วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ป้อฮับ แม่ฮับ ป๋มตัดทรงโมฮอคมาฮับ




ครั้งหนึ่งตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ผมเคยคิดว่าจะลองตัดผมทรงนี้ดูสักครั้งในชีวิต  และก็แอบคิดอยู่ลึกๆเรื่อยมาจนปัจจุบันตอนนี้จะขึ้นชั้นปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว  อยู่ในช่วงปิดเทอมกำลังจะเปิดเทอม ช่วงนี้เองที่ผมเริ่มตระหนักแล้วว่าถ้าไม่ตัดทรงนี้ในช่วงนี้  วันหน้าจะไม่มีโอกาสได้ตัดอีกแล้ว   เพราะถ้าเปิดเทอมแล้วตัดทรงนี้เข้าคณะก็จะถือเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่  ปิดเทอมปีหน้าต้องฝึกงานเป็นส่วนใหญ่ไม่รู้จะมีเวลาได้ตัดหรือเปล่า  จบออกไปทำงานเป็นเภสัชกร  ขืนตัดทรงนี้คนไข้ก็จะกลัวเอาเปล่าๆ  ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ไม่ตัดก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ลึกๆในใจมันท้าทายตัวผมอยู่ตลอดเวลา "มึงกล้าตัดหรือเปล่าไอ้วิน  ถ้าไม่ตัดตอนนี้ก็จะไม่ได้ตัดอีกแล้วนะเว้ย" ความจริงผมจะเมินเฉยทำเป็นไม่สนใจก็ได้  แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจลองตัดผมทรงนี้ดูในที่สุด

พอตัดเสร็จมีเด็กวัยรุ่นสองคนต่อคิวตัดต่อจากผม  มันสองคนหัวเราะกันใหญ่ แต่ไอ้คนหนึ่งก็รีบเตือนเพื่อนว่า "เดี๋ยวโดนตีนะเว้ย" ผมหันไปมองหน้าเป็นเชิงจะบอกว่า "ไม่เป็นไร ตูไม่คิดมาก" แต่พอมองหน้าปุ๊บมันก็หุบยิ้มรีบหันไปทางอื่น  ก็ไปออกกำลังกายที่สนามกีฬาเทศบาลต่อ  รู้สึกว่ามีคนมองตั้งแต่เข้าสนามยันออกจากสนาม  ระหว่างกลับก็เตรียมใจอยู่แล้วว่าพ่อกับแม่ต้องรับไม่ได้  แล้วก็จริงดังคาด ได้รับคำด่าว่าจากพ่อและแม่มาคนละชุด  พ่อด่าประมาณว่าผมชักจะเพี้ยนแล้ว  คราวหน้าต้องควบคุมความประพฤติให้มากๆ  ส่วนแม่จะด่าแบบเจ็บ " ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองใช่มั้ย  ถึงต้องไปตัดผมให้คนอื่นเขาสนใจมอง"  เข้าบ้านได้แป๊บเดียวพ่อก็ไล่ไปตัดทิ้งเสียแล้ว  ผมต่อรองกับพ่อว่าจะตัดพรุ่งนี้เพราะจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ก่อน   เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยตัดผมทรงนี้มาแล้ว

ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงหนึ่งวันเต็ม แต่ผมกลับรู้สึกได้เรียนรู้อะไรจากผมทรงนี้    เมื่อเปลี่ยนทรงผมก็รู้สึกว่าความคิดที่เรามีต่อตัวเราและโลกใบนี้มันเปลี่ยนไป   ได้สัมผัสอารมณ์แบบเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องแคร์สังคม  และก็มีอิทธิพลต่อความคิดของคนอื่นเป็นอย่างมาก  ผมรู้สึกได้ว่าหลายคนตัดสินผมไปแล้วตั้งแต่แรกเห็น เรียกว่าการเหมารวม(sterotype) ไอ้นี้ตัดผมทรงนี้มาแสดงว่ามันเปรี้ยวแน่  อย่างไอ้น้องสองคนที่หัวเราะ  มันก็คิดว่าถ้าหัวเราะเกินงามจะโดนผมตีเอา  ซึ่งตัวผมจริงๆไม่ทำแบบนั้นแน่นอนเพราะไม่ใช่ตัวตนของผม   และหลายคนก็มองผมแต่ไม่กล้ามองแบบตรงๆ  สายตาเหล่ามองผมด้วยแววตาที่สะท้อนความรู้สึกที่ต่างจากตอนที่ผมตัดทรงธรรมดา   ความคิดที่ผมมีต่อตนเองกับความคิดที่คนอื่นมีต่อผมมีความสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาด    เมื่อไปไหนมาไหนแล้วมีแต่คนมองด้วยสายตาแปลกๆ  ผมก็ปรับตัวตามโดยเปลี่ยนความคิดตนเองให้ไม่แคร์สายตาคนรอบข้างเท่าไหร่   ถึงจะเป็นแค่เรื่องทรงผมซึ่งเป็นแค่ขนบนหัวที่รูปทรงเปลี่ยนไป  แต่การจะตัดผมทรงหนึ่งคุณก็ต้องแลกด้วย "อัตลักษณ์" บางอย่าง   อย่างเช่นการตัดผมทรงโมฮอค   ผมอาจจะได้เป็นเป้าความสนใจ  อาจจะรู้สึกสะใจ  เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น กล้าทำอะไรห่ามๆมากขึ้น แต่จะให้คนอื่นมาให้เกียรติผม  มองว่าผมเป็นคนดี อยากคุยด้วยนั้น  ถือว่ายาก

ไม่รู้ว่ากลไกลอะไรของสังคมที่เป็นตัวกำหนดว่า ผมทรงนี้ แต่งตัวแบบนี้ต้องเป็นพวกเด็กมีปัญหานะ  อาจจะมาจากสื่อโทรทัศน์ที่เราเคยเห็นแบบอย่างจากภาพยนต์  เห็นจากข่าวตอนเด็กแว๊นถูกจับ  หรืออาจจะเป็นสัญชาตญาณของคนเราที่ถูกกระตุ้นด้วยสีสันและรูปร่างที่ไม่ราบเรียบสม่ำเสมอเหมือน ผมรองทรง หรือ การใส่สูท  ทั้งๆที่คนที่สักเต็มตัวหลายคนก็มีอัธยาศัยดีกว่าคนใส่สูท     ผมก็ลองคิดดูขำๆว่าถ้าบังเอิญในสมัยหนึ่งมีหมอที่รักษาคนไข้เก่งมากจนชื่อเสียงโด่งดัง โดยที่ลักษณะเด่นของหมอคนนี้คือผมทรงโมฮอค  ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ สายวิทยาศาสตร์สุขภาพอาจจะตัดทรงโมฮอคกันหมดก็ได้  ถ้าเป็นเช่นนี้ผมทรงโมฮอคก็อาจจะกลายเป็นทรงผมที่ดูสุภาพ  ในอีกมุมหนึ่งพวกที่อยากเป็นของตัวเอง  อยากฉีกจากกรอบเดิมๆให้ไม่เหมือนใคร  ก็อาจจะหันไปตัดผมรองทรงกันก็ได้  แล้วพอมีใครตัดรองทรงมา ก็อาจจะถูกเหมารวมเอาได้ว่า "ไอ้นี่มันเปรี้ยวนี่หว่า"

แต่สุดท้ายจริงๆมันก็แค่ รูปร่างของขนบนหัว  เป็นแค่ด่านแรกของการตัดสินว่าคนๆหนึ่งเป็นอย่างไร  แค่นั้นแหละครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. คนรีบร้อน เวลาน้อย ต้องรีบเร่งตัดสินคนที่เปลือกนอก

    แต่เค้าอยากตัดมั่งก็ได้

    หัวเขียววว



    ตอบลบ