วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มีสิทธิอะไร



ข้าพเจ้าซวย  ช่วงสงครามโลก  ตรงกับช่วงวัยหนุ่ม
ชีวิตนักเขียน   ไปได้ดี  อีกไกล  ถ้าวันนี้  ร่างไม่โดนกระสุนเจาะ หรือระเบิดไปเสียก่อน
โชคยังดี  นักเขียนเพื่อนซี้ เพื่อนร่วมคิด อยู่กองร้อยเดียวกัน    เคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามเพลาะ
ลูกตะกั่วแหวกอากาศ  เจาะร่าง  ร่างแล้วร่างเล่า   ระเบิดดัง  อัดดินดำกระจาย  คละชิ้นส่วนชายชาติทหาร
เราสองคน  โผล่ท่อนบน  พานท้ายปืนอัดร่องไหล่   ยังไม่ได้ยิงซักนัด
เสียงปืน  เสียงระเบิด  เสียงคำรามแผดร้อง  ข้าพเจ้าตะเบ็งเสียงแข่ง  พูดกับเพื่อนซี้ข้างๆ
"ข้าชอบยิงปืน  ข้าไม่ชอบยิงคน"
"ข้าไม่ชอบยิงซักอย่าง  ข้าชอบคิดแล้วเขียน"
"ข้าคิดก่อนลั่นไก  เรามีสิทธิอะไรตัดสินอายุขัยคนพวกนั้น"
"คนพวกนั้นมีสิทธิอะไรมารุกรานมาตุภูมิเรา"
"สิทธิตั้งอยู่บนฐานของหน้าที่และการไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น มันรุกรานมาตุภูมิเรา มันไม่มีสิทธิ"
"แล้วมันมีสิทธิตัดสินอายุขัยเราไหม"
"มันไม่มีสิทธิ  แต่มันทำได้"
"เราก็ไม่มีสิทธิ แต่เราก็ทำได้"
"หมายถึงทำอะไร"
"จะยิงกะบาลพวกมัน   นอนหลบในสนามเพลาะ  หรือหันหลังวิ่งหนี"
"ใครหันหลังวิ่งหนี  หัวหน้ากองพันสั่งยิงทิ้ง"
"หัวหน้ากองพันมีสิทธิ?   ละเมิดสิทธิเราหรือไม่?  เอ็งอนุญาต?"
"ข้าชอบคิด  แต่ข้าชักจะปวดหัวแล้ว"
อนิจา  หัวตะกั่วเม็ดหนึ่ง  แหวกอากาศมาเจาะกบาลเพื่อนผมในทันที  คอพับ  ล้มลง  หายปวดหัวไปตลอดกาล
ข้าพเจ้าคำราม  ลั่นไก  ส่งกระสุน  เจาะกบาลข้าศึก
ข้าพเจ้ายังไม่อยากหายปวดหัว  เหมือนเพื่อน
ข้าพเจ้ายังอยากเก็บสมองไว้คิด   ตอนนี้จำต้องหยุดคิด  แล้วส่งกระสุนเจาะกบาลพวกมัน


หมายเหตุ: flash fiction เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมากจาก บทกวี"ฉันอยากเป็นนักแม่นปืน" ของ  ซะการีย์ยา  อมตยา  กวีซีไรต์

บทกวี บุญเกิดเจ้านกแก้ว


โอ้ เจ้าบุญเกิด
แอฟริกันเกรย์หางสีแดงตัวสีเทา
เงียบเสียงชม้ายมองเมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้
คล้ายจะสดับคำที่ฉันจะพูด
จารึกถ้อยคำลงในความทรงจำผ้าขาวนกแก้ว

โอ้ เจ้าบุญเกิด
พูดคำแรกทียินดีกันยกบ้าน
เสียงใสแจ้วคล้ายทารกหัดพูด
คนพูดภาษานกไม่เท่าไหร่  นกพูดภาษาคนน่าตื่นใจ
นกพูดได้ดูน่าตื่นเต้น  คนพูดไม่ได้ดูไม่เห็นมีอะไร

โอ้ เจ้าบุญเกิด
มันร้องเพลงได้  เพี้ยนนิดหน่อยจากที่ฉันสอนไว้
"ตับ ตับ จิ๊ก!! ตับ ตับ" สร้างความเริงใจให้ทุกหูที่ผ่านเสียง
คนร้องเพลงด้วยความครื้นเครงในจังหวะและท่วงทำนอง
นกแก้วรู้สึกครื้นเครงเวลาร้องเพลงบ้างไหม

โอ้ เจ้าบุญเกิด
ร้อง "โอ้มายก๊อด!" ตั้งแต่เช้ายันบ่าย
ฟังอยู่นานค่อยฟังออกว่ามันพูดว่าอะไร
ฟังออกก็จริงแต่ก็ยังฟังไม่เข้าใจ
นกแก้วเชื่อในพระเจ้าหรือไม่

โอ้ เจ้าบุญเกิด
ไม่ยอมกินอาหารนกแก้วสำเร็จราคาแพง
จะกินเมล็ดทานตะวันกับแทะกระดูกไก่
ช่างเลือกกินเหมือนนิสัยเจ้าของ
นกแก้วก็มีรสนิยมหรืออย่างไร

โอ้ เจ้าบุญเกิด
ฉันแตะตัวหน่อยทำขนพองจะงับนิ้วให้
อยู่กับหม่ามี้เป็นเด็กดีก้มหัวให้เกา
บุญเกิดรักหม่ามี้
ฉันก็รักหม่ามี้

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แผ่เมตตา


กลับจากงานศพ  ตกดึก  เข้านอน  จิตโปร่งโล่งสบาย
คนที่ควรตาย ตาย  ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง  ฉันยินดีไปร่วมงานศพ  ไม่ได้ตื่นเต้นยินดี แต่ตายไปก็ดีเหมือนกัน
คู่แค้นตาย เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป   ต้องปรับตัวกับความโล่งใจใหม่
ดับไฟ  ห่มผ้า ตาปิดสนิท   เคลิ้ม  ปริ่มๆภวังค์
ทันใดนั้น  ผ้าห่มที่ห่ม  ค่อยๆเลื่อนจากยอดอก  ชายผ้าไล้ผ่านปลายเท้า
ฉันรู้สึกตัว  ร่างไร้ผ้าห่ม  ลมเย็นโชย  แต่หนาวจากใจมากกว่า  ตัวสั่น
แว่วเสียงคร่ำครวญ สะอื้น  หวนไห้  ฉันหลับตาปี๋  ไม่อยากเห็นสิ่งที่คิดว่าจะเห็น
ความกลัวครอบงำ  เล่นตลก  คนเราเวลากลัว  มักเสียความสามารถในการคุมตัวเอง
ฉันเผลอ  ลืมตาโพลง
หล่อน!!!!
ฉันหวังว่า นี่จะเป็นแค่เรื่องหักมุม  ลืมตา แล้วเจออะไรตลกๆสักอย่าง
แต่   เป็นหล่อนจริงๆ   ฉันเพิ่งไปร่วมงานศพหล่อนมา
ถึงผีไม่ทำอะไร  เราก็กลัวผี  ไม่มีเหตุผล  ฉันกลัว  นิ่ง แข็ง  กรี๊ดไม่ออก
"ฮือๆ  ฉันตาย"
ฉันกลัว  แต่นึกถึงตอนก่อนหล่อนตาย  สิ่งที่หล่อนทำ  ฉันหมั่นไส้
"ยังจะมารังควาญอีก"
"ฉันยังไปเกิดไม่ได้ ฮือๆ"
"จะเอาอะไรกับฉันอีก"
"ขอส่วนบุญหน่อย"
"ฝันไปเถอะ"
"ถ้าไม่ให้  ฉันไม่ไป  จะหลอกเธอทุกคืน"
"ฉันจะไปจ้างหมอผี  จับแกยัดลงไห"
"คืนนี้เธอจะไม่ได้นอน  แบร่!!"
"กรี๊ดดดดดด"
"แค่ส่วนบุญนิดหน่อย  ฉันก็ไป  โง่ไปได้"
"ฉันไม่เต็มใจ"
"เอาส่วนบุญมา!!!"
"โอเคๆ  ได้แล้วไปนะ  คนจะนอน"
ฉันลุก  นั่งคุกเข่า ก้นทับเท้า  ท่าเทพธิดา   ทวนบทสวดมนต์สมัยอนุบาล  บทสัพเพสัตตาลางเลือนในความทรงจำ
หล่อนเลือนหายไป  คงไปเกิดใหม่  ขอให้ไปเกิดในรก อย่าได้เจอหน้ากันอีก   ฉันจะขึ้นสวรรค์
แต่ฉันแปลกใจ  คิดไม่ตก  นึกทบทวนดู
เมื่อครู่  ฉันท่องบทแผ่เมตตา  ไล่หล่อนให้ไปไกลๆ
บทแผ่เมตตาจริง   แต่ฉัน  แผ่อะไรออกไปหว่า

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จุดจบที่แท้จริง


1. นักวิจารณ์สับกันมัน  สับกันเละ
หนังสือนวนิยายของนายกบินทร์  โศกนาฏกรรมวงการวรรณกรรมไทย   ทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างเลวร้าย
นักอนุรักษ์ธรรมชาตินับพันชีวิต  ยืนไว้อาลัย  ชีวิตต้นไม้หลายล้านต้น   สละมาเพื่อพิมพ์ขยะวรรณกรรมเรื่องนี้
นักอ่าน  นักวิจารณ์  นักอนุรักษ์ธรรมชาติ  ดักปาขี้ปาไข่หน้าบ้าน  ผลัดเวรกันยี่สิบสี่ชั่วโมง
 กบินทร์ออกจากบ้านไม่ได้    ต้องจ้างเด็กอ่านหนังสือไม่ออกคนหนึ่ง   ไปซื้อข้าวมาส่งทางหลังบ้าน
ชื่อเสียงนักเขียนนั้นสำคัญ  ถูกตราหน้าว่าเละขนาดนี้   ไม่ต้องหมอเละฟันทวนก็ฟันธงได้   ชีวิตนักเขียนของกบินทร์ดับแล้ว  จบจริงๆ
แต่หารู้ไม่  ใจเขายังไม่จบ  ไฟยังไม่ดับ  บ้านมืดสนิท เงียบสงัด  แต่โป๊ะไฟเล็กๆเปิดอยู่ตลอด  ปิดวันละสี่ชั่วโมงตอนนอน
กบินทร์เป็นคนไม่ยอมใคร  เขาจะต้องกลับมาดัง  ทุกคนที่อ่านหนังสือออกจะต้องลืมว่าเคยด่าเขา  คลั่งไคล้เขาชนิดยอมให้นั่งตักเขียนหนังสือ
เวลาที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   ความเกลียดชังที่โลกภายนอกมีต่อเขา  ถูกเอามาใช้เป็นวัตถุดิบ  ผลิดตวรรณกรรมเอกชิ้นใหม่
แล้วจะได้เห็นกัน

2. ถล่มทลาย  เหยียบกันตายหน้าโรงพิมพ์
ในความเห็นนักวิจารณ์  นวนิยายของกบินทร์  หม่นหมอง หดหู่  อ่านแล้วเหมือนโลกพร้อมถล่มลงมาทับ  รสชาติแปลกใหม่
ยอดขายประเมินไม่ได้   มาแรงแซงนิยายชวนฝัน  รักหวานแหวว ทุกเรื่องในตลาด
มีข่าว  ปล้นโรงพิมพ์สามแห่งในสองวัน  นวนิยายของกบินทร์ถูกกวาดเกลี้ยง   นำไปขายโก่งราคาในตลาดมืด
นักอ่านคลั่งไคล้  ผลัดเวรกันมายืนกรี๊ดหน้าบ้านกบินทร์  ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง   ออกบ้านไม่ได้
เด็กอ่านหนังสือไม่ออก โตแล้ว  กลายเป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์  พากบินทร์ไปคฤหาสน์  สร้างเสร็จใหม่ ห่างไกลคน
กบินทร์จรดปากกา  พยายามเขียนนวนิยานเรื่องใหม่
แต่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่  ไม่คาดคิด  ก่อตัวเป็นความกดดัน  กบินทร์ไม่กล้าเสี่ยงกับชื่อเสียงตน
แม้แต่ตัวจะเขียนอักษรตัวเดียว  ยังไม่กล้า
ชีวิตนักเขียนของกบินทร์  จบแล้วจริงๆ

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เสียงค้านในความเงียบ



ใครมีความเห็นอื่นจะเสนอมั้ย"
ความเงียบเข้าปกครองห้องประชุม  ผมมี  แต่ไม่กล้ายก ถึงกล้าก็มีข้ออ้างให้ไม่ยก
ในห้องประชุมประกอบด้วย ประธาน  เลขา และผู้บริหารระดับกลาง  รวมผมแล้วเป็นยี่สิบชีวิต
ห้องประชุมของบริษัทในประเทศไทย  ประธาน เลขา ทุกคนในห้อง เป็นคนไทย
ถึงจะคนไทยเหมือนกัน  แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความเห็นทุกเรื่องตรงกัน
มองหน้าคนอื่นๆ  สีหน้าเรียบเฉย  ดูไม่ออกเลยว่าเห็นด้วยหรือไม่
ถ้าผมยก  ผมจะเป็นแกะดำหรือไม่  คนจะมองผมอย่างไร
จากสีหน้าท่านประธาน  เวลาโอกาสแสดงความคิดเห็นใกล้หมด
ส่วนลึกในใจสั่งให้ยกมือพูด  แต่ส่วนตื้นของสมอง  ไขสันหลัง ประสาทอัตโนมัติ  สั่งการให้แนบแขนชิดลำตัว
วินาทีกดดัน  ความคิดต่อสู้หักล้างกันในใจ ทันใดนั้น   รักแร้ผมแสบจี๊ด  เหมือนมดกัด
ความรู้สึกนี้.... มดส้ม   คงเป็นมดส้มบนต้นมะม่วงหน้าบ้าน  ร่วงใส่ก่อนออกจากบ้าน
ผมเผลอยกมือขึ้น  เหยียดตรงขึ้นฟ้า  ดูมั่นใจจนทุกคนในห้องเหลียวมอง
"คุณไม่เห็นด้วยกับผม?"
เลยตามเลยแล้ว "ครับ"
ท่านประธานพยักหน้าขรึม  ยังไม่ถามอะไรผม ถามคนอื่นๆก่อน
"มีใครไม่เห็นด้วยกับผมอีกไหม"
ทุกชีวิตในห้องชูมือสลอน  เลขาท่านประธานถึงกับชูสองมือสองเท้า กกน.สีชมพูแล่บ  สีหน้าเรียบเฉยของทุกคนถูกทะลายออก   แสดงออกถึงความครุกรุ่น ขบเขี้ยว  ใคร่ระบายความคิดเห็น
ผมมองทุกคน  ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวชวนให้ฮึกเหิม  พวกเราคนไทยร่วมสมัย  ผมเข้าใจความรู้สึกนี้
ถ้ามึงกล้าเปิด  กูก็กล้าตาม

พี่ชายที่แสนดี



พี่ชายของฉันดีที่สุดในโลก
ฉัน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ  พ่อเสีย แม่ป่วย  มีพี่ชายแข็งแกร่งปกป้อง
เด็กหนุ่มตัวเล็ก  ใจใหญ่   ตัวเป็นเด็ก  ความคิดความสามารถโตกว่าผู้ใหญ่
ไม่ได้เรียน ไม่บ่น   ขยัน ทำงาน  หาเงิน  ส่งฉันเรียน  เลี้ยงแม่
โลกภายนอก  โหดร้าย หนักหนา  แต่กับฉัน  พี่อ่อนโยน  เสมอต้นเสมอปลาย
กับฉัน  พี่ไม่เคยโกรธ  แต่กับคนที่รังแกฉัน  พี่ไม่ยอม  โกรธน่ากลัว แต่อุ่นใจแน่ว่าปกป้องฉันได้
พี่คือผู้กล้าในดวงใจ  ทำเพื่อฉันมามาก  ฉันอยากตอบแทน
วันหนึ่ง  เดินกลับบ้าน  ผ่านในวัด   ลูกแมวสีเทา  ยังเล็ก น่ารัก ซุกซน เสียงแจ้ว เข้ามาคลอเคลียแข้ง
ฉันนึกถึงพี่ชาย  มองซ้ายขวา  อุ้มลูกแมว  ใส่กระเป๋านักเรียน  เว้นช่องว่างซิบ เป็นรูอากาศหายใจ
หน้าบ้าน  พี่ถือไม้กวาดทางมะพร้าว  กำลังกวาดหน้าบ้าน
พี่ยิ้มต้อนรับ   ฉันยิ้มตอบ  ยื่นกระเป๋า
หวังให้พี่ประหลาดใจ   เปิดซิบ  โยนลูกแมวตัวน้อย  ละลิ่วจากกระเป๋า  เข้าหาอ้อมอกพี่ชาย
พี่ร้องลั่นบ้าน  หวดไม้กวาด  ตีลูกแมวกลางอากาศ  ร่วงลงพื้น  ดิ้น ครวญคราง
พี่กระทืบซ้ำ  ลูกแมวน่ารัก  ร่างแหลกเละ  มิวายกระทืบซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า   ซากลูกแมวบี้แบนติดพื้น
ฉันเพิ่งรู้ในวันนี้   พี่ชายที่แสนดีของฉัน  เกลียดแมว

"จองจำ"


ผมเดินกลางห้าง  จะรีบไปทำธุระ สวนกับเพื่อนเก่าสมัยอนุบาล   ทักกันแวบเดียว  คุยยาว
"หน้าตาเปลี่ยนไปเยอะเลยนี่หว่า เฮ้ย! จำได้มั้ย  ตอนเด็กน่ะ เราซี้กันออก เล่นสนุกกัน ต่อยกันเองก็มี"
"จำได้ๆ"
"เมื่อก่อนยังดูดนิ้ว สูดขี้มูกฟืดๆกันอยู่เลย  มาเดี๋ยวนี้หัวล้านลงพุง มีลูกมีเมียกันแล้ว โอ้โห  เปลี่ยนไปเยอะจริงๆ แม่! สงสัยข้าต้องถูกชะตากับเอ็งเอามาก  เห็นแค่แวบเดียวก็จำเอ็งได้แล้ว  ลูกเมียเอ็งเป็นไงมั่ง"
"สบายดี เอ้อ พอดีว่า..."
"ลูกกี่คน  กี่ขวบกันแล้ว"
"เอ่อ  ลูกชายคนเดียว ห้าขวบ"
"อย่าบอกนะว่าเรียนอยู่ อนุบาลหมีใหญ่"
"ใช่ๆ โทษทีนะ พอดี..."
"ข้าว่าแล้ว แม่! ลูกข้าก็ห้าขวบ อยู่อนุบาลหมีใหญ่  เรานี่ถูกชะตากันเอามาก  หวังว่าคงไม่มีเมียคนเดียวกันนะฮ่าๆๆ  เออเว้ย! ดีใจจริง ได้เจอเพื่อนเก่าถูกชะตา"
"ข้าก็ดีใจ  แต่ข้ามีธุระด่วนต้อง...."
"อะไรว้า!  เจอหน้าเพื่อนเก่าทั้งทีจะหนีไปทำธุระซะแล้ว  รังเกียจข้ามากเลยเรอะ   หน้ามู่ทู่เชียว  ได้ดิบได้ดีแล้วหนีเพื่อนเลยนะ"
"เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้น คือ..."
"ฮ่าๆ  ข้าล้อเล่นหรอก  หน้าซีดเป็นตูดไก่ไปได้  ข้ารู้ ไม่ใช่เด็กกันแล้ว  เป็นผู้ใหญ่มันก็ต้องมีธุระปะปังเป็นธรรมดา  ข้าก็ไม่อยากรั้งเอ็งไว้นานหรอก"
"โอเค  โชคดีนะเว้ย  ไว้เจอกัน ต้องรีบไป..."
"เอ้อ เดี๋ยวๆ  ขอเบอร์ติดต่อไว้หน่อย พอดีตอนนี้ข้ากำลังทำโปรเจคเกี่ยวกับสุขภาพ  ได้เงินดีเลยนะเว้ย เลยอยากชวนเอ็ง..."
"โอเค  ลูกโซ่ขายตรงเอาไว้วันหลัง  ตอนนี้กูปวดขี้ โอเคนะ ไปล่ะ"
"ไม่ใช่ๆ  มันไม่ใช่ลูกโซ่หรือขายตรงอย่างที่เข้าใจ มันคือธุรกิจเครือข่ายที่...."
"เดี๋ยวเอาขี้ยัดปากซะหรอก  ไปละโว้ย  ไม่ไหวแล้ว!!"
ผมวิ่งหน้าตั้ง  เหมือนนักโทษวิ่งหนีผู้คุม ลุ้นระทึก  ขนลุกซู่  โชคดียังทัน  ระเบิดไม่ลงกลางห้าง   โล่งสบาย โล่งอก รู้สึกถึงอิสรภาพ เหมือนนักโทษเพิ่งออกจากคุก  คุกที่จองจำด้วยการสนทนา  ยังไงยังงั้น

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เธอที่ฉันจะทิ้ง


เวลาพิสูจน์แล้ว  ผมควรจากมา   แล้วไปต่อ
ช่วงเวลาแรกรัก  ความวาบหวามครอบงำโลกทัศน์  มองเห็นอะไรไมชัด
วันเวลาผ่านไป  เห็นชัดขึ้นทีละน้อย  เห็นความต้องการตัวเอง   ได้ยินเสียงที่หัวใจเรียกร้อง
มันยังไม่อยากถูกผูกมัด   มันรักอิสระมากกว่ารักเธอ
เวลาช่วงแรกบ่มเพาะขึ้นเป็นความแน่ใจ  เวลาช่วงหลังบ่มเพาะขึ้นเป็นการตัดสินใจ
ตัดสินใจแล้ว  แต่ก็ยากจะตัดใจบอก  กลัวตัดสินใจผิด  กลัวเธอเสียใจ
โถงทางเดินในโรงพยาบาล   ยาว  แต่อยากให้ยาวกว่านี้
ถึงประตูห้อง   ห้องที่เธออยู่  เส้นทางในการเดินครุ่นคิดยุติลง   สองเท้าหยุดหน้าประตู
รอเธอหายดีค่อยบอก   ความต้องการของหัวใจ  ใจร้ายเกินไปถ้าจะบอกวันนี้
เธอประสบอุบัติเหตุ  ผมทราบ  รีบบึ่งรถมา  เป็นห่วงเพราะความผูกพัน  พันธะ  และรักที่เจือจางแทบลางเลือน
สิ่งที่ผมจะทำ  เธอที่ผมจะทิ้ง  ดูเหมือนผมจะผิด  แต่ถ้าฝืนหัวใจ  ปากหลอกว่ารัก  จนวันหนึ่งถึงจุดแตกหัก  คงจะผิดกว่านี้
สำหรับเธอ  การหาคนใหม่ ที่ใช่ ที่รักเธอ  ไม่ยาก  ผมควรถอนตัว  เธอจะได้เจอคนที่รักเธอ จริงๆ
ตัดสินใจ  ผลักประตูเปิด
ภาพที่เห็น....
ไม่เคยจินตนาการถึงภาพนี้มาก่อน   ใบหน้าแต่เดิมขาวเนียนละเอียด  บัดนี้เปลี่ยนเป็นผิวสีเนื้อระเรื่อขรุขระ เละ    จมูก  ริมฝีปาก  ใบหู  หายไปกับฤทธิ์ไฟคลอก
เดิมเธอสูงระหง  ยามนี้เหลือเพียงร่างท่อนบน  สละท่อนล่างรักษาชีวิตที่เหลือ
เป็นใครก็จำเธอไม่ได้  ถ้าไม่ได้เห็นแววตา   เธอมองผม  น้ำตารื้น   ผมมองเธอ  สบสายตา น้ำตาไหล
เวลานี้  ภาพตรงหน้ามีเหตุผลเพียงพอที่จะทิ้งเธอ   ทางที่ดีควรทิ้งเธอ
แต่ตอนนี้  เปลือกแห่งความใคร่  ความหลง  ความเสน่หาอันจืดจาง  ถูกฉีกกระชากออก
เนื้อแท้ลึกๆของหัวใจปรากฎ  ความรักที่มีพื้นฐานบนความห่วงใย
ไอ้บ้าที่ไหนจะทิ้งเธอก็ช่างหัวมัน  ผมคนนี้จะขอดูแลเธอด้วยชีวิต ตลอดไป

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เมตตาทำ



คุณครูสอนเด็กหญิงดวงใจเรื่องการทำความดี
ใครทำความดีเยอะๆ เป็นเด็กดี   เด็กดีได้เป็นนางฟ้า
เด็กหญิงดวงใจอยากเป็นนางฟ้า   คิดทำความดี
กลับบ้าน   ช่วยมดสี่ตัวขึ้นจากน้ำในแก้ว  ยิ้มแก้มปริ อิ่มใจกับการทำดี
เด็กหญิงดวงใจคิด  แค่นี้ยังไม่เยอะ  คิดทำดีอีก  แต่คิดไม่ออก
ตอนนั้น   นางฟ้าอาจดลบันดาล  ส่งยุงตัวหนึ่งมากัดแขน  ความคันสะกิด  เด็กหญิงมองดู
เด็กหญิงดวงใจนึก  คำครูสอน  การให้คือการทำความดี
ยุงดูดเลือดจนตัวป่อง   เด็กหญิงอิ่มเอิบใจ  ให้เลือดยุงกิน  ยุงอิ่มมีความสุข
เด็กหญิงดวงใจคิดได้    ออกนอกบ้านกลางดึก  ทำความดี  ยืนแบ่งเลือดให้ยุงกิน
เด็กหญิงทำความดีทุกคืน   ระหว่างนี้  เด็กหญิงได้เรียนรู้การเมตตา  แบ่งปัน
ยอมคันนิดหน่อย  ประทังชีวิตยุงหลายตัว  เด็กหญิงดวงใจภูมิใจที่ได้เป็นเด็กดี

สองเดือนผ่านไป

ไม่มีใครรู้   เด็กหญิงดวงใจได้เป็นนางฟ้าหรือไม่
เพราะไข้เลือดออกและสมองอักเสบ  พ่อแม่ของเด็กหญิงร้องไห้ฟูมฟายหน้าโลงศพ

ไร้ช่องโหว่


เกินหน้าเกินตาไปแล้วนะ
เพิ่งมาใหม่แท้ๆ   ยิ้มโปรยเสน่ห์  ทักทายคนในออฟฟิศไปทั่ว  ใครๆก็รัก เชอะ!
หน้าตาสวย ทำงานเก่ง   โถ แม่เพอร์เฟ็ค แม่โลกสวย  ชีวิตคนเรามันต้องมีข้อด้อยบ้างล่ะ
เรื่องดึงปมด้อยคนแบบเธอออกมา  ฉันถนัด  ฟิวส์ขาดหมดสวยไปนักต่อนักแล้ว
"แหม เธอหน้าอกเล็กจังนะจ๊ะ  รู้มั้ย  ผู้ชายเดี๋ยวนี้ให้ความสำคัญมาก   จอแบนอย่างเธอผัวจะทิ้งเอาง่ายๆ"
"ขอบคุณที่เตือนนะคะ  แต่หนูไม่รู้จะทำยังไงให้ใหญ่ขึ้น พี่มีวิธีแนะนำไหมคะ"
เหมือนโดนย้อน  หน้าอกฉันก็ไม่ได้ใหญ่  แต่ไม่กลัว  ภูมิต้านทานฉันดี  ไม่กลัวโดนด่ากลับ  เปราะบางอย่างเธอหรือจะสู้ฉัน
"โปรยยิ้มทั่วออฟฟิศแบบนี้  ได้เหยื่อใต้ชายกระโปรงมากี่่รายแล้วล่ะ  หายคันหรือยัง"
"เอ  ไม่ได้คิดนะคะ  ปรกติหนูก็ยิ้มให้ทุกคนอยู่แล้ว   แต่ถ้ามีคนมาชอบก็ดีใจค่ะ"
ความใสซื่อของเธอทำฉันดูเป็นอีโง่
"เธอซื่อบื้อรู้มั้ย  โดนหลอกด่าก็ไม่รู้เรื่อง"
"ขอบคุณที่สอนนะคะ  หนูไม่ทันคนเท่าไหร่ คงต้องให้พี่สอนอีกเยอะ"
ปรอทฉันจะแตก  ใสซื่อน่าตบจริง
"อีโง่!"
"ถ้าด่าหนูแล้วพี่ได้ปลดปล่อย  หนูยินดีค่ะ"
ทนไม่ได้แล้ว  แน่นอก  กรี๊ด!  เงื้อมือตบหน้ามัน  เพี้ยะ!!
นังโลกสวยหน้าหัน  สะใจจริงเชียว  มาตบกับฉันมา  ตบแย่งผู้ชายตั้งแต่ม.ปลายฉันไม่เคยแพ้
"ขอบคุณพี่นะคะ  หนูได้เรียนรู้กับความเจ็บปวด  เพื่อจะได้อดทน  เข้มแข็งขึ้น"
ฉันกรี๊ดแตก ฉันยอมแพ้  สะบัดหน้า  เดินจ้ำพรวดจากมา   สายตาหลายคนในออฟฟิศมองฉันอย่างรังเกียจ  ช่างมันปะไร
นังโลกสวยคนนี้  โลกสวยเกินไป
นางโลกสวยคนก่อนๆ  แทบไร้ที่ติ  แต่เกราะโลกสวยยังมีช่องโหว่ให้เล่นงาน
แต่นังคนนี้   กลับไม่มี
ไม่ใช่เกราะมันไม่มีช่องโหว่  แต่มันไม่มีเกราะ  มีแต่ความว่างเปล่า  เปลี่ยนสิ่งที่โจมตีมาให้เป็นอากาศ  อากาศสดชื่นของโลกสวย  สุดท้ายจึงไร้ช่องโหว่
และฉันก็เริ่มเอ็นดูเธอซะแล้วสิ

เรื่องยังไม่จบ



1. บ้านคฤหาสน์ของเศรษฐีพันล้าน  คุณหนู  ลูกชายคนเดียวของบ้าน
ลูกชายได้มาไม่ง่าย  วิธีวิทยาศาสตร์ไม่ได้ผล  บนบานศาลกล่าวจึงได้มาคนหนึ่ง   ประคบประหงมยิ่งกว่าไข่ในกางเกง
คุณหนู  อยากได้อะไรต้องได้   หาให้ดีกว่าที่อยากได้ด้วย  ไม่เคยถูกขัดใจ  ห้ามใครขัดใจ
คุณหนูถูกสปอยล์  ไม่มีทางเลือก

2.  เด็กสปอยล์  คบเพื่อนกิน   ไม่เรียนหนังสือ
สนุกสนาน  เพื่อนเยอะ  สาวตรึม  เมา  ซิ่งรถ  ชนคน  คนตาย  ขับรถหนี
คดีความ  สื่อประณาม  ร้องหาพ่อแม่  พ่อแม่วิ่งเต้น  ยัดเงิน  สื่อเงียบ ตำรวจเลิกตาม
สังคมยังประณาม  พ่อแม่ส่งไปเมืองนอก  รอกระแสซา  ค่อยกลับมา

3. เงินเยอะ  ไม่เห็นต้องเรียน ไม่เรียน เรียนไม่จบ
ติดยา  กลับมา  รับช่วงต่อกิจการ  ถึงเวลาพ่อแม่วางมือ พักผ่อน
เศรษฐีพันล้าน  บริหารไม่เป็น  พันล้านหมดไป  ไวเหมือนโกหก   ไม่เคยมีใครทำได้แบบนี้
ล้มละลาย   ไม่มีเงิน  ทำอะไรไม่เป็น  ผู้คนสมน้ำหน้า

หลายคนเล่าเรื่อง  มักจบเพียงเท่านี้   แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ  เพิ่งเริ่มต้น

1. ไม่เหลืออะไร  เอาแต่ใจ  ทำอะไรไม่เป็น   สภาพจิตใจย่ำแย่  แย่กว่าคนจนไม่มีกินหลายเท่า
 ลำบากสุดแสน ร้องไห้หาพ่อหาแม่  ท่านเสียไปแล้ว  พ่อแม่รังแกหนู
ไม่มีใครช่วย  ซวย  โทษคนนู้น  โทษสิ่งนี้
แต่สัญชาตญาณยังมี  แรงขับยังอยู่  ดิ้นรนเพื่อชีวิต   สู้วิกฤติทั้งน้ำตา

2. ที่ว่าลำบากเหลือแสน  สุดท้าย  ไม่เกินลำบากเหลือล้าน
ธรรมชาติคน  ปรับตัวได้  ยอมรับชะตา  สู้ความลำบาก  เกี่ยงงานจนเบื่อ  เลิกเกี่ยงงาน
ช่วงลำบาก พิสูจน์รักแท้  คนที่ใช่ พร้อมร่วมลำบาก เฝ้ารอวันนั้น วันร่วมเสพสุข
เปลี่ยนน้ำตาเป็นหยาดเหงื่อ  สู้ชีวิตชิบหายวายวอด

3. หลายบทเรียนพ้นผ่าน  สำเร็จการศึกษาชีวิต  ไม่กลัววิกฤติอีกต่อไป
ขอบคุณความลำบากเหลือแสน  มีวันนี้  มีครอบครัวอบอุ่น  มีธุรกิจหมื่นล้าน
คราวหน้าล้ม  ลุกใหม่  หมดไปหมื่นล้าน  หาใหม่แสนล้าน
ลูกชายคนเดียว ทำงานบ้านเป็นทุกอย่าง  เรียนดี ไม่มีเค้าเด็กสปอยล์เหมือนพ่อแม้แต่น้อย
สามพ่อแม่ลูก  บ้านหลังขนาดพออยู่  ธุรกิจหมื่นล้าน  ความอบอุ่นล้านล้านล้าน

เรื่องยังไม่จบ  แต่ขอจบเรื่องแต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ก่อนฝนหยุด



ฟ้าแล่บ  ฟ้าม่วง  ฝนกระหน่ำ
ใต้หลังคาป้ายรถเมล์  ชายหนุ่ม  แจ็คเกตดำ   คันร่มในมือซ้าย   บุหรี่คาปาก
ยืน  ทอดสายตา  มองถนน ปล่อยอารมณ์  ปากอ้าปล่อยควันเป็นวง
 วิญญาณบุหรี่สีขาว  เลือนหายไปในอากาศเย็น
ห่างไปสองเก้าอี้  หญิงสาว  นั่ง  เหม่อมองถนนผ่านเลนส์แว่น
วิญญาณบุหรี่  วงแล้ววงเล่า  ศพก้นกรอง  เกลื่อนเหนือฝาถังขยะ
ฝนพรำ  เสียงล้อรถโฉบน้ำขังแอ่งถนนเป็นบางครั้ง   เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาเป็นจังหวะ
ซองบุหรี่เหนือฝาถนังขยะ
ลมโชย  ชื้น   หนาว  เหงื่อเม็ดโป้งบนหน้าชายหนุ่ม
ฝนโปรย  ละอองหยาด  กระทบหลังคาแผ่วเบา  จวนหมดเวลาฝน
บุหรี่ออกจากปาก   ควันออกจากปอด  เดินออกจากร่ม   กางร่ม
ฟ้าร้อง  ใจเต้น  คำพูดจากปาก
"มาด้วยกันไหมครับ  เดี๋ยวผมไปส่ง"
ถนนว่างเปล่า  ไม่มีการเหม่อมองของหญิงสาวอีกต่อไป
"ฝนจะหยุดแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ"
"มาเถอะครับ  ฝนหยุดซะก่อน เดี๋ยวผมอดไปส่งคุณ"
รอยยิ้มทำลายความห่าง
"ถ้าช้ากว่านี้  คุณคงชวนฉันไม่ได้แล้ว"
"มาเถอะครับ  ก่อนฝนจะหยุด"
"ค่ะ"

ค่า(น้ำ)นม



แม่ฉันสอนว่า  ชีวิตเรา  ชีวิตเดียว  จงเลือกสิ่งดีที่สุด
ฉันเชื่อฟังแม่  ฉันจึงทิ้งเธอ
โลกปัจจุบัน  วัตถุนิยม  สังคมปลูกฝัง  คุณค่าผู้หญิง ประเมินจากไซส์นม
ในสังคมวัตถุนิยม  เธอนมเล็ก  เธอยังไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับฉัน
ฉันซื่อสัตย์ต่อหัวใจ  ฟังเสียงเรียกร้องของสัญชาตญาณ  มันร้องหาผู้หญิงนมใหญ่กว่า
เธอไม่ผิด  ฉันไม่ผิด  เราแค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง

แฟนใหม่ฉันนมใหญ่  ควงไปไหนมาไหน  ภูมิใจ  คนเหลียวมอง
แต่แล้ว  เธอ   ฉัน  เราเดินสวนกันอีกครั้ง
ฉันลืมแฟนใหม่  เหลียวมอง  เธอนมใหญ่กว่าเก่า  นมใหญ่กว่าแฟนใหม่  ยันฮีช่วยเธอไว้
ฉันนึกถึงคำสอนแม่  จงเลือกสิ่งที่ดีที่สุด
ฉันจึงกลับไปคบกับเธอ   คนที่ใช่  ไซส์นมของเธอ  ฉันเฝ้ารอมาแสนนาน

ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดของฉันแล้ว  แต่ลืมไป  เธอก็มีสิทธินั้น
ในสังคมวัตถุนิยม  กิจวัตรประจำวันคือการเปรียบเทียบ
ฉันขับฮอนด้าซิตี้   ส่วนเขาขับแลมโบกีนี่
ขนาดนมเธอ  ค่ารถเขา  คู่ควรกัน  เธอจึงทิ้งฉันไป
ความเสียใจของฉัน  ไม่เหมือนไซส์นม  ประเมินขนาดไม่ได้

ฉันคบแฟนใหม่  คนที่ใช่
ฉันมองข้ามเรื่องนม  ฉันเรียนรู้  บรรทัดฐานอื่นสำหรับตัดสินคุณค่าแฟน
ฉันภูมิใจกับแฟนคนใหม่
แฟนใหม่ฉัน  ขนาดนมเล็ก  อกราบเรียบ  ไม้กระดานชั้นดี
แต่ก็ไข่ใหญ่กว่าผู้ชายใดๆในโลกนี้


ปล. เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องแต่ง ไม่เกี่ยวข้องกับรสนิยมของผู้เขียนแต่อย่างใด

เล่น


1. พ่อมองลูกชายเล่น  จับตุ๊กตาหุ่นชนกัน  ปากส่งเสียงประกอบการต่อสู้
การต่อสู้ในหัวของเด็กน้อย  ดุเดือดไม่แพ้สมรภูมิจริง อาจดุเดือดกว่า
แต่ผู้ใหญ่มองดูแล้วน่าเอ็นดู   เอ็นดูจนน่าหัวเราะ
เด็กไม่ต้องมีสาระ  อะไรที่ไม่มีอะไร ยิ่งใหญ่ได้ในสายตาเด็ก
พ่อเคยเป็นเด็ก  แต่ตอนนี้  มองดูลูกชายอย่างไม่เข้าใจเด็ก

2. สภาวะสงบผ่านพ้น  สงครามมาเยือน
พ่อกอดแม่  แม่ร่ำไห้  พ่อร่ำลา
พ่อกอดลูก  ตาคลอน้ำตา  ลูกชายกอดตอบ  หุ่นสองตัวอยู่ในมือ  ได้แต่มองหน้า
พ่อบอกลูกชาย  เข้มแข็ง  ดูแลตัวเอง  ดูแลแม่  พ่อจะไปสงคราม
เด็กชายนึกถึงภาพตุ๊กตาหุ่นสู้กัน  ถามว่าพ่อขี่หุ่นยนต์สีอะไร
พ่อยิ้มทั้งน้ำตา  ไม่ตอบ  น้ำตาไหลผ่านแก้ม  รีบเช็ดมันก่อนลูกชายเห็น
เด็กน้อยยังไม่เข้าใจอะไร   อย่าเข้าใจเลย  อยู่ในโลกเด็กที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจต่อไปดีกว่า
เล่นต่อเถอะลูก

3. แม่เผลอ  ซุกหน้าร้องไห้กับหมอน  ลูกชายแอบวิ่งออกจากบ้าน  หุ่นสองตัวไม่ห่างมือ
ผ่านละแวกบ้าน  ซากปรักหักพัง   รกร้าง  ว่างเปล่า   ก้าวเข้าสู่เขตสมรภูมิ
มองดูแต่ไกล
เสียงระเบิดแข่งเสียงคำราม  แผดร้อง โหยหวน
แสงไฟวูบวาบพร่าพราย  แข่งกับสีแดงที่สาดกระจาย  เลือด  อาบแผ่นดิน
เด็กชายไม่เห็นหุ่นยนต์  เห็นแต่หุ่นคน  ตายอย่างทุเรศ  ทุรนทุราย  ไร้ค่ายิ่งกว่าหุ่นยนต์
เด็กชายมองดูหุ่นในมือ   หุ่นสองตัวยื่นจับมือกัน  เขย่ากระชับมิตร
เด็กชายเขย่าไม่หยุด  หุ่นสองตัวเขย่ามือกันไม่ยั้ง  น้ำตาไหลอาบแก้มเด็กชาย
หุ่นสองตัวจะไม่สู้กันอีกต่อไปแล้ว
พ่อครับ  เลิกเล่นแล้วกลับบ้านเถอะ

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แฟนอันธพาล



ว่ากันว่าอันธพาลมักมีแฟนสวย  เซ็กซี่  เป็นที่อิจฉาของชายทั้งหลาย
มันไม่ได้เป็นอันธพาลเพราะอยากมีแฟนสวย  มันเกิดมาเพื่อเป็นอันธพาล  ฉายแววตั้งแต่อายุสี่ขวบ
ตัวใหญ่  ไม่กลัวคน  หมาก็ไม่กลัว   ชกต่อยเป็นกิจวัตรเหมือนกินข้าววันละสามมื้อ หลายคนสงสัย  มีอะไรในโลกนี้ที่มันกลัวบ้าง
โตขึ้น  มันหากินกับโลกมุมมืด  มีแต่คนยำเกรง  เกรงเพราะกลัว   ตำรวจก็กลัว  กลัวไม่ได้เงินยัดจากมัน
แฟนมันสวย นิสัยดี  และรักมันหมดใจ
ไม่ต้องกลัวใครมายุ่ง  หนึ่ง แฟนมันไม่ยุ่งกับใคร  สอง ไม่มีใครกล้ายุ่งกับแฟนมัน
แต่ถึงกระนั้น  ทุกคืน  ต้องมีเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด  เช้ามาหน้าตาเธอเป็นต้องเขียวปูด  ลำตัวบอบช้ำ
มันเห็นแล้วปวดใจ  ทำอะไรไม่ได้  ไม่มีปัญญาปกป้องเธอ
มันมองสองมือหนาใหญ่ของตัวเอง  อยากร้องไห้
มันน้อยใจ   สวรรค์กำหนดสันดานมันมา  มันต้องเป็นอันธพาล  ไม่มีสิทธิขัดขืนสันดาน
มันเลือกเดินจากมา  ทิ้งเธอแบบไร้เยื่อใย  เธอร้องไห้ฟูมฟายแทบตาย  แต่มันไม่มีสิทธิใจอ่อน
เพราะมันรักเธอมาก
โลกนี้จะโหดร้ายแค่ไหน  มันปกป้องเธอจากคนอื่นได้
แต่มันไม่มีปัญญาปกป้องเธอจากตัวมันเอง


หมายเหตุ: ยืมรูปพี่นิกกี้ 9 นิ้ว มาประกอบเรื่องเฉยๆ เรื่องนี้ไม่ส่วนเกี่ยวใดๆกับพี่เขานะครับ

อิสระภาพที่ถูกขังในหน้าปัดนาฬิกา


พ่อสอนผมไว้  ดูนาฬิกาบ่อยๆ  เวลาเป็นสิ่งสำคัญ
นาทีสองนาทีมีค่า  แสดงถึงความมีวินัย  ให้เกียรติ มีสัจจะ  ใครผิดเวลาพ่อโกรธมาก
ผมซึมซับแค่คำสอนแรก  ดูนาฬิกาบ่อยๆ  ใครผิดเวลาผมไม่โกรธ  ไม่โกรธคนอื่น  ไม่โกรธตัวเอง
เวลาสำคัญ  และผมให้ความสำคัญ  รวมกันแล้วโคตรสำคัญ
เสื้อเชิ๊ต กางเกงแสล็ค รองเท้าหนัง  รวมราคากัน  ถูกกว่านาฬิกาบนข้อมือซ้าย
ในบรรดามนุษย์เงินเดือนออฟฟิศด้วยกัน  นาฬิกาข้อมือของผมอาจแพงที่สุด
แต่คืนนี้  งานมอบหมายล้นตัว  ต้องเสร็จพรุ่งนี้  ไม่งั้นเสร็จกัน
เวลายิ่งสำคัญ ยิ่งบีบคั้นหัวใจ  เข็มวินาทีเดิน "ติ๊กๆ"แผ่วเบา  ทุกติ๊กที่แผ่วเบาทำเอาหัวใจสะดุ้งเฮือก
เวลาไม่ปราณีใคร  แม้แต่มนุษย์เงินเดือนที่ทำงานไม่ทันคนหนึ่ง  เวลาก็ไม่ใจอ่อน
แต่คืนนี้!!  ไม่เหมือนคืนนี้ครั้งก่อนๆอีกหลายคืนนี้ที่ผ่านมา!
คนเราเป็นผู้คิดค้นเวลา  สร้างนาฬิกา  ไฉนพันปีต่อมา  เราตกเป็นทาสของมัน
ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัด  โดยเฉพาะผม  ผมจะไม่เป็นทาสของสิ่งไม่มีตัวตนอีกต่อไป
เวลาใช้ชีวิตที่มีค่า  เอาไปกดดันตัวเองในแต่ละวินาที   มีแต่ความร้อนรุ่ม  คุ้มที่ไหน
ชีวิตผม  ความสุขของมวลมนุษยชาติ  ไม่ควรจะถูกจองจำในหน้าปัดเล็กๆ  เดินวนเวียนซ้ำซากจำเจวันละสองรอบแบบนี้
ผมลุกขึ้นยืน  ขว้างนาฬิกาออกไป  ด้วยแรงขบถที่โหยหาอิสระมาช้านาน
นายทาสที่กดขี่ผมมานาน  พุ่งเข้ากระแทกผนัง  หน้าปัดหลุด  เข็มสั้นยาวกระจายไปคนละทิศทาง
นี่แหละรสชาติของการปฏิวัติ   การปฏิวัติแห่งยุคโลกภิวัฒน์  ปลดแอกตนจากนายทาสที่ไร้ตัวตน
คืนที่ยิ่งใหญ่  ชายผู้ได้รับอิสรภาพ  ไม่ต้องเกรงกลัววันพรุ่งนี้อีกต่อไป  สะใจทุกวินาทีแห่งชีวิต
กี่ปีแล้ว  ตั้งแต่เริ่มทำงาน   ไม่เคยได้หลับสบายเต็มตื่นแบบนี้มาก่อน
...........
เช้าวันใหม่
ชิบหาย  มาสาย  งานไม่เสร็จ  เจ้านายเหม็นขี้หน้าด่ายับ  ลดขั้น  ตัดเงินเดือน  เพื่อนหัวเราะเยาะ
แต่ที่อยากจะร้องไห้จริงๆ  นาฬิกาแพงหูฉี่  พังอย่างไร้ทางซ่อม ไร้เหตุผล
เมื่อคืนทำไปได้ไงวะ  โง่ชิบ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ยักษ์เล็ก ปะทะ มดใหญ่



1. ผมไม่ชอบคนขายไอเดียคนนี้
ในการนำเสนอ สีหน้า น้ำเสียง ท่าทาง ทุกอย่างพยายามแสดงว่า เขามีอำนาจเหนือคู่สนทนา
ผมจบจิตวิทยา ประสบการณ์ประธานบริษัทนับสิบปี มีหรือจะดูคนไม่ออก
เขาทำถูกตามหลักจิตวิทยา ถูกต้องเกินไป พยายามเกินงาม
คล่องแคล่ว ชัดเจน ฉะฉาน มั่นใจ เกินหน้าเกินตาผม
ผมจะไม่ยอมให้ใครมามีอำนาจทางบุคลิกเหนือกว่า

2. สายตาท่านประธานดูไม่พอใจ คงเพราะบุคลิกผม
แต่ไอเดียผมสุดยอด  หวังว่่าท่าประธานจะมองข้ามบุคลิก และเห็นจุดเดียวกัน
ผมไม่ได้มาขายบุคลิก ผมขายไอเดีย

3. ผมขัดจังหวะเขา มองด้วยท่าทีเฉยชา  บั่นทอนความมั่นใจ
เขาไม่หวั่นไหว มีจุดยืน ยึดอย่างมั่นคง
ตาดู หูฟัง ใจเปิดมองหาจุดยืน
แล้วผมก็เจอ  ความเชื่อมั่นในไอเดีย แหล่งพลังงานความมั่นใจของเขา
โจมตีด้วยบุคลิกจึงไม่ได้ผล
โจมตีไอเดียไม่ได้ ไอเดียสุดยอด ประโยชน์ยิ่งใหญ่ทุกฝ่าย โจมตีไม่ลง
ผมยอมแพ้ด้วยการตอบตกลง ชูธงขาวด้วยการจับมือ

4. ผมคือผู้ชนะ
ชนะแล้วต้องแสดงให้รู้  จับมือ บีบแบบผู้ชนะ
บอกความหมายผ่่านภาษากาย ผมเหนือกว่าท่าน ท่านประธาน

5. ผมดูคนออก
เรื่องบุคลิก ไม่เคยยอม ไม่มีใครวางท่าเหนือผมได้
ผลประโยชน์ก้อนโตแค่ไหน  ศักดิ์ศรีใหญ่กว่าเสมอ
ผมยกเลิกข้อเสนอ ไม่อ้างเหตุผล
เหตุผล ผมไม่ชอบหน้า

6. พลาดแล้ว ผมจะจำเป็นบทเรียน

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รักทอดทิ้ง


เพิ่งสารภาพรักไป  โดนปฏิเสธแทบจะทันที
งานไม่ทำ  หลบมุมคนเดียว  ทำใจอยู่เงียบๆ
หลบยังไง  เพื่อนร่วมงานสาวจอมจุ้นก็ยังตามมาวุ่นวาย
"มาหลบตรงนี้ทำอะไร  ไม่ทำงานเหรอ"
"กำลังทำใจ  "
"ตามหาตั้งนาน  เห็นอกหัก เป็นห่วง"
"อยากอยู่เงียบๆ"
"ไปหาอะไรกินกันไหม  จะได้ไม่หมกมุ่น"
"ไม่ต้องห่วง  ชินแล้วกับการถูกความรักทอดทิ้ง"
"ไม่เสมอไปหรอก  ลองเปิดใจดูดีๆ  ความรักอาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด"
"ชอบใครก็โดนปฏิเสธทุกที  โลกนี้ไม่มีใครรักเรา"
"ใครบางคนอาจรักเธออยู่  แต่อาจจะแสดงออกไม่ค่อยเก่ง"
"อยากอยู่เงียบๆ  โอเค?"
"ได้ๆ  จะเอาอะไรไหม  เดี๋ยวซื้อมาฝาก"
"ขออยู่คนเดียว"
"ดูแลตัวเองดีๆนะ  มีอะไรก็โทรหาได้ตลอด"
"ขอบใจ  รีบไปเหอะ"
"อย่าคิดสั้นล่ะ"
"เฮ้อ.."
"โอเค ไปละ ดูแลตัวเองดีๆ"
กว่าจะไป  ไปได้สักที  จะได้จมกับอารมณ์เศร้าต่อ
รักใคร ทุ่มเทหัวใจไป  ไม่มีใครสักคนรักตอบเลย
หัวใจเศร้าๆ  พระเจ้ามองไม่เห็น  ไม่ส่งใครมารักสักคน สงสัยถูกความรักทอดทิ้งแล้วจริงๆ

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อภิปรายสบายใจ(ไม่น่าวางใจ)


การสนทนาจากคลิปเสียงลับ  ได้จากวงใน แลกด้วยเงินใต้โต๊ะ
"ท่านไม่ธรรมดาจริงๆ  อยู่ต่างประเทศแท้ๆ  ยังบริหารประเทศได้อย่างกับเป็นนายกฯอยู่"
"ผมมันคนมีฝีมือ ฮ่าๆ"
"ท่านทำได้อย่างไร"
"คนเราพลาดแล้วต้องเรียนรู้  ผมพลาดเพราะไม่ยอมซื้อทหารไว้ เลยโดนปฏิวัติตอนไปเที่ยวต่างประเทศ แม่! ถึงผมกลับประเทศไม่ได้ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบ  ประเทศยังเป็นของผมได้"
"ต่างชาติมองดูแล้วคงทึ่งในตัวท่าน  ผู้นำคนนี้บารมีไม่ธรรมดา"
"สร้างบารมีต้องใช้เงิน  ตอนนั้นผมหาเงินเก่ง  หมื่นล้านหาได้ง่ายๆ ซื้อบารมีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ใช้บารมีไม่ค่อยเป็น  ตอนนี้ผมลบจุดด้อยตัวเองแล้ว  ฝูงชนนับหมื่นกำลังชุมนุมกันเพื่อแก้กฎหมายให้ผมกลับประเทศได้"
"นายกฯคนแรกก็น้องชายท่าน  นายกฯคนที่สองก็น้องสาวท่าน  แถมยังเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศด้วย  มือท่านสุดยอดจริงๆ ปั้นได้ทุกอย่าง"
"เลียเก่งแบบนี้  ผมรับรองว่าคุณไม่จนแน่นอน ฮ่าๆ  น้องชายผมน่ะไม่เท่าไหร่  มันเอาตัวเองไหวอยู่  แต่น้องสาวผมนี่สิ เหนื่อยหน่อย  ไม่เคยเล่นการเมืองมาก่อน  จะให้พูดอะไรผมก็ต้องร่างสคริปต์ให้ก่อนตลอด  แต่ก็คุ้มกับที่ลงทุนไป ตราบใดที่เธอยังอยู่ในสคริปต์  ทุกอย่างราบรื่น"
"แล้วสมัยหน้าท่านจะทำอย่างไร  น้องสาวท่านเป็นนายกฯต่อหรือไม่"
"หึๆ  ผมมีเงิน มีบารมีแล้ว  ผมอยากแสดงให้ต่างชาติเห็นว่าอำนาจในประเทศอยู่ในมือผมจริงๆ  ผมจะทำสิ่งที่ต่างชาติต้องพากันตกตะลึง"
"สมัยแรกน้องชายท่าน  สมัยนี้น้องสาวท่าน แล้วสมัยหน้าเล่า"
"เลือกตั้งสมัยหน้า  ผมจะดันหมาที่บ้านขึ้นเป็นนายกฯ"
"ชิบหายประเทศกู!!"

คนตาบอด


เธอยืนรอ ป้ายรถเมล์คือที่หมาย คั่นไว้ด้วยทางม้าลาดพาดตัวผ่านถนนรถพลุกพล่าน
ระหว่างนั้น ชายตาบอดก็รอข้ามทางม้าลาย
จิตสำนึกที่ดีงามชี้นำ เธอจูงมือชายตาบอด
รถหยุด เธอพาชายตาบอดเดินข้าม ความมีน้ำใจงามก่อให้เกิดภาพที่งดงาม
ถึงปลายฝั่ง ชายตาบอดขอบคุณ  จากกันด้วยความรู้สึกดี
ถึงป้ายรถเมล์ เธอนั่งรอ ป้ายรถเมล์คือที่หมายไม่ใช่เป้าหมาย
เธอไม่ได้รอรถเมล์ เธอรอเขา เขาคือเป้าหมาย เป้าหมายหัวใจของเธอ
เขาทำผิด เธออภัย เขาทิ้งเธอไป เธอยังเก็บเขาไว้ในใจตลอดมา
เธอรอก่อนเวลานัดหมาย  ความหวังน้อยนิดที่จะได้คืนดี
เธอรอ รอ รอ  เวลาเดินผ่านไป สวนทางกับหัวใจที่เริ่มฝ่อลง
เธอรอจนเลยเวลานัดหมายหลายชั่วโมง ได้เจอหน้าเขาอีกสักครั้งก็ยังดี
อาทิตย์ลาลับ ดวงจันทร์รับหน้าที่ เธอยังรอ น้ำตาไหลอาบแก้ม
เธอรู้ว่าเขาไม่มาแล้ว แต่ยังคงรออย่างสิ้นหวัง
ทุกเรื่องที่เขาทำ เธอผิดเอง ผิดอย่างหาเหตุผลไม่ได้
ตกดึก ถนนเงียบ นานๆทีมีรถผ่านมา
ชายคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนข้างเธอ
เธอนึกว่าเขา แต่ไม่ใช่เขา
เป็นชายตาบอด
ตามองไม่เห็น แต่ใช้หัวใจมอง มองแบบเดียวกับที่เธอมองชายตาบอดเมื่อกลางวัน
ชายตาบอดส่งมือมา เธอยื่นมือออกมา จูงมือกัน
ชายตาบอดช่วยพาเธอข้ามถนน ไปสู่ทิศเดิมที่เธอจากมา

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ช่วงเวลาสุดท้ายของปู่ชิว



ปู่ชิวมีอาชีพเก็บสมุนไพรขาย  ทุกเดือนเขาจะมาเยือนยอดเขาแห่งนี้
ยอดเขาสูงตระหง่าน  หุบเหวเบื้องล่างมองชวนให้มองลงไปแล้วท้องไส้ปั่นป่วน
แต่เหนือยอดเขายังมีต้นหญ้า  ต้นหญ้าหายาก  สรรพคุณเลิศ ราคาดี
เพียงหญ้าตนเล็กๆไม่กี่กำ  เลี้ยงชีพเขามาตั้งแต่หนุ่มยันชรา
ตอนหนุ่มหูตาว่องไวแต่ตื่นกลัวความสูง  บัดนี้เคยชินกับความสูงแต่หูตาเริ่มเสื่่อมถอย  หลังค่อม แต่ละย่างก้าวกระท่อนกระแท่น
แล้ววันนี้คราวเคราะห์แด่ความชราก็มาเยือน  ปู่ชิวเหยียบพลาดใส่อากาศธาตุ ร่างร่วงตกลงจากยอดเขา
โชคยังดี  มือข้างหนึ่งคว้าจงอยหินที่ยื่นออกมาจากขอบผาไว้ทัน
ด้วยสังขารที่ชราภาพ  เขาไม่มีทางดึงตัวเองขึ้นได้
ชั่วเวลาแรงนิ้วเกาะ  ปู่ชิวมีเวลาดื่มด่ำกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
ลูกเมียไม่มี  ไร้ซึ่งห่วงใดๆ  ไม่อาลัยแก่ชีวิตชรา  แรงนิ้วเริ่มคลายออกจวนจะหลุด
ร่างเริ่มห้อยต่องแต่ง  สองเท้าแกว่งไปมา  หุบเหวสูงปานฟ้า ร่วงลงไปตายคงไม่ทรมาน
ทว่า  เท้าข้างหนึ่งของปู่ชิวแกว่งไปเตะใส่รังต่อ   ตรงซอกผาเล็กๆใต้จงอยหิน
ตัวต่อที่ขึ้นชื่อว่าดุร้าย  แตกฮือออกมาจากรัง แสดงความโมโหร้าย
ปู่ชิวเคยเรียนรู้ของพิษสงของมันในวัยหนุ่ม  โหดร้ายถึงขั้นสาบานว่าชีวิตนี้จะไม่ปล่อยให้มันรุมต่อยอีก
ด้วยพลังแห่งความตื่นตระหนก  ชายชรากระชับนิ้วกับจงอยหิน  ออกแรงดึงจนตัวลอยพ้นขอบผา  เท้าถีบหน้าผาส่งตัวขึ้นไปยืนบนยอดเขาได้อย่างรวดเร็ว
ปู่ชิวไม่มีเวลามาใส่ใจกับการรอดตายในครั้งนี้
ตอนนี้เขาต้องวิ่งหน้าตั้งหนีฝูงตัวต่อ


โครม!


1. สี่แยกใหญ่  รถติดเป็นสายหยาวเหยียด  เหมือนแม่น้ำทอดตัวข้ามทวีป
ไฟเขียวเหมือนสวรรค์  รถรากุลีกุจอเร่งให้ทัน   ไฟเหลืองเตือนให้เตรียมหยุด  คนขับคนขี่ยิ่งเร่งไม่คิดชีวิต
ฝั่งซ้ายไฟแดงแล้ว   ฝั่งผมไฟเขียว  รถฝั่งซ้ายหลายคันไหลฝ่าไฟแดงตามกระแส  กระแสรถไหลเอื่อยหนุนเนื่อง
รถกระบะผมอยู่ต้นสายรถติด  ยังไปไม่ได้  รถที่แถมท้ายจากฝั่งซ้ายมือขวางกลางถนน
ถนนเริ่มโล่ง  ผมเตรียมออกตัวรถ
แต่แล้วฝั่งซ้ายมือ  รถเก๋งคันหนึ่งซิ่งมาแต่ไกล  กะจะฝ่าไฟแดงไปก่อนรถผมออกตัว
ห่วงแต่เวลาของตัว  พวกทำลายกฎจราจร  น่าเกลียดจริงๆ
ต้องสั่งสอน  รอมันขับมาถึงกลางสี่แยก  ผมจะขับรถกระบะเสยสีข้างรถมัน
ผมไม่รีบไปไหน  ไม่ผิดกฎจราจร  ค่าเสียหายมันจ่าย  เพราะมันผิด  มันจะได้สำนึก
ผมคนจริง  ทำจริง  รถมันใกล้ถึงกลางสี่แยกแล้ว
รถผมออกตัว
อึดใจ
โครม!

2. โครม!
รถเขาถูกชน  เขาขับผิดกฎจราจร  เขาลงจากรถ
ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ  แต่หัวใจแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
แม่ของเขานอนหมดสติอยู่เบาะหลัง  ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน   ตอนนี้คงไปไม่ทันแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

White room


เบื่อ  มีอะไรทำ  แต่ไม่รู้จะทำอะไร
มัวแต่คิด  ไม่ได้ทำ สุดท้ายไม่มีอะไรทำ
นั่งคิดอยู่ในห้องสีขาวทรงสี่เหลี่ยม
ห้องสีขาวในห้องทรงกลมที่เรียกว่าโลก
โลกอยู่ในทางช้างเผือก  ถนนลูกรังสายหนึ่งในอวกาศ
คนเล็กแค่ไหน  อวกาศใหญ่เพียงใด  ลมหายใจดับไป  หมดความหมาย
สุดท้าย สิ่งที่ใหญ่ที่สุดก็คือ การรับรู้
อยากทำ ไม่อยากคิด แต่ก็เอาแต่นั่งคิด  ไม่เป็นตัวของตัวเอง
นั่งคิด เป็นการกระทำหรือไม่  ไม่น่าจะเป็น
ผู้รู้กล่าวไว้  คิดอย่างเดียว  แต่ไม่ทำ  ย่อมไม่มีทางสำเร็จ
ผู้รู้คือใคร  ความสำเร็จคืออะไร  การได้ออกจากห้องสีขาวนี้ใช่ความสำเร็จหรือไม่  ออกไปได้สุดท้ายก็ยังอยู่ในโลก
ทำไมต้องมาถูกขังอยู่ในห้องสีขาวนี้
 คงเพราะคิดมากเกินไป
เอาแต่คิดจนพอละ  ลงมือเขียนดีกว่า
เขียนอะไร  คิดอะไรได้ก็เขียน  เขียนสิ่งที่คิดเมื่อครู่  ถอดเสียงพูดในหัวเป็นตัวอักษร
มีอะไรทำสักที
ผมจึงได้รู้ว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้อยู่ในห้องสีขาว    ผมขังตัวเองไว้ในห้องความคิด
ห้องสีขาวเล็กๆยังมีอะไรน่าค้นหา  หากได้ลองออกมาสัมผัสมัน
ผมตื่นเต้น พร้อมที่จะออกไปสัมผัสโลกภายนอกแล้ว
เปิดประตูออกไป  แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบตา
ผมชื่นใจจริง  ได้สัมผัสอะไรที่นอกเหนือจากสีขาว  ดอกไม้ใบหญ้าแต่ละชีวิตมีความหมายในตัวมัน
ผมตื่นเต้นกับการเรียนรู้  พร้อมที่จะออกไปสัมผัสอวกาศแล้ว
แต่ในโลกใบนี้  ผมไม่ใช่นักบินอวกาศ   ไม่มีทางไปอวกาศได้เลย
ผมจึงสร้างทางลัดที่เรียกว่าจินตนาการ  ในห้องแห่งความคิด
ท่องอวกาศจนหนำใจ  รู้ตัวอีกที....
ถูกขังในห้องความคิดอีกแล้ว
เบื่อ  มีอะไรทำ  แต่ไม่รู้จะทำอะไร

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Pacific Rims หุ่นยนต์ปะทะสัตว์ประหลาดที่มีอะไรมากกว่าหนังเด็กๆ


เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้แล้วชวนให้นึกถึงหนังประเภทเรนเจอร์ห้าสี  ที่หลังจากเรนเจอร์ต่อยกับลูกสมุนกีกี้และสัตว์ประหลาดตอนตัวเล็กจนชนะแล้ว  สัตว์ประหลาดก็จะกินยาขยายขนาดร่างให้ใหญ่ขึ้น ชนิดว่าขนาดตัวตอนแรกเท่าง่ามตีนของขนาดตอนหลัง   แล้วเรนเจอร์ก็จะเรียกหุ่นสัตว์ประจำตัว (เรนเจอร์หัวหน้ามักจะเป็นสีแดง  และหุ่นของสีแดงก็มักจะเป็นมังกร หรือไม่ก็ไดโนเสาร์)   มาประกอบร่างกันกลายเป็นหุ่นยนต์ขนาดสูสีกับสัตว์ประหลาด  แล้วจะต่อสู้กันในสไตล์กึ่งสโลโมชั่น  มีฉากที่หุ่นยนต์หรือไม่ก็สัตว์ประหลาดล้มลงกระแทกตึกจนพังทลาย  ย้อนไปสมัยผมห้าขวบ  ผมดูวีโดโอแนวนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลายเต็มจอ  ก็ไม่ยอมเลิกดู  (เดี๋ยวนี้ดูแนวผู้ชายสู้แก้ผ้าสู้กับผู้หญิงแทนละ ฮิฮิ)

เป็นความคิดสร้างสรรค์ของผู้สร้างหนังที่นำเอากลิ่นอายของหนังแนวหุ่นยนต์เรนเจอร์มาผสมกับแนวสัตว์ประหลาดหลุดโลกอย่างก็อตซิลล่า  ตัวอย่างหนังเน้นนำเสนอฉากต่อสู้  กราฟฟิคอันตระการตาซึ่งน่าจะเป็นจุดขายของตัวหนัง  ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ได้คาดหวังกับเนื้อเรื่องก่อนมาดูมากนัก  แต่ทว่าพอได้ดูจริงๆ  เนื้อเรื่อกลับมีอะไรอยู่เยอะเหมือนกัน  ตัวหนังมีเหตุผลมีที่มาที่ไป  รัฐบาล(ตัวแทนชาวโลก) ร่วมมืกันไม่ใช่เพราะอยากเห็นหุ่นยนต์สู้กับสัตว์ประหลาด  การกระทำมีเหตุผลและน้ำหนักเพียงพอ   ทำให้รู้สึกอินกับเนื้อเรื่องเหมือนดูภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟเรื่องหนึ่ง   และนอกจากหุ่นยนต์แล้ว เนื้อเรื่องยังให้ความสำคัญกับเรื่องราวระหว่างคนไม่น้อยไปกว่ากัน  ซึ่งก็ให้อารมณ์สนุกไปอีกแบบหนึ่ง  มีตัวละครอย่างสองด็อกเตอร์มาช่วยสร้างสีสันและไขปริศนาของพวกต่างดาว   มีพ่อค้าชิ้นส่วนสัตว์ประหลาดให้ภัตตาคารฮ่องกงในตลาดมืด  สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพยนตร์เป็นมากกว่าเรื่องหุ่นยนต์เรนเจอร์สู้กับสัตว์ประหลาด

แต่ถึงแม้เนื้อเรื่องจะดูมีรายละเอียดและสีสัน  แต่ก็ยังขาดมิติของตัวละครอยู่บ้าง  ตัวละครเดาง่าย ตัวอิจฉาพระเอกก็ดูโฉ่งฉ่าง  ท่านนายพลที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา  พระเอกนางเอกแสนเก่งและตกหลุมรักกันง่าย  ตัวละครเหล่านี้ดูไปคล้ายตัวละครสำเร็จรูปที่ยกเค้ามาจากการ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆเรื่อง  และฉากแอ็คชั่นตอนสุดท้ายก็ดูยังไม่ค่อยสะใจถึงใจเท่าไหร่  ฉากต่อสู้กันตอนกลางเรื่องในเมืองดูจะมันส์อลังการน่าเอาเป็นฉากท้ายมากกว่า  ตัวละครบางตัว(ไม่ขอสปอยล์ว่าเป็นตัวไหน) ไม่น่าเขียนบทให้ตาย  เพราะเหมือนเอาไปตายเปล่าไม่มีผลต่ออารมณ์ผู้อ่านเลย  ถ้าตัวละครอีกตัวไปตายแทนคิดว่าจะเรียกอารมณ์คนอ่านได้มากกว่านี้    ฉากดราม่าไม่ได้สะกิดต่อมน้ำตาเลยแม้แต่กระผีก

หนังเรื่องนี้ถึงจะขายกราฟฟิคและฉากแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ใหญ่  แต่ก็มีแฝงแง่คิดบางอย่างไว้ซึ่งผมว่าคมคายใช้ได้เลย  การบังคับหุ่นยนต์ต้องใช้ความทรงจำในการเชื่อมต่อ  เนื่องจากหุ่นยนต์ต้องบังคับด้วยสองคนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งสามารถเข้ามาผสานความทรงจำร่วมกับเราได้  พระเอกแต่เดิมบังคับคู่กับพี่ชายของตัวเอง แต่ภายหลังได้คู่บังคับหุ่นยนต์คนใหม่ก็เปิดเผยความในใจให้ฟังว่า  มันยากที่จะปล่อยวางความทรงจำเก่าๆแล้วไว้ใจให้ใครสักคนหนึ่งเข้ามาร่วมรับรู้กับเรา (จำไม่ค่อยได้ละ พอดีมัวแต่มัวเอามันส์ เลยไม่ค่อยคิด ฮ่าๆ) ซึ่งสะท้อนให้เห็นแง่บางมุมของคนเราในชีวิตจริงเหมือนกัน

เป็นหนังสนุก  ถ้าอยากดูอะไรที่บันเทิงใจก็แนะนำให้ดูครับ  เป็นหนังที่คุ้มค่าตั๋วเรื่องหนึ่ง  ไม่ใช่หนังหุ่นยนต์แบบเด็กๆแน่ครับ  ผู้ใหญ่ดูได้ เผลอๆอินกว่าเด็กดูอีก  ผมให้ 9/10 ครับ  ส่วนใครจะให้เท่าไหร่ก็แล้วแต่ความชอบ ความเห็นของผู้นั้นนะครับ

รักฉันกี่คะแนน


สองหนุ่มสาวคู่รัก  เดินเคียงคู่ควงแขน  ข้างถนนยามวิกาล  สว่างสลัวด้วยไฟกริ่งจากเกาะกลางถนน
"ถ้าคะแนนเต็มสิบ คุณให้คะแนนหน้าตาฉันเท่าไหร่"
"ถ้าไม่เอาความรักหรือความเบื่อมาเกี่ยว  ผมให้แปดจุดห้าจากมุมมองของผม"
"มาตรฐานดี   ถ้าเป็นหุ่นฉันล่ะ  กี่คะแนน"
"อย่าหาว่าทำร้ายจิตใจล่ะ  ผมให้หกคะแนน"
"ทำไมล่ะ  คุณใช้มาตรฐานอะไร"
"จอแบนไปหน่อย  รอบอกคุณสามสิบนิ้ว  มาตรฐานของผม  เต็มสิบคือสามสิบหกนิ้ว"
"ถึงว่า สาวอึ๋มๆเดินผ่านชอบเหลียวมองจังนะ  ฉันก็ให้คะแนนนิสัยของคุณเจ็ดเต็มสิบ"
เสียงรถยี่ห้อดีคำรามดังจากข้างหลัง   เสียงล้อบดถนนรอบจัด  ลูกเศรษฐีกลับจากผับ
"ทำไมเราต้องใช้คะแนนมาวัดทุกอย่าง"
"เราอยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์กำลังก้าวหน้าไงคะ  ในยุคโลกาภิวัฒน์  จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรฐานจึงจะสามารถเปรียบเทียบกับคนอื่นได้"
"ไม่เห็นจำเป็นเลย  อย่างผมรักคุณแค่ไหนมันก็เรื่องของผม"
"คุณรักฉันกี่คะแนน"
"เต็มสิบผมให้เก้าร้อยเก้าสิบเก้า"
"เอาจริงสิคะ  ถ้ากำหนดให้รักที่สุดเต็มสิบ คุณว่า..."
"อันตราย!"
เขากระโดดผลักร่างหล่อน   หล่อนกระเด็นล้มลง  ตัวเขาแทนตำแหน่งหล่อน  รับกระโปรงรถแลมโบกีนี่เต็มๆ  แซนด์วิชรถเก๋งกับเสาไฟฟ้า  สอดไส้คน
ลูกเศรษฐีลงจากรถ  วิ่งหนีความรับผิดชอบ  เร็วราวนักวิ่งลมกรด  เธอให้คะแนนความเร็วเก้าจุดห้าเต็มสิบ
เขาสภาพไม่ค่อยดี "อ้า... ผมเจ็บมาก  เก้าจุดเก้าเต็มสิบคะแนนเลย  ผมคงอยู่ได้อีกสิบวินาที"
หล่อนน้ำตาไหลพราก "ไม่นะ คุณต้องไม่เป็นอะไร ฉันเสียใจหลั่งน้ำตาให้คุณห้ามิลลิลิตรแล้ว"
"คุณรู้หรือยัง  ว่าผมรักคุณเท่าไหร่"
"ฉันรู้" เธอยิ้มทั้งน้ำตา "เต็มหนึ่งล้าน คุณรักฉันเก้าแสนเก้าหมื่น...."
"งั้นผมขอตายล่ะ อั้ก!"
"เดี๋ยวๆ  คุณรักฉันอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้  หัวใจฉันบอกอย่างนั้น"
"ค่อยชื่นใจหน่อย  ผมไม่อยากตายละ ช่วยโทรเรียกรถพยาบาลหน่อย  ผมเจ็บอย่างหาอะไรมาเปรียบมิได้แล้วตอนนี้"

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Oh! My George


จอร์จเพิ่งรู้ตัวว่าตาย ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าพระเจ้า
รูปลักษณ์พระองค์คล้ายรูปพระเยซู พบเห็นได้ตามรูปวาดผนังโบสถ์
เปล่งรัศมีจ้าเจิดจรัส รอพิภากษาชีวิตหลังความตาย
" จอร์จ  เธอทำความชั่วมามาก ฉันคงต้องส่งเธอลงนรก"
"ช้าก่อนครับ ผมว่าออกจะไม่ยุติธรรม"
พระเจ้ามองหน้าเป็นเชิงถามไถ่
"มีคนกล่าวไว้ว่า พระเจ้าวางแผนไว้แล้วว่าจะให้เราได้เป็นอะไร พระองค์มอบพรสวรรค์เรื่องการฆ่าคนให้ผม ผมถูกวางแผนให้เป็นนักฆ่า"
"นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันประทานให้ เธอถูกปีศาจร้ายล่อลวง เหมือนอีฟกับอดัม"
"พระองค์ส่งซาตานมาล่อลวง ผมไม่ได้สมัครใจ"
"เธอเลือกที่จะไม่เชื่อในฉัน เธอเลือกสุรานารีตามคำยั่วของซาตาน"
"ผมไม่ได้เลือก. พระองค์กำหนดทุกอย่าง พ่อแม่ ฐานะ สิ่งแวดล้อม เพื่อนฝูง สัญชาตญาณ บีบให้ผมเลือกทั้งนั้น"
"ถ้าเธอเลือกไม่ได้จริงๆ ทำไมถึงยืนเถียงฉอดๆอย่างนี้"
"ก็เป็นพระองค์กำหนดให้ผมยืนเถียงพระองค์ไงครับ"
"โอย ฉันปวดหัว ฉันขอเลือกให้เธอหยุดเถียงแล้วไปลงนรกอย่างเต็มใจ"
"ผมไม่ไป พระองค์รักพวกเราทำไมพระองค์ไม่สร้างคนทั้งโลกให้เป็นคนดี ไม่ยุติธรรมเลย"
"เพราะฉันรักเธอ ฉันจึงให้เธอมีสิทธิเลือก เธอเลยเลือกจะโยนความผิดทั้งหมดมาให้ฉัน"
จอร์จก้มหน้าเงียบ ครู่หนึ่งค่อยพูดอ้อมแอ้ม "ผมเสียใจ ผมแค่เสียดายกับการเลือกที่ผ่านมาของผม
ผมขอเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธทันไหม"
"จะศาสนาไหน ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม"
รอบตัวจอร์จมีแสงเรืองรอง เตรียมตัวลงขุมอเวจี
"เดิมทีพระองค์อยากให้ผมเป็นอะไร"
"ฉันอยากให้เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ทีวีไดเร็ก โฆษณาเครื่องออกกำลังกายคู่กับซาร่าห์"
"ผมจะจำไว้ ได้เลือกอีกทีเมื่อไหร่ผมจะทำตามแผนของพระองค์"
แล้วจอร์จก็ลงนรกด้วยประการฉะนี้  อาเมน

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คนบนมอเตอร์ไซต์...ผีสาวใต้ต้นโพธิ์


ตอนเป็นเด็กโต้งกลัวผี  โตขึ้น  ความกลัวผีก็โตตามตัว
หลายเรื่องเล่า  หลายคนเล่า ผ่านหู  เกาะกลุ่มเป็นก้อนความกลัววิ่งขึ้นสมอง
ที่นั่นมีผี   ห้องนี้มีวิญญาณ  ตำนานไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โต้งรู้และคอยระวังตัวอยู่ตลอด
ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้วัดป่า  ตกดึกแสงจันทร์ส่องไม่ถึง เคยมีผู้หญิงถูกฆ่าข่มขื่น
หากไม่จำเป็น โต้งจะไม่ขี่มอเตอร์ไซต์ผ่านที่นี่  แต่วันนี้ เขาจำเป็นต้องผ่าน
โต้งกะว่าจะเร่งมอเตอร์ไซต์  ผ่านต้นโพธิ์ไปให้เร็วที่สุด  เขากลัวเจอผี
ทว่า อีกอึดใจก่อนจะถึงต้นโพธิ์  จู่ๆเครื่องดับ  ล้อหมุนต่อไปด้วยแรงเฉื่อย
ท้ายเบาะเดิมทีว่างเปล่า  พลันรู้สึกมีน้ำหนักกดยวบลงมา  ราวกับมีคนขึ้นนั่ง
เหลือบแลด้วยหางตา  ผ่านกระจกข้างมองหลัง  ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่
ชุดขาว  ผมยาวปรกหน้า  ผิวซีดไร้สีเลือด
มอเตอร์ไซต์ติดเครื่องเอง  ความเย็นยะเยือกแผ่คลุมแผ่นหลัง  ไม่ถึงจุดเยือกแข็ง แต่โต้งตัวแข็งทื่อ
"เธอเป็นคนหรือเป็นผี" โต้งถาม  มอเตอร์วิ่งต่อไปตามปรกติ  หัวใจแทบกระดอนออกจากอก
"ผี"
ร่างหญิงสาวสัมผัสแผ่นหลัง  รู้สึกถึงความเย็นเยียบ  โต้งตัวสั่นคุมไม่อยู่
"เธอกลัว?"
"ฉันหนาว"
"ขอโทษ  ตัวฉันไม่อุ่นเหมือนคนเป็น" ผีสาวถอนร่างท่อนบนออกห่างจากแผ่นหลัง
"เธออยากไปไหน" โต้งถาม
"ที่ไหนก็ได้  ฉันเบื่อต้นโพธิ์"
โต้งมองหน้าผีสาวผ่านกระจกข้าง  หน้าตาไร้ชีวิตดูน่ากลัว  แต่ดูไปดูมาก็เริ่มหายกลัว ตัวหายสั่น
"หายกลัวแล้ว?"
"เธอทำตัวน่ารัก  ไม่น่ากลัวเหมือนผีเลย"
"ฮิฮิ" ผีสาวหัวเราะ
ซ้ายมือเป็นพงหญ้ารกชัฏ  โต้งจอดรถ  จูงมือผีสาวเดินเข้าพงหญ้า
"จะพาฉันไปไหน"
โต้งตอบโดยการกดร่างเธอลงกับพื้น  ฉีกกระชากชุดขาวขาดกระจุด  พงหญ้ารกสูงช่วยบดบังทุกความเคลื่อนไหวจากสายตาภายนอก
โต้งรูดซิบกางเกงลง   ล้วงเอาอาวุธประจำชายออกมา  ร่างหนักกดทับร่างบอบบางของผีสาว  สองมือบีบเค้นคอกะให้ตายคามือ
แยกเขี้ยวราวสัตว์ป่าตัวหนึ่ง  ถูกครอบงำโดยสัญชาตญาณดิบ  ตอบสนองความหื่นกระหายของตนอย่างสุขสม
เสร็จกิจ  หยาดความใคร่ทุกหยดเอ่อทะลัก  เก็บอาวุธรูดซิบ   จัดเครื่องแต่งกายลวกๆ
ขึ้นมอเตอร์ไซต์ขี่จากไป   รวดเร็ว  ไม่มีคำว่าขอโทษหรือขอบคุณ
ชุดขาวผีสาวขาดรุ่งริ่ง  เธอต้องเดินกลับต้นโพธิ์เอง  เดินอีกไกล
บทเรียนครั้งนี้  ผีสาวได้เรียนรู้แล้วว่า  คนน่ากลัวจริงๆ

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชายผู้ขอให้ผมชกหน้าเขา


ไอ้โตมรจะไปรับใช้ชาติ  วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่กับมัน
ผมกับมันโตมาแบบเด็กโลกสวย  เรียนอย่างเดียว  ไม่ต้องผจญวิบากชีวิต
ผมเรียนรด.เพราะกลัวเกณฑ์ทหาร  มันไม่เรียนรด.เพราะกลัวครูฝึก  มันเลยได้เกณฑ์ทหาร
ผมไม่ต้องกลัวแทนมัน  เพราะลำพังมันเองก็กลัวเยี่ยวหดแล้ว  วันพรุ่งนี้โลกของมันจะต้องเจอกับความโหดร้าย
วันนี้มันขอให้ผมทำสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ผมงง
....ชกหน้ากูหน่อย
ผมไม่คิดจะชก  ผมคิดว่าทำไมแล้วจึงถามออกไป
มันบอกว่าโลกของมันสวยและเปราะบาง  มันต้องการอะไรสักอย่างมากระทบ  โลกของมันจะได้มีภูมิต้านทานต่อความโหดร้าย
ผมถามว่าเอาจริงเหรอ
มันหันแก้มให้ บอกให้ผมชกมา  ออกแรงสักหนึ่งในสาม
เห็นว่ามันเป็นเพื่อนสนิท  หมัดของผมกระแทกหน้ามันตามคำขอ  ออมแรงบางส่วน
มันรู้สึกดีขึ้น   แต่ยังไม่พอ  มันขอให้ผมชกเต็มแรง
กำปั้นกระแทกหน้า  มันเซเล็กน้อย  ผมเริ่มรู้สึกสนุก
อีกหมัดนะ  ผมถามไม่รอคำตอบ  ชกหน้ามันอีกที
มันบอกพอแล้ว  แต่ผมแกล้งไม่ได้ยิน  ชกหน้ามันอีกที
ความรู้สึกเวลาชกหน้าคนสะใจจริงๆ  ภาพตอนมันเดินเซชวนขบขัน   สัมผัสที่กำปั้นดึงดูดใจอย่างกับยาเสพติด
ผมรัวกำปั้นใส่มันไม่ยั้ง  หัวเราะอย่างคนบ้าคลั่ง ฮ่าๆๆๆ
มันโมโห  สวนหมัดเข้ามาเต็มๆคางผม
ผมล้มทั้งยืน  ลงไปนอนวัดหญ้ากับพื้น
ไม่หลับแต่เจ็บชิบหาย   ถ้าโดนต่อยจนหลับคงเจ็บน้อยกว่านี้
มันถาม  ....ทำเชี่ยอะไรของมึงวะ
ผมเริ่มทบทวนตัวเอง  พอเข้าใจก็อธิบายให้มันฟัง
การฉีดวัคซีนป้องกันความโหดร้ายให้มัน  ผมจำเป็นต้องใช้เชื้อแห่งความโหดร้าย
ผมไม่มีภูมิต้านทาน    จึงถูกเชื้อแห่งความโหดร้ายครอบงำ  กลายพันธุ์เป็นความชั่วร้าย
ผมขอโทษ  หมัดของมันเมื่อครู่ ช่วยฉีดวัคซีนให้ผมแล้ว
มันบอกว่ามันเข้าใจ  มันส่งมือมา ช่วยดึงผมกลับขึ้นไป
มันบอกว่า  กลัววัคซีนที่ฉีดให้ผมจะยังไม่พอ
ขอกูต่อยมึงอีกสักหมัดเหอะ!
มือหนึ่งฉุดมือผม  อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดชกใส่ผมเต็มๆคาง  หมัดนี้ผมหลับกลางอากาศ
ในห้วงนิทรา ผมคิดว่ามันคงหวังดี  อยากให้ผมหลับเพื่อหลบไปจากโลกอันโหดร้าย  ชั่วร้าย
ผมหวังว่าจะตื่นขึ้นมาทันก่อนมันไปเกณฑ์ทหาร
จะได้ขอบคุณมัน  ด้วยการฉีดวัคซีนให้อีกสักหลายๆหมัด

สาวขี่เสือ



นี่ก็เป็นผู้ชายอีกรายที่ฉันจะจัดการให้อยู่หมัดคาอุ้งเล็บ  อุ้งเล็บเสือล่าผู้ชายอย่างฉัน
ชายหนุ่มตรงหน้าฉัน  เขาก็เสือผู้หญิง ฉันดูออก
ฉันเล่นบทสาวใสๆ  เหยื่อไร้พิษภัย  พอตายใจ   เสือล่าผู้ชายก็จะขย้ำหัวใจเสือผู้หญิง
"เธอดูซื่อๆ ไร้เดียงสาดีนะ"
เสือผู้หญิงหลายคนหลงกลไม้นี้  ทำให้เขาประมาท ไม่ทันคิดว่าเราเห็นเขี้ยวเห็นเล็บเขาหมดแล้ว
"แต่ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกเหมือนโดนอะไรดึงดูด อะไรบางอย่างจากตัวเธอ"
ชายที่อยู่ในช่วงต้องการความรักเจอประโยคนี้เป็นอันต้องเนื้อเต้นระริก เผลอใจให้ฉันเกินครึ่ง
"ฉันยอมรับว่าผู้ชายเข้ามาจีบฉันเยอะ แต่ไม่มีใครทำให้ฉันคิดอะไรได้เหมือนเธอ"
ประโยคนี้ใช้ลูบหลัง พอเขามั่นใจจะได้เป็นฝ่ายรุกเองเสียที  ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลา
"กับเธอฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นลูกแมว เมี้ยว เมี้ยว"
ประโยคนี้ฉันใช้พรางตัวเองเป็น เสือสาวในร่างลูกแมวน้อย
"ฉันเชื่อใจเธอนะ มีเธอคนเดียวที่ฉันกล้าพูดความในใจแบบนี้"
คำพูดประโยคนี้ฉันเคยพูดให้กับชายคนแรกที่ฉันเผลอใจรักหมดใจ   แต่สุดท้ายฉันก็เป็นแค่ของตายให้เขาย่ำยี
ฉันขอใช้ประโยคนี้เอาคืนกับผู้ชายทั้งหลาย  ไอ้พวกที่อยากมีคู่  อยากอย่างว่าจนตัวสั่น
ฉันภูมิใจที่เป็นเสือผู้ชาย   เพื่อนๆอิจฉาในตัวฉัน  ฉันในอดีตก็ยังอิจฉาในสิ่งที่ฉันเป็นตอนนี้
แต่ฉันยอมรับ  มีแวบหนึ่ง  แววตาที่ดูเหมือนจริงใจของเขาคู่นี้  ทำให้ฉันใจอ่อน
แต่ไม่มีวันเสียหรอก  ฉันได้บทเรียนมาพอแล้ว  ครั้งแรกที่ฉันเผลอใจรักคือครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเสียใจ
ฉันจะเป็นเสือที่ไม่ยอมลงจากหลังเสือตลอดไป
 ถึงจะโหยหารักแท้แค่ไหนก็เถอะ

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เสือผู้หญิงมังสวิรัติ




ไม่รู้ว่าเพราะเธอทำ หรือผมเลือกเอง แต่ที่แน่ๆเป็นเพราะเธอ
ผมเลิกล่าเหยื่อ ถอดเขี้ยวถอดเล็บ จะใส่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ผมจะไม่ใส่แล้วใช้มันกับเธอ
กับเธอคนนี้ ผมไม่อยากให้เธอเห็นเขี้ยวเล็บผม แล้วคิดมาก
"เธอดูซื่อๆ ไร้เดียงสาดีนะ"
ประโยคนี้ทำให้ผม นึกถึงไฮโซชื่อดัง ที่เคยอุปการะค่าเทอมเมื่อหลายปีก่อน
"แต่ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกเหมือนโดนอะไรดึงดูด อะไรบางอย่างจากตัวเธอ"
ประโยคนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนผู้หญิงแก้เหงา ที่เปลี่ยนหน้ากันเข้ามาทุกสองสามวัน
"ฉันยอมรับว่าผู้ชายเข้ามาจีบฉันเยอะ แต่ไม่มีใครทำให้ฉันคิดอะไรได้เหมือนเธอ"
ประโยคนี้ทำให้ผมนึกถึงดาราช่องสามคนหนึ่ง ที่เป็นข่าวคลิปหลุดกับผมจนต้องหายหน้าจากวงการ
"กับเธอฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นลูกแมว เมี้ยว เมี้ยว"
เสียงเมี้ยวๆทำให้ผมนึกถึงลูกแมว...เอ้ย!  ผมไม่ได้พิศวาสลูกแมว
"ฉันเชื่อใจเธอนะ มีเธอคนเดียวที่ฉันกล้าพูดความในใจแบบนี้"
เชื่อใจได้เลย ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจแน่นอน
ที่ผ่านมาเขาขนานนามผมว่่านักรัก แต่อันที่จริงแล้วผมคือนักถูกรัก ผมรักใครไม่เป็น
จนกระทั่งเธอคนนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้การรักผู้หญิงคนหนึ่งนอกจากแม่
ถึงเขี้ยวเล็บเธอจะทำร้ายผม แต่เขี้ยวเล็บผมจะปกป้องเธอ
เมื่อวานนี้คือครั้งสุดท้ายที่ผมหักอกผู้หญิง ครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ
ถึงจะผ่านครั้งสุดท้ายมากี่ร้อยครั้ง อย่างไรมันก็ต้องมีครั้งสุดท้ายครั้งแรกบ้างล่ะ

วิจารณ์หนังเรื่อง Lone ranger


เรื่องราวของการผดุงความยุติธรรม เมื่อกฎหมายซึ่งเป็นเครื่องมือแห่งความยุติธรรมถูกคนชั่วนำไปใช้เป็นเครื่องมือหาประโยชน์เข้าตัวเอง แดน รี้ด (อาร์มี่ แฮมเมอร์). อดีตอัยการที่เชื่อในตัวบทกฎหมายและได้ก้าวผ่านความตายมาครั้งหนึ่ง ด้วยการช่วยเหลือของอินเดียแดงนามว่า ต๊อตโต้(จอนห์นนี่ เดป). และถูกเลือกโดยวิญญาณแห่งม้าให้เป็นผู้กำจัดความชั่วร้าย เขาจึงสวมหน้ากากที่เกิดจากสายสะพายหนังซึ่งถูกกระสุนเจาะสองรู  ควงปืนซึ่งตอนแรกไม่คิดจะจับร่วมมือกับต๊อตโต้เป็นคู่หูปราบอธรรมต่างเผ่าพันธุ์

ดูตัวอย่างกับเห็นจอห์นนี่ เดป แสดง อีกทั้งช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีหนังอื่น(ดูไปหมดแล้วฮ่าๆ ยกเว้นlast summer). ด้วยเครดิตของผู้สร้าง the pirates of the caribbean. จึงทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อใจในตัวหนัง แต่พอได้ดูแล้วก็ไม่ดีหรือเลวร้ายจนเกินไป หนังอยู่ในระดับปานกลางจริงๆ เพื่อนผมบางคนบอกผมว่าผมชอบวิจารณ์แบบเกรงใจผู้กำกับ วิจารณ์เรื่องไหนก็อยู่แต่ระดับกลางๆ ไม่มีสุดโต่ง แต่สำหรับเรื่องนี้ขอปานกลางแบบสุดโต่ง เพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

ช่วงแรกๆของเรื่องน่าสนใจ ให้กลิ่นอายแบบหนังคาวบอย บุช เดอะ คาวิดีช ก็ดูชั่วร้ายได้ใจ ฉากซุ่มโจมตีทำได้ดีเลยตามแบบฉบับหนังคาวบอยสมจริง  แต่พอตอนท้่ายๆเรื่องซึ่งฉากแอ็คชั่นควรจะเป็นไคลแมกซ์อย่างฉากรถไฟ กลับรู้สึกว่าความเข้มข้นมันดรอปลง จากเรื่องที่ดุเดือดกลายเป็นฉากเล่นสนุกไป ความชั่วของตัวร้ายเหือหายกร่อยสนิท   พระเอกยังไงก็ไม่ตายทำให้ไม่รู้สึกลุ้น อีกทั้งเพลงประกอบที่ออกแนวครื้นเครงทำให้ฉากแอ็คชั่นยิ่งไม่มีอะไรต้องลุ้นเข้าไปอีก

จอห์นนี่ เดป ยังคงแสดงได้ดี แต่ยัังไม่โดดเด่นอย่างที่ตั้งความหวังเหมือนบทบาท กัปตันแจ็ค สแปโร ผู้ที่แสดงได้โดดเด่นชนิดแย่งซีนกลับเป็นม้าขาว ที่แสดงได้ทะลึี่ง น่ารัก ตลก และมักโผล่มาในจังหวะสำคัญๆ  บางฉากอย่างตอนพระเอกโดนปืนจ่ออยู่ก็ดูเหมือนผู้ร้ายจงใจยืดเยื้อรอให้พระเอกรอด ส่วนเรื่องที่จะขอชมนั้นคือเรื่องรายละเอียดของฉากและตัวละคร ทำได้สมจริงราวกับกำลังอยู่ในยุคคาวบอยจริงๆ

สรุปแล้วใสความเห็นผม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูได้ครับ แต่ไม่แนะนำให้คาดหวังกับมันมาก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคลด้วย บางคนอาจชอบมาก บางคนอาจชอบน้อย. ให้คะแนน 6/10

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เสือ...ผู้...หญิง



ในภัตตาคารหรู  สว่างด้วยแสงจากโคมเปลวเทียนแสดสลัว  บรรยากาศคู่รักอบอวลทั่วห้อง
ผมนั่งมองเธอรับประทาน  ส้อมกับมีดในมือราวกับอาวุธห้ำหั่นศัตรู  หั่นเสต็กเข้าปาก
เธอเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ผู้กำลังมองหน้าเธออย่างยิ้มๆ "คุณไม่ทานเหรอคะ"
"ผมรอคุณทานให้อิ่มก่อน  จะได้ทานคุณต่อ"
"แหม พ่อเสือผู้หญิง"
เสต็กหมดจาน  ซุปเกลี้ยงถ้วย เธอยกมือสั่งของหวาน   ผมบรรจงหั่นราวกับสร้างสรรค์ปฏิมากรรมเนื้อ
"ผู้หญิงคงเสียน้ำตาให้คารมของคุณไม่น้อย"
"ผู้ชายคงฟูมฟายเพราะคุณมามาก"
เธอจ้องตา  ผมจ้องตอบ  จังหวะหัวใจเชื่อมต่อถึงกัน
"แต่กับคุณ  ฉันเป็นเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆตัวหนึ่ง"
"กับผมคุณก็คือผู้หญิง"
"ฉันต้องถูกกินแน่ๆสินะ"
"รอดยาก"
เช็คบิลล์  แพงหูฉี่ ทิปหนัก   ผมจูงมือเธอขึ้นห้องพัก  โรงแรมระดับห้าดาว
ห้องสูทบ่มด้วยกลิ่นน้ำมันหอมระเหย  แสงเทียนประดับเป็นระยะ  ฝีมือแม่บ้านชั้นหนึ่ง
ชุดราตรีของที่ผมซื้อให้ถูกสองมือผมถอดออก    เธอโต้ตอบโดยถอดชุดสูทของผม
สองหญิงชายบนเตียงคิงไซส์   ชุดวันเกิด  ในวันคล้ายวันเกิดของเธอ
เธอไม่รอดจริงๆ   สวยสาว ขาวผ่อง นุ่มนิ่ม กระชับรัดรึง ชุ่มชื้น เกี่ยวกระหวัด  ผมเองก็ไม่รอดเหมือนกัน
เสือกินแล้วอิ่ม   อิ่มแล้วค่อยเสียดายค่าชุด ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าแม่บ้าน   กลัวแม่บ้านที่บ้านด้วย
"ผมอิ่มแล้ว"
"ฉันถ่ายวีดีโอเอาไว้  แต่เมียคุณไม่รู้แน่นอน ถ้าซื้อรถเก๋งคันใหม่ให้ฉัน"
"โอเค ผมอิ่มแล้วจริงๆ"
"แต่ฉันยังไม่อิ่ม"
"อะไรอีก"
"ฉันเป็นซิฟิลิส"
"โอเค! ตอนนี้ผมอิ่มชิบหาย  อิ่มจะตายอยู่แล้ว!  คุณอิ่มหรือยัง"
"อิ่มแล้วก็ได้"

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เม็ดฝนกลิ้งตัวบนหัวใจ



ฟ้าทาเทาเคล้าหยาดน้ำละอองบน
พื้นถนนปนเปียกเฉอะแฉะฉ่ำ
ลมหนาวโชยโปรยเสน่ห์สนเท่ห์ล้ำ
ชวนใบไม้ร่ายระบำตามแรงลม

เมฆอึมทึมครึ้มแสงราแรงอ่อน
ชูสลอนร่อนร่มแผ่คลุมผม
แสงไฟหน้ารถราคมนาคม
หอบสายลมพรมหยดน้ำตามรถไป

สองหญิงชายในร่มเดียวกลมเกลียวจิต
เชื่อความคิดต่อติดกันให้หวั่นไหว
แต่หนึ่งชายไร้ร่มตรมตรอมกาย
เดี่ยวเดียวดายกลางสายพิรุณพราว

ไอหมอกขาวมัวเทาเคล้าดวงจิต
กล่อมความคิดสะกิดใจให้เหน็บหนาว
วิญญาณขายให้สายลมชมบางคราว
ประเดี๋ยวด๋าวคราวเดียวเสี้ยวนาที

ร่ำร้องหายาใจที่ไกลจาก
ผู้พัดพรากจากไปในแสงสี
วันสีเทายามเหงายาวแรมปี
ยังอยู่ดีแต่ดวงใจไม่สู้ทน

ฝนสลายคลายเมฆเสกแสงส่อง
อร่ามรองทองประกายไปทุกหน
แต่ความเหงาเศร้าอุราตราตรึงทน
ดั่งเม็ดฝนกลิ้งตัวบนหัวใจ

ชายผู้ฆ่าตัวตายด้วยการเป็นกวี



ชีวิตมันเศร้า เมื่อก้าวออกประตูบ้าน โลกภายนอกมันช่างโหดร้าย  เลวทราม  ต่ำช้า  ไร้ความปราณี
คนที่อ่อนแอแลอ่อนไหวเช่นเขา  จะเอาตัวรอดได้อย่างไรในสังคมเยี่ยงนั้น
ถึงจะขังตัวเองอยู่ในห้อง  โลกภายนอกก็คุกคามเขาด้วยบิลล์ค่าไฟ  ค่าเช่าบ้าน หรือแม้แต่เสียงท้องร้องของเขาเอง
เขาคิดจะฆ่าตัวตาย
แต่การฆ่าตัวตายในโลกความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้าย
ความเจ็บปวดก่อนตาย  กลิ่นคาวเลือด  อุจจาระปัสสาวะคละคลุ้ง  ศพขึ้นอืดเหม็นอบอวล
เขาคิดหาวิธีฆ่าตัวตายที่ไม่โหดร้าย
แล้วเขาก็คิดวิธีที่สามารถตายอย่างสวยงามได้วิธีหนึ่ง
นั่นคือการเป็น กวี
ในเมืองไทยคนอ่านหนังสือน้อย  สำหรับคนอ่านบทกวีนั้นยิ่งน้อยจนรวมตัวกันอยู่ได้หนึ่งหมู่บ้าน
ค่าเขียนงานบทกวีจึงน้อยเป็นเงาตามตัว
เขาลาออกจากงานประจำมาเป็นกวีเต็มตัว
ไส้เขาจะแห้งอย่างช้าๆและตายในที่สุด  คงใช้เวลาไม่กี่ปี
ทว่าระว่างนั้นสามารถดื่มด่ำกับความงามในโลกของบทกวี
ไม่มีวิธีใดวิเศษกว่านี้อีกแล้ว
เขาขังตัวเองในห้อง เริ่มฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ
เขียน  ตีพิมพ์  ขาย.....
เขียน  ตีพิมพ์ ขาย.....
.....
...
..
หลายปีต่อมาเขาก็ยังฆ่าตัวตายไม่เสร็จ
ตอนนี้เขาไส้แห้ง และกลายเป็นศิลปินแห่งชาติ
คงต้องเป็นกวีไปอีกหลายปีกว่าจะตาย

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ... หนังสือที่เขียนยากที่สุดในโลก



คาบเรียนวิชาเภสัชบริหารในวันศุกร์ ผมได้รู้จักกับบุคคลที่ชื่อ ฌาค โดมินิค โบบี้ ผู้ที่เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า the diving bell and the butterfly หรือในชื่อภาษาไทยว่า ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ คงสงสัยกันใช่ไหมครับว่าที่ว่าเขียนยากที่สุดในโลกนั้นเป็นอย่างไร

ฌาค โดมินิค โบบี้ คืออดีตบรรณธิการของนิตยาสาร ELLE นิตยสารสำหรับสุภาพสตรีชื่อดังของฝรั่งเศส หนังสือ ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ เป็นหนังสือเล่มขนาดเล็กยาวเกือบสองร้อยหน้า  เล่าเรื่องบางช่วงของชีวิตคนๆหนึ่งที่บอกเล่าผ่านสำนวนและจินตนาการที่แพรวพราว ซึ่งไม่เป็นที่แปลกใจสำหรับคนที่เป็นถึงบรรณาธิการนิตยาสารชื่อดัง  แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือเขาเขียนหนังสือเล่มนี้ในช่วงที่เป็นอัมพาตทั้งตัวเนื่องมาจากหลอดเลือดในสมองแตก(stoke) เหลือเพียงเปลือกซ้ายที่ขยับได้และจินตนาการความคิดที่ยังโลดแล่น ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต(หรืออาจเรียกได้ว่าชีวิตใหม่)เขาตัดสินใจที่จะฝากอะไรบางอย่างไว้กับโลกใบนี้  ชุดประดาน้ำและผีเสื้อจึงได้ถือกำเนิดจากความมานะพยายามอันไม่สิ้นสุด

เวลาเขียนหนังสือเขาจะมีผู้ช่วยอยู่หนึ่งคน ผู้ช่วยจะไล่ท่องตัวอักษรทีละตัวโดยที่เขายังหลับตาอยู่ พอถึงตัวอักษรที่ต้องการก็จะเปิดเปลือกตาขึ้น เฉลี่ยแล้วการเขียนคำหนึ่งคำอย่างเช่น university จะใช้เวลาประมาณ 5 นาที  ในแต่ละวันจะใช้เวลาเขียนหนังสือประมาณ 5 ชั่วโมง เมื่อได้รู้ดังนี้ เลิกเรียนปุ๊บผมก็รีบไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านในทันที  ปรกติเวลาอ่านหนังสือทั่วไปผมจะเน้นอ่านเร็วๆให้พอรู้เรื่องราว แต่สำหรับเล่มนี้ผมอ่่านให้ชัดเจนทุกตัวอักษร เพื่อซึมซับและให้เกียรติแก่ความมุมานะของผู้เขียน  หนังสือเล่มนี้หยิบเอาเรื่องราวชีวิตธรรมดาและชีวิตที่ไม่ค่อยมีอะไรให้เล่าอย่างช่วงที่เป็นอำมพาตในโรงพยาบาล ผู้เขียนกลับบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นผ่านแง่มุมที่เต็มไปด้วยจินตนาการ เรื่องราวที่ดูไม่มีอะไรก็กลายเป็นเรื่องราวที่มีชีวิตชีวาขึ้นมา ส่วนชุดประดาน้ำละผีเสื้อจะหมายถึงอะไรนั้น ก็ลองไปหาคำตอบกันในหนังสือเล่มนี้นะครับ

การทีี่ได้รู้เบื้องหลังการเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมได้มาก ในฐานะที่ผมก็กำลังเขียนหนังสือเหมือนกันนั้นรู้สึกทึ่งในความพยายามของผู้เขียนท่านนี้ ก่อนหน้านี้ลำพังมือเท้าและสมองที่ปรกติของผมก็มีท้อแท้เหนื่อยหน่ายอยู่เป็นระยะ แต่เรื่องราวของ ฌาค โดมินิค โบบี้ ทำให้ผมรู้ว่าต้องพยายามมากขึ้น สิ่งที่เราท้อแท้อยู่ทุกวันนี้มันช่างดูจิ๊บจ๊อยจริงๆ