เมื่อเราอยากให้เขาปฏิบัติต่อเราอย่างไร เราก็ควรปฏิบัติเช่นนั้นต่อเขาก่อน กฎข้อนี้ส่วนใหญ่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แต่มักจะไม่ค่อยประสบผลเมื่อใช้กับเรื่องความรัก ทุกวันนี้การรักเขาข้างเดียวกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เมื่อรักใครสักคน ก็อยากแสดงให้เขารู้ มอบดอกไม้ เอาอกเอาใจ เป็นห่วงเป็นใย ลึกๆก็หวังว่าจะได้รับความรักจากเขาตอบแทนบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่เป็นไปตามที่หวัง และคนที่ผิดหวังก็ต่อยอดกลายเป็นคนอกหักที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน มีตั้งแต่แค่ซึมๆจ๋อยๆ ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวน กินของหวานไม่ได้มันขมปากไปหมด ต้องกระดกแก้วเหล้าอย่างเดียว จนถึงขั้นอยากกระโดดตึกอยากกรอกปากด้วยยาพาราเพื่อลาโลก
แต่ก่อนที่จะกรอกยาใส่ปากหรือก้าวเท้าลงจากขอบตึกก็อยากให้ลองคิดย้อนกลับไปหน่อย วินาทีแรกที่เราลืมตาออกมาดูโลกพร้อมกับเปล่งเสียงร้องไห้จ้า
ตอนนั้นเรามีอะไรติดตัวมาบ้างนอกจากสายสะดือที่เชื่อมกับรกของแม่ สิบกว่าปีที่ผ่านมาก่อนจะเข้าสู่วัยแห่งความรัก ก่อนที่จะได้มาเจอกับคนที่ใช่
เราก็ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างปรกติสุขไม่ใช่หรือ ต่างจากวันนี้ที่ร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อผิดหวังจากเธอคนนั้น เมื่อไม่มีเธอชีวิตก็เหมือนขาดอะไรไป
เหมือนสวมรองเท้าข้างซ้ายโดยไม่มีรองเท้าข้างขวา
แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าเมื่อก่อนเราเคยเดินเท้าเปล่ามาตลอดและก็มีความสุขกับมันดี ตอนนี้เราแค่ไม่ชินกับการกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
แต่เมื่อใช้เวลาปรับตัวสักพักเราก็จะชินกับมันและสามารถกลับไปเดินเท้าเปล่าได้อีกครั้งอย่างปรกติสุข
พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จักอยู่กับปัจจุบัน ผมว่ามันเป็นคำสอนที่วิเศษมาก สาเหตุที่ทำให้คนอกหักและเจ็บช้ำปางตายก็เพราะการไม่อยู่กับปัจจุบันนี่แหละ
มองไปยังภาพวันเก่าๆที่เราเคยรักกันหวานแหววแล้วรู้สึกเสียดาย มองไปยังวันข้างหน้าแล้วหัวใจสลายเพราะความหวังที่วาดฝันเอาไว้พังทลายไปหมด
หันมามองตัวเองตอนนี้ก็ใจหดเมื่อเขาไม่อยู่ข้างๆเราเหมือนเมื่อวาน แต่เราลืมมองไปหรือเปล่าว่าตอนนี้เรายังหายใจอยู่
มือและเท้าของเรายังอยู่ครบสามสิบสองเหมือนตอนที่เราเกิดมาใหม่ๆ
สิ่งที่ทำเราเจ็บช้ำปางตายน่ะจิตเราปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น ผมไม่ขอใช้สำนวนเทศนาโวหาร
เพราะผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนธรรมะธรรมโม
ผมขอเปรียบเทียบเป็น “การแขวนใจ”ตามแบบฉบับของผมเองแล้วกัน
การแขวนใจก็เหมือนการตากเสื้อผ้าให้แห้งนี่แหละครับ
เมื่อเธอเดินเข้ามาในชีวิตฉันก็เปรียบดั่งแสงตะวันส่องให้โลกของฉันสดใส อยากให้ผ้าแห้งไวๆก็ต้องเอาไปตากข้างนอกนั่น ยิ่งเธอบอกว่าจะรักฉันคนเดียวตลอดไปฉันก็ยิ่งตายใจนอนรอให้เสื้อผ้าแห้งอย่างมีความสุข ลืมนึกถึงธรรมชาติของสภาพอากาศที่แปรปรวน เมื่อมีแดดออกก็ต้องมีฝนตก
คำพูดของเธอก็เปรียบได้กับคำพยากรณ์อากาศที่เอาแน่เอานอนได้ไม่มาก เมื่อเธอหมดรักหรือมีคนใหม่ก็เปรียบเหมือนห่าฝนที่อยู่ดีๆเทกระหน่ำลงมา สุดท้ายเสื้อผ้าที่ตั้งใจจะตากไว้ให้แห้งกลับเปียกยิ่งกว่าเก่า หลายคนทำใจไม่ได้ก็คิดอยากลาโลกนี้ไป ทั้งๆที่ผ้าที่เปียกโชกนั้นเราสามารถทำให้แห้งใหม่ในวันหน้าได้
การแขวนใจเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง บางคนกลัวว่าวันหน้าจะพลาดท่าทำใจเปียกเพราะสภาพอากาศไม่แน่นอน
เลยแขวนไว้แต่ในบ้าน
ก็เหมือนกับคนที่ไม่ยอมเปิดใจรักใครนั่นแหละครับ ปลอดภัยดี ไม่ต้องเสี่ยง แต่ก็เหมือนชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง
กับอีกทางหนึ่งเมื่อแดดมาก็เอาใจไปแขวนข้างนอก เมื่อฝนทำท่าจะตกก็เอาใจมาแขวนไว้ในบ้าน บางครั้งพลาดทำใจเปียกบ้างก็ไม่ถึงกับเปียกโชก
ยังไงก็ถือเป็นประสบการณ์คราวหน้าจะได้ไม่เปียกอีก
สำรับคนอื่นจะเลือกทางไหนก็แล้วแต่คนแล้วแต่สไตล์เลยครับ เป็นผมผมขอเลือกทางที่สองเพราะรู้สึกว่าได้ใช้หัวใจคุ้มค่ากับที่เกิดมาหนึ่งชีวิตดี
เมื่อผิดหวังมาก็อย่ามัวแต่ไปโทษฟ้าโทษฝนอยู่เลยครับ มันเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้บริสุทธิ์ยังไง ปักตะไคร้มากแค่ไหน ถ้าฝนมันจะตกซะอย่างมันก็ตกแหละครับ ผมว่าทางที่ดีหันมาใส่ใจ”ใจ”ของเราดีกว่า ลองสังเกตว่ามันถูกแขวนไว้ถูกที่หรือยัง ลองแขวนมุมนู้นบ้าง มุมนี้บ้าง
สักวันหนึ่งอาจจะเจอมุมที่ฝนสาดไม่โดนทว่าแดดส่องถึง แต่ถึงกระนั้นก็ควรตระหนักไว้เสมอว่าสภาพอากาศภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน วันดีคืนดีพายุอาจจะถล่มก็ได้ ถ้าเป็นผมผมจะเลือกแขวนใจไว้ใกล้ๆมือของผมเอง วันดีคืนดีท่าไม่ดีผมจะได้เปลี่ยนที่แขวนใจของผมได้ทัน
รักมากไม่จำเป็นต้องเจ็บมากเสมอไป เพียงแค่แขวนใจให้ถูกที
ขอให้มีความสุขกับการรักนะครับ
^ ^
น้องวินโตกว่าเราเยอะ
ตอบลบ