วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แขวนใจให้ถูกที่



เมื่อเราอยากให้เขาปฏิบัติต่อเราอย่างไร  เราก็ควรปฏิบัติเช่นนั้นต่อเขาก่อน  กฎข้อนี้ส่วนใหญ่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน  แต่มักจะไม่ค่อยประสบผลเมื่อใช้กับเรื่องความรัก  ทุกวันนี้การรักเขาข้างเดียวกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ   เมื่อรักใครสักคน ก็อยากแสดงให้เขารู้  มอบดอกไม้ เอาอกเอาใจ เป็นห่วงเป็นใย  ลึกๆก็หวังว่าจะได้รับความรักจากเขาตอบแทนบ้าง  แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่เป็นไปตามที่หวัง  และคนที่ผิดหวังก็ต่อยอดกลายเป็นคนอกหักที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน  มีตั้งแต่แค่ซึมๆจ๋อยๆ  ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวน  กินของหวานไม่ได้มันขมปากไปหมด  ต้องกระดกแก้วเหล้าอย่างเดียว  จนถึงขั้นอยากกระโดดตึกอยากกรอกปากด้วยยาพาราเพื่อลาโลก
แต่ก่อนที่จะกรอกยาใส่ปากหรือก้าวเท้าลงจากขอบตึกก็อยากให้ลองคิดย้อนกลับไปหน่อย  วินาทีแรกที่เราลืมตาออกมาดูโลกพร้อมกับเปล่งเสียงร้องไห้จ้า  ตอนนั้นเรามีอะไรติดตัวมาบ้างนอกจากสายสะดือที่เชื่อมกับรกของแม่  สิบกว่าปีที่ผ่านมาก่อนจะเข้าสู่วัยแห่งความรัก  ก่อนที่จะได้มาเจอกับคนที่ใช่  เราก็ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างปรกติสุขไม่ใช่หรือ    ต่างจากวันนี้ที่ร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อผิดหวังจากเธอคนนั้น     เมื่อไม่มีเธอชีวิตก็เหมือนขาดอะไรไป  เหมือนสวมรองเท้าข้างซ้ายโดยไม่มีรองเท้าข้างขวา  แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าเมื่อก่อนเราเคยเดินเท้าเปล่ามาตลอดและก็มีความสุขกับมันดี  ตอนนี้เราแค่ไม่ชินกับการกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง  แต่เมื่อใช้เวลาปรับตัวสักพักเราก็จะชินกับมันและสามารถกลับไปเดินเท้าเปล่าได้อีกครั้งอย่างปรกติสุข
พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จักอยู่กับปัจจุบัน  ผมว่ามันเป็นคำสอนที่วิเศษมาก  สาเหตุที่ทำให้คนอกหักและเจ็บช้ำปางตายก็เพราะการไม่อยู่กับปัจจุบันนี่แหละ  มองไปยังภาพวันเก่าๆที่เราเคยรักกันหวานแหววแล้วรู้สึกเสียดาย  มองไปยังวันข้างหน้าแล้วหัวใจสลายเพราะความหวังที่วาดฝันเอาไว้พังทลายไปหมด  หันมามองตัวเองตอนนี้ก็ใจหดเมื่อเขาไม่อยู่ข้างๆเราเหมือนเมื่อวาน  แต่เราลืมมองไปหรือเปล่าว่าตอนนี้เรายังหายใจอยู่  มือและเท้าของเรายังอยู่ครบสามสิบสองเหมือนตอนที่เราเกิดมาใหม่ๆ  สิ่งที่ทำเราเจ็บช้ำปางตายน่ะจิตเราปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น  ผมไม่ขอใช้สำนวนเทศนาโวหาร เพราะผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนธรรมะธรรมโม   ผมขอเปรียบเทียบเป็น “การแขวนใจ”ตามแบบฉบับของผมเองแล้วกัน
การแขวนใจก็เหมือนการตากเสื้อผ้าให้แห้งนี่แหละครับ  เมื่อเธอเดินเข้ามาในชีวิตฉันก็เปรียบดั่งแสงตะวันส่องให้โลกของฉันสดใส  อยากให้ผ้าแห้งไวๆก็ต้องเอาไปตากข้างนอกนั่น  ยิ่งเธอบอกว่าจะรักฉันคนเดียวตลอดไปฉันก็ยิ่งตายใจนอนรอให้เสื้อผ้าแห้งอย่างมีความสุข  ลืมนึกถึงธรรมชาติของสภาพอากาศที่แปรปรวน  เมื่อมีแดดออกก็ต้องมีฝนตก  คำพูดของเธอก็เปรียบได้กับคำพยากรณ์อากาศที่เอาแน่เอานอนได้ไม่มาก   เมื่อเธอหมดรักหรือมีคนใหม่ก็เปรียบเหมือนห่าฝนที่อยู่ดีๆเทกระหน่ำลงมา  สุดท้ายเสื้อผ้าที่ตั้งใจจะตากไว้ให้แห้งกลับเปียกยิ่งกว่าเก่า  หลายคนทำใจไม่ได้ก็คิดอยากลาโลกนี้ไป  ทั้งๆที่ผ้าที่เปียกโชกนั้นเราสามารถทำให้แห้งใหม่ในวันหน้าได้
การแขวนใจเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง  บางคนกลัวว่าวันหน้าจะพลาดท่าทำใจเปียกเพราะสภาพอากาศไม่แน่นอน เลยแขวนไว้แต่ในบ้าน  ก็เหมือนกับคนที่ไม่ยอมเปิดใจรักใครนั่นแหละครับ  ปลอดภัยดี ไม่ต้องเสี่ยง  แต่ก็เหมือนชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง  กับอีกทางหนึ่งเมื่อแดดมาก็เอาใจไปแขวนข้างนอก  เมื่อฝนทำท่าจะตกก็เอาใจมาแขวนไว้ในบ้าน  บางครั้งพลาดทำใจเปียกบ้างก็ไม่ถึงกับเปียกโชก  ยังไงก็ถือเป็นประสบการณ์คราวหน้าจะได้ไม่เปียกอีก  สำรับคนอื่นจะเลือกทางไหนก็แล้วแต่คนแล้วแต่สไตล์เลยครับ  เป็นผมผมขอเลือกทางที่สองเพราะรู้สึกว่าได้ใช้หัวใจคุ้มค่ากับที่เกิดมาหนึ่งชีวิตดี
เมื่อผิดหวังมาก็อย่ามัวแต่ไปโทษฟ้าโทษฝนอยู่เลยครับ   มันเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว  ต่อให้บริสุทธิ์ยังไง  ปักตะไคร้มากแค่ไหน  ถ้าฝนมันจะตกซะอย่างมันก็ตกแหละครับ  ผมว่าทางที่ดีหันมาใส่ใจ”ใจ”ของเราดีกว่า  ลองสังเกตว่ามันถูกแขวนไว้ถูกที่หรือยัง  ลองแขวนมุมนู้นบ้าง  มุมนี้บ้าง  สักวันหนึ่งอาจจะเจอมุมที่ฝนสาดไม่โดนทว่าแดดส่องถึง   แต่ถึงกระนั้นก็ควรตระหนักไว้เสมอว่าสภาพอากาศภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน  วันดีคืนดีพายุอาจจะถล่มก็ได้  ถ้าเป็นผมผมจะเลือกแขวนใจไว้ใกล้ๆมือของผมเอง    วันดีคืนดีท่าไม่ดีผมจะได้เปลี่ยนที่แขวนใจของผมได้ทัน
รักมากไม่จำเป็นต้องเจ็บมากเสมอไป  เพียงแค่แขวนใจให้ถูกที
ขอให้มีความสุขกับการรักนะครับ ^ ^

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชีวิต ความฝัน คุณค่า ความหมาย




การอ่านหนังสือเป็นหนทางการเรียนรู้ที่ชาญฉลาด  แทนที่จะเสียเวลาทั้งชีวิตในการลองผิดลองถูก  เราก็เรียนรู้จากสิ่งที่คนอื่นลองผิดลองถูกทั้งชีวิตซะเลย  หนังสือหนึ่งเล่มเพียงไม่กี่ร้อยหน้า  อาจรวบรวมสิ่งที่คนรุ่นก่อน ค้นหา ค้นพบและเรียนรู้สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน  ประสบการณ์จากเมื่อสองพันปีที่แล้วพร้อมจะถูกต่อยอดโดยคนรุ่นใหม่  หนังสือช่วยพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์  และพัฒนามนุษย์ให้เป็นมนุษย์ยิ่งขึ้น

แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง  การอ่านหนังสือมาเป็นพันๆเล่ม  ก็ยังไม่เทียบเท่าการได้ลองเดินทางด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง

สมมติว่าปลาตัวหนึ่งมีเพื่อนเป็นกบฝูงใหญ่ๆ  กบทุกตัวมาเล่าให้ปลาฟังว่าบนบกเป็นอย่างไร  เจ้าปลาฟังเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าฟังมุมของกบตัวโน้นทีตัวนี้ทีจนจำขึ้นใจทุกรายละเอียด  จากนั้นปลาก็เอาเรื่อง บนบก ไปเล่าให้เพื่อนที่เป็นปลาฟังอีกที  ปลาเล่าตามที่จำขึ้นใจได้ทุกคำ  ตอบข้อสงสัยของเพื่อนปลาได้ทุกคำถาม(เพราะปลาก็เคยถามกบมาหมดแล้ว)  เพื่อปลาอาจจะร้องว่า “อ๋อ บนบกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

แต่ลองคิดดู  บนบกในมโนภาพของกบซึ่งมาจากประสบการณ์จริง  กับบนบกของปลาและเพื่อนปลาที่มาจากการบอกเล่าต่อกันเป็นทอดๆ  จะเหมือนกันหรือไม่  ถึงจะเล่าเหมือนกันทุกคำแต่ “บนบก” ในมโนภาพของทั้งสามอาจจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้า  เมื่อเพื่อนเราไปเที่ยวที่ไหนก็สามารถบันทึกภาพและเสียงกลับมาให้เราที่ไม่เคยไปได้รับชม   ถึงเราจะดูจนเก็บได้ทุกรายละเอียดก็ยังรู้สึกว่ามีบางส่วนที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม  ซึ่งจะเติมเต็มได้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้น นั่นคือ ต้องลองไปเอง

ทุกวันนี้เราดูละครเราอาจจะเห็นฉากที่คน โกรธกัน รักกัน สุขใจ เศร้าใจ  เราดูแล้วรู้ว่ามันเป็นแบบนี้  แต่จะเข้าจริงๆหรือไม่ว่าเวลาเจอกับตัวเองมันเป็นอย่างไร   บางคนอาจจะมองคนกำลังอกหักว่า โง่จัง  จมอยู่กับเรื่องเก่าๆอยู่ได้ไม่รู้จักเดินต่อไปข้างหน้า  ซึ่งถ้าไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่เข้าใจหรอกว่าอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับมันเป็นอย่างไร  ผมอ่านชีวิตบุคคลที่ผมอยากเป็นจนรู้ว่ามันเป็นยังไง  แต่ผมจะเข้าใจความรู้สึกของการได้เป็นคนๆนั้นจริงๆเหรอ  คุณมีความฝัน  คุณจินตนาการว่าได้ทำมันจนเห็นภาพตัวคุณเองไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็จบ   มันจบแค่นี้จริงๆเหรอ

บางทีชีวิตอาจไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการตอบคำถาม  คำถามที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคืออะไร และตอบไม่ได้ด้วยคำตอบ  พจนานุกรมอาจบอกได้ว่า “ชีวิต” แปลว่าอะไร  แต่ถ้าอยากรู้ความหมายและตระหนักถึงคุณค่า  ก็คงต้องออกไปค้นหาเองด้วยกันลองใช้ชีวิตแลทำตามความฝัน