
ผมมีความเห็นว่า “ความเบื่อ” เป็นแรงผลักดันให้เกิดการทำกิจกรรมมากมาย เป็นแรงผลักดันในเชิงลบ ผู้คนส่วนใหญ่ดิ้นรนเพื่อจะหลุดพ้นจากอิทธิพลของมัน
ขอระบายหน่อยครับ วันนี้เรียนภาษาอังกฤษที่ AUA อาจารย์บ่าก้วยก๋า(แปลว่าฝรั่ง) เขาให้จับคู่กับผู้หญิงในชั้น จำลองสถานการณ์ว่าอยู่ในผับโดยการเปิดเพลงดังๆ แล้วให้เราพยายามพูดทำความรู้จักกับฝ่ายตรงข้าม
ประโยคหนึ่งจากคู่ของผมที่โดนใจผมมากก็คือ do you think it’s boring อื้อหือ.. จี๊ดโดนใจจนหน้าชา สมองมึนตึ้บไปชั่วขณะทีเดียวเชียวครับ ผู้อ่านที่เป็นวัยรุ่นชายราวๆมัธยมปลายน่าจะเข้าใจความรู้สึกของผมดีครับ เรื่องแบบนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีตามธรรมชาติของวัยรุ่นชายเลยนะครับ
โดยส่วนใหญ่ที่ผมสังเกตเห็นและตัวผมเอง วัยรุ่นให้ความสำคัญของหน้าตาตนเองในสังคมค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่จะเป็นสังคมประเภทเพื่อน ยกตัวอย่างเช่น การตามแฟชั่น การใช้คำหยาบเป็นหางเสียง(เห้! เยะเข้!) วัยรุ่นก็ต้องการเกียรติในหมู่วัยรุ่นด้วยกัน คงไม่มีใครชอบหากถูกตราหน้าว่าเป็นคน น่าเบื่อ
ผมก็รู้ตัวว่าผมบ่อมีไก๊เรื่องพวกนี้ ผมก็พยายามเต็มทีแล้วมันก็ได้แค่นี้แหละครับ แต่ผมคิดว่าตัวเองพอจะมีไก๊เรื่องบ่นเป็นตัวอักษร เลยเลือกที่จะมาระบายความรู้สึกในบล็อกสะเลย
ผมพยายามคิดให้มีสาระด้วยนะครับ ผมคิดว่า “ความเบื่อ” ก็เป็นรูปแบบของความทุกข์อย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากความเจ็บปวด ขออนุญาตเรียกว่า ความเบื่อ ก็เป็นวิภาวะตัณหา(สิ่งที่ไม่ให้อยากเกิด ธรรมมะธรรมโมนิดหน่อยอย่าเพิ่งหลับนะครับพี่น้อง!!)เช่นเดียวกับความเจ็บปวด
แต่สังคมเราให้ความสำคัญของความทุกข์สองอย่างนี้ไม่เท่ากันครับ ความเจ็บปวด ยิ่งผู้ใดแบกรับมากก็ดูเหมือนยิ่งได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ อย่างเช่น พระเยซูไถ่บาปให้มนุษย์ ส่วน ความเบื่อนี่ ยิ่งใครแบกรับมันมากก็ยิ่งได้รับการดูถูกนะครับผมว่า และดูเหมือนทุกคนที่แบกรับก็ไม่มีใครตั้งใจจะแบกรับมันสักคน
พระอาจารย์เคยบอกไว้ว่า อยากจะพ้นทุกข์ก็ต้องเรียนรู้จากความทุกข์ ความเบื่อก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เช่นกัน
ผมคิดว่าคนสมัยใหม่ที่ทำอะไรห่ามๆและดูถูกคนน่าเบื่อ ผมว่าลึกๆเขาก็กำลังกลัว “ความเบื่อ” และต้องทำอะไรสักอย่างเพื่ออยู่ห่างจากมันมากที่สุด
แต่หนีต่อไป จนแล้วจนรอดมันก็คงตามทันในที่สุด มีใครบางคนที่มีความรู้เคยบอกไว้ว่า จงเผชิญหน้ากับความทุกข์ด้วยการเรียนรู้มัน
เช่นนั้นแทนที่เราจะเอาแต่ดิ้นรนหนีความเบื่อ พวกเรามาหัดเรียนรู้มันบ้างดีกว่าครับ และโปรดให้โอกาสคนน่าเบื่อด้วย(ขอร้องล่ะครับ โฮๆๆ)
ผมก็ดีแต่พูดแสดงความคิดเห็นไปอย่างนั้นแหละครับ ตัวเองยังไม่ค่อยจะรอดเลย ใครมีความคิดเห็นอะไร ก็ลองแสดงกันได้นะครับ ดีไม่ดีว่ากันอีกทีครับ
ปล.บทความนี้เขียนคู่กับเรื่องสั้น “เดี๋ยวก็ชิน”ครับ มือผมยังไม่ถึง กลัวว่าผู้อ่านอ่านแล้วจะไม่เข้าใจว่าเรื่องสั้นต้องการสื่อถึงอะไร(หลักๆ) ขอบคุณที่อ่านนะครับ