พูดจบก้องก็เริ่มบรรเลงเพลงที่ซุ่มซ้อมมาหลายคืน  เขาหลับตาปล่อยอารมณ์ให้คล้อยไปตามเนื้อเพลง  พอบรรเลงจบเขาก็ลืมตาขึ้นมองหน้าน้องฟ้า  เด็กหนุ่มต้องประหลาดใจเมื่อเห็นแฟนสาวของตัวเองร้องไห้อยู่  เขารีบหยิบทิชชู่เอื้อมไปซับน้ำตาให้
“พอเถอะค่ะพี่ก้อง”เธอดันมือเขาออก “ยิ่งพี่ทำดีกับฟ้า ฟ้าก็ยิ่งรู้สึกผิด”
“น้องฟ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”ก้องถามอย่างงงๆ “บอกพี่ได้ทุกเรื่องเลย”
น้องฟ้ามองหน้าก้องอย่างเงียบๆก่อนจะเอามือซบหน้า ร้องไห้โฮระล่ำระลักว่า “ฟ้าขอโทษ  ความจริงฟ้ามีแฟนอยู่แล้ว  ที่ผ่านมาเขาไม่สนใจฟ้าเลย  แต่วันนี้เขายังจำได้ว่าเป็นวันเกิดฟ้า เขายังไม่ลืมฟ้า  ฟ้ายังรักเขามาตลอด ขอโทษนะคะพี่ก้อง  พี่ก้องดีกับฟ้าขนาดนี้  ฟ้าไม่อยากหลอกพี่อีกต่อไปแล้ว”
“พ...พี่..ไม่ดี ตรงไหนเหรอครับ”เขาถามอย่างตะกุกตะกัก มือไม้เริ่มสั่น
“พี่ดีกับฟ้ามาก  แต่ไม่รู้ทำไมฟ้าถึงรักพี่ไม่ได้  ฟ้าขอโทษ”พูดจบเธอก็ร้องไห้โฮออกมาอีก
“ไม่เป็นไรครับ”ก้องพูดอย่างเลื่อนลอย “พี่เข้าใจ”
น้องฟ้าบอกก้องว่าไม่ต้องไปส่งเพราะโทรบอกให้แฟนของเธอมารับแล้ว  เด็กหนุ่มยืนมองเด็กสาวที่ตนรักขึ้นรถเก๋งสีดำไปกับผู้ชายอีกคน  จากนั้นจึงขี่มอเตอร์ไซต์ออกไปอย่างใจลอย  เขาจมอยู่ในห้วงความคิด  นึกถึงความทรงจำอันแสนหวานที่ผ่านมา  คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นแค่ฝันไป  พอเรียกสติกลับมาได้อีกที ท้ายรถกระบะสีน้ำเงินคันหนึ่งก็อยู่ตรงหน้าใกล้เกินกว่าจะเบรคทันแล้ว.....โครม!!!
ก้องค่อยๆได้สติลืมตาตื่นขึ้นมา  สายน้ำเกลือระโยงรยางค์เสียบเข้าที่หลังมือขวาของเขา  ขาขวาถูกยกขึ้นสูงและถูกหุ้มด้วยเฝือก  ทางด้านซ้ายข้างกาย  แม่ของเขากำลังฟุบหลับอยู่  ก้องเริ่มขยับแขนซ้าย  แม่ของเขาพลันสะดุ้งตื่นขึ้น
“ฟื้นแล้วเหรอก้อง  รู้สึกยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับ”ก้องตอบอย่างเหนื่อยอ่อน “ยังมึนหัวนิดหน่อย”
“งั้นพักผ่อนเถอะลูก”แม่ของเขาใช้มือลูบหน้าผากเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “อยากกินอะไรก็บอกนะ เดี๋ยวแม่จะลงไปซื้อให้”
ก้องมองหน้ามารดาของเขานิ่ง  น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากหางตา “แม่ครับ ก้องถูกหักอก  ก้องน่าจะเชื่อแม่”
“ไม่เป็นไรๆ”ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างอ่อนโยน “ถือซะว่าเป็นบทเรียนนะ  เดี๋ยวเวลาจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเอง”
“แม่ไม่บ่นก้องเหรอ”ก้องถามอย่างแปลกใจ
“ที่แม่บ่นเพราะอยากจะสอนก้องหรอก  ตอนนี้ก้องก็ได้บทเรียนด้วยตัวเองไปแล้ว แม่จะบ่นซ้ำเติมอีกทำไม”แม่ของก้องยิ้มออกมาแล้วพูดต่อ “หรืออยากฟังแม่บ่น”
“ก็ดีครับ สนุกดี”ก้องตอบยิ้มๆ จากนั้นยกมือซ้ายขึ้นกอดผู้เป็นมารดา “ก้องรักแม่นะครับ”
หญิงวัยกลางคนใช้มือลูบศีรษะลูกชาย “แม่ก็รักลูกจ้ะ”