วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

รองเท้าทองคำ



ในทีสุดผมก็คว้ารางวัล รองเท้าทองคำมาได้
ความพร้อมของร่างกายสำคัญมาก แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ใจ
ที่หน้าอกผมมีแม่เหล็กดึงดูดเข้าหาเส้นชัย ผมผ่านการเคี่ยวกรำมานับไม่ถ้วน จนมันฝังลงไปในใจตามสัญชาตญาณ
เคล็ดลับของผมมีอยู่ว่า เริ่มวิ่งใหม่ๆ ผมวิ่งในสนามกีฬา
ในที่แห่งนั้น บางคนเป็นนักวิ่งอยู่แล้ว มักจะวิ่งเร็วกว่าคนอื่นๆ
เมื่อเห็นคนเหล่านั้น ผมก็จะกำหนดในใจว่าจะต้องแซงคนนั้นให้ได้ก่อนถึงจุดๆหนึ่งๆ
อย่างเช่น ผมต้องแซงคนเสื้อแดงคนนั้นให้ได้ ก่อนพ้นประตูทางเข้า
ไม่เคยมีใครแซงผมได้ หรือที่ผมแซงไม่ได้

วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะได้ลองสวมรองเท้าทองคู่นี้วิ่ง รองเท้าไม่ได้นุ่มสบายหรือวิเศษอะไร แต่มันคือความภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิตผม
เมื่อออกตัววิ่งก็เหมือนเข้าฌาณ เหนื่อยตอนต้นเพียงครู่เดียวเดี๋ยวก็ติดลมจนไม่อยากหยุด
แน่นอนว่าครั้งนี้ ก็ยังไม่มีใครที่จะแซงผม หรือที่ผมแซงไม่ได้ เหมือนอย่างเคย
ผมวิ่งด้วยระดับความเร็วที่ไม่มีใครในสนามกีฬาเทียบติด
แต่ทันใดนั้นผมกลับได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งวิ่งไล่ตามหลังผมมาอย่างกระชั้นชิด
ผมอึ้งอยู่ในใจ สั่งตัวเองให้ยิ้มย่อง ผมไม่คิดจะหันหลังไปมองเพราะเป็นการแสดงความกลัว
ผมสับขาเร็วขึ้น ดูซิว่ามันจะตามทันไหม
เสียงฝีเท้าของมันกลับถี่กระชั้นตามผม
มันเป็นใครมาจากไหน ผมสับขาเร็วขึ้นอีก ดูซิว่ามันจะทนได้แค่ไหน
ผมเริ่มหอบ แต่ไม่ได้ยินเสียงหายใจของมัน
รองเท้าทอง จะมีประโยชน์อะไร ถ้ามาแพ้หมดรูปให้ใครก็ไม่รู้อย่างนี้
ผมเร่งสุดฝีเท้า มันก็เร่งตามผม
ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว ผมเริ่มไม่ไหว หูอื้อไปหมด เลยไม่ได้ยินเสียงหอบของมัน
แต่ยังได้ยินเสียงฝีเท้ามันอยู่
หลายร้อยเมตรต่อมาผมไม่แคร์สายตาคนอื่น ที่อาจจะมองผมเหมือนคนบ้า
ก็ไอ้บ้าข้างหลังผมมันยังตามมาอยู่นี่หว่า
สิบวินาทีสุดท้ายผมรีดเร้นพลังทุกเฮือกออกมาหมด ผมกลัวตาย แต่ไม่กล้าผ่อนฝีเท้าลง
แล้ววินาทีต่อมา ผมก็ล้ม จังหวะนั้นผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของมันอีก ผมชนะแล้ว

....

มีหลายคนบอกผมว่า รองเท้าที่ผมซื้อจากร้านมือสองคู่นี้มีอาถรรพ์ ทำให้นักวิ่งมาราธอนที่มีดีกรีแชมป์จังหวัดหัวใจวายตายขณะวิ่งมาแล้ว วันนี้ผมลองใส่ออกวิ่งดู ตอนแรกๆยังไม่มีอะไรผิดปรกติ แต่พอเร่งฝีเท้าขึ้นกลับมีเสียงแปลกๆ ดังเหมือนเสียงฝีเท้าซ้อน คล้ายกลับมีใครอีกคนวิ่งคู่อยู่กับผม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจของผู้ออกแบบ แต่ผมว่าแบบนี้มันเจ๋งมาก เหมือนมีใครกำลังวิ่งเป็นเพื่อนผมอยู่เลย

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

หุ่นยนต์ vs มนุษย์ต่างดาว (เรื่องสั้นmasterpieceในใจ แบบไม่ตั้งใจ)


* เรื่องนี้ตอนที่แต่ออกมาไม่ได้หวังอะไรมาก แต่พอย้อนกลับไปอ่านดู เฮ้ย! แต่งออกมาได้ไงวะเนี่ย ถ้าใช้สมองคิดคงไม่ออกมาแบบนี้ ต้องใช้ส้นตีนคิดเท่านั้น เป็นเรื่องสั้นที่ผิวเผินดูเกรียนๆ แต่จริงๆแล้วก็แอบแฝงอะไรที่หนักสมองลงไปเหมือนกัน อยากมาแบ่งปันกันอ่านครับ*


“คุณมาจากดาวไหน”นักวิทยาศาสตร์อาวุโสถาม ขาวโพลนทั้งชุดและศีรษะ

“ดาวเคาะ”สิ่งมีชีวิตประหลาดตอบ รูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ผิวหนังสีเขียวโปร่งแสงดูเลือนราง เส้นขนหนาๆคล้ายหนวดบนศีรษะพันกันยุ่งเหยิง หางตาแหลม ดวงตากลมโตสีดำฉายแววเลื่อนลอย

“ดาวเคราะห์”นักวิทยาศาสตร์ขมวดคิ้ว พูดแก้ให้

“ดาวเคาะ”สิ่งมีชีวิตประหลาดยืนยันในคำตอบ

“อ๋อ...มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าดาวเคาะ”นักวิทยาศาสตร์คลายปมขมวดที่คิ้ว

“ดาวของพวกเราบางวันก็เป็นดาวฤกษ์ บางวันก็เป็นดาวเคราะห์ เราจึงเรียกดาวของเราว่าเป็นดาวเคิกที่ชื่อว่าดาวเคาะ”

“ดาวเคิก”นักวิทยาศาสตร์ขมวดคิ้วอีกครั้ง “คำๆนี้ไม่เคยมีบัญญัติในพจนานุกรมดาราศาสตร์เล่มไหนเลยนะ”

“ชาวดาวเคาะไม่มีพจนานุกรม” มนุษย์ต่างดาวตอบ “พวกเราเปิดกว้างให้ทุกคนสามารถนิยามคำใหม่มาใช้ร่วมกันได้”


“เอาล่ะครับท่านผู้ชม ที่ท่านกำลังรับชมอยู่นี้คือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกของแท้ บัดนี้ทฤษฎีเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่เป็นที่ถกเถียงตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนก็ได้รับการไขข้อเท็จจริงแล้ว ยังก่อนครับท่านผู้ชม แค่นี้ยังไม่น่าตื่นตะลึงเท่ากับได้รู้ว่า พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกของเรามากว่าหลายร้อยปีแล้ว”

ผมนั่งเอนพิงพนักโซฟาปรับระดับ สายตาจ้องมองภาพโฮโลแกรมสามมิติที่กำลังฉายรายการหยุดโลกอยู่ บนห้องพักชั้นที่ห้าสิบเอ็ดสูงเลยระดับผืนเมฆและหมอกควันไม่มีอะไรให้ทำมากนัก ผนังของตึกทำจากกระจกใสให้แสงส่องเข้ามาได้เต็มที่ แต่กรองรังสียูวีที่เป็นอันตรายได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทิวทัศน์ภายนอกนอกจากดวงอาทิตย์ยามคล้อยต่ำและผืนเมฆก็ไม่มีอะไรให้ชม ครั้งหนึ่งผมเคยคิดจะวิ่งชนกระจกให้แตกเพื่อออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก แต่ฉับพลันที่ร่างผมสัมผัสแผ่นกระจกมันก็โค้งงอไปตามแรงปะทะแล้วดีดสะท้อนให้ผมกระเด็นกลิ้งกลับมา ซันนี่หุ่นยนต์พ่อบ้านจอมจุ้นก็รายงานพฤติกรรมผมไปยัง ศูนย์ควบคุมดูแลผู้วิกลจริต ผลก็คือผมต้องเขารับการบำบัดที่นั่น และผมก็ให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่เข้าไปในนรกซังกะตายนั่นอีกเป็นครั้งที่สอง เดิมทีองค์กรควบคุมดูแลผู้วิกลจริตทำงานร่วมกันกับองค์กรกำหนดวิถีวัฒนธรรมของผม เพราะขอบเขตอำนาจในการทำงานใกล้เคียงกันจึงทำให้มักจะเกิดการก้าวก่ายทางหน้าที่การงาน ที่ผมต้องตกอยู่ในสภาพนักโทษผู้ดีเช่นนี้ก็เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น ครั้งที่องค์กรของผมค้นพบภาพวาด โมนาลิซ่าสมาย ซึ่งกลุ่มอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมายกลุ่มหนึ่งซุกซ้อนไว้นานกว่าสองร้อยปี ผมเสนอให้รัฐบาลเก็บรักษาภาพวาดชิ้นนั้นเอาไว้ แต่องค์กรควบคุมดูแลผู้วิกลจริตกลับเสนอให้ทำลายทิ้ง โดยให้เหตุผลว่าภาพวาดชิ้นนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรงของกลุ่มอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมาย อันเป็นการถ่วงความเจริญของชาติ หลังจากนำประเด็นนี้ไปต่อสู้ในชั้นศาล ผมแทบคลั่งเมื่อศาลตัดสินให้ทำลายทิ้ง ผมอับจนด้วยเหตุผลจึงหาทางระบายออกด้วยการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกไป ศาลจึงตัดสินให้ผมถูกควบคุมความประพฤติโดยองค์กรควบคุมดูแลผู้วิกลจริตอย่างใกล้ชิด พวกมันเองก็คงระรี้ระริกเมื่อหัวหน้าองค์กรกำหนดวิถีวัฒนธรรมอย่างผมตกอยู่ในกำมือของมัน ซันนี่หุ่นยนต์พ่อบ้านซึ่งแต่เดิมผมสามารถใช้งานหรือสั่งให้มันทำอะไรพิเรนทร์ๆแก่เบื่อ บัดนี้ขึ้นตรงต่อองค์กรควบคุมดูแลผู้วิกลจริตไปเสียแล้ว เพียงแค่ขัดใจมันหรือทำพฤติกรรมอันใดที่คนปรกติไม่นิยมทำ ซันนี่ก็จะรายงานเจ้านายใหม่ของมัน

ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ผมดีดนิ้วเรียกรถเข็นของว่างให้เคลื่อนที่มาหยุดข้างๆ ผมเอามือล้วงซีเรียลจากในกล่องยัดใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“กรุณาอ้าปากแล้วกดปุ่มป้อนอัตโนมัติ”เจ้าตัวการ์ตูนหมีขั้วโลกบนกล่องร้องและวิ่งพล่านไปทั่วกล่อง

ผมเอานิ้วดีดมันสองสามทีก็ยังไม่ยอมหยุด ผมจึงคว้ากล่องเขวี้ยงลงไปที่พื้น เจ้าซันนี่ที่กำลังง่วนกับการทำความสะอาดก็หันมามอง มันคงกำลังประเมินเปอร์เซ็นต์ความผิดปรกติของพฤติกรรมของผมอยู่แน่ๆ ผมรีบทำท่าเป็นสนอกสนใจที่ภาพโฮโลแกรม

“พวกเราแฝงตัวอยู่กับชาวโลกมาหลายร้อยปี”ตัวแทนมนุษย์ต่างดาวพูด “แต่นับวันที่อยู่ของเราก็ยิ่งลดน้อยลง เราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องแสดงตนออกมาแสดงเจตนาของพวกเราให้ชาวโลกได้รับรู้”

“พวกคุณต้องการอะไร”นักวิทยาศาสตร์ถาม

“พวกเราต้องการแค่ที่อยู่ในโลกใบนี้”

“แค่นี้หรือครับ”นักวิทยาศาสตร์ย้ำถาม

“คำว่าที่อยู่ ไม่ได้หมายความว่าแค่สถานที่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการที่ชาวโลกยอมรับการมีตัวตนของพวกเราด้วย”

จากนั้นทางรายการก็ตัดภาพไปยังภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ต่างดาวในซากปรักหักพังแร้นแค้น มนุษย์ต่างดาววัยฉกรรจ์กำลังใช้ก้อนหินคมๆผ่าฟืน มนุษย์ต่างดาวเพศแม่สองตนยืนคุยกันในขณะที่ต่างตนต่างให้นมลูก มนุษย์ต่างดาววัยเด็กผ่อมกะหร่องกลุ่มหนึ่งกำลังสร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังด้วยคมหินและฝุ่นดินสีต่างๆ ผนังส่วนใหญ่ไม่มีที่ว่างเว้นจากงานจิตรกรรมฝาผนัง

“วิถีชีวิตของพวกเขาช่างคล้ายคลึงกับนักอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมาย”พิธีกรออกความเห็น

จากนั้นภาพก็ตัดไปยังมนุษย์ต่างดาววัยรุ่นสองตนกำลังแกะสลักอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของซากปรักหักพัง สูงจากพื้นราวๆแปดเมตร ทันใดนั้นมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่งกลับเหยียบพลาดล้มไถลลื่นลงมา โชคดีที่ได้เพื่อนของเขาจับไว้ทัน แต่โชคไม่ดีซ้ำซ้อนที่เพื่อนของเขาผอมแห้งแรงน้อยจึงถูกฉุดลงมาด้วย ร่างทั้งคู่กระแทกกับพื้น มีเสียงเอะอะโวยวายเป็นภาษาต่างดาว มนุษย์ต่างดาวทุกตนในบริเวณนั้นหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้ววิ่งกรูกันเข้ามาดู

“ท่านผู้ชมครับ ช่างกล้องของเราบังเอิญบันทึกภาพวินาทีระทึกเอาไว้ได้”น้ำเสียงของพิธีกรรัวเร็ว แฝงด้วยอาการหอบ

ภาพตัดมาที่พิธีศพของมนุษย์ต่างดาว ทุกตนมาร่วมพิธีศพโดยการกระโดดเหยงๆไปมารอบๆหลุมศพ การกระโดดแต่ละครั้งนั้นขณะลอยตัวร่างจะเคว้งคว้างและปวกเปียกราวกับมึนเมาไร้สติ จากนั้นภาพก็ตัดไปที่นักวิทยาศาสตร์ซึ่งรับหน้าที่บรรยาย

“จากการศึกษาพบว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นเทคนิคการหลอกตัวเองอย่างหนึ่ง เนื่องจากในสมัยก่อนเมื่อมีพิธีศพ มนุษย์ต่างดาวทุกตนจะมอมตัวเองด้วยสิ่งมึนเมาอย่างหนัก เพราะเชื่อว่าจิตใจขณะมึนเมาจะสามารถสื่อสารกับพระเจ้าและวิญญาณของผู้ตายได้ แต่ปัจจุบันมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้อยู่ในสภาวะแร้นแค้น จึงใช้วิธีการหลอกตัวเองให้มึนเมาแทนการใช้ของมึนเมา ความสามารถเช่นนี้สามารถพบได้ในพวกศิลปินอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมาย

..ไม่ใช่สิ มันเป็นความสามารถที่บรรพบุรุษของเราเมื่อหลายร้อยปีก่อนทำได้ แต่ปัจจุบันแทบไม่พบคนที่มีความสามารถเช่นนี้”

จากนั้นเสียงบรรยายของนักพากย์ก็แทรกขึ้นมา

“การที่เราจะปักปันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับมนุษย์ต่างดาวนั้น อาจจะเกิดผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติก็เป็นได้ ดังนั้นเราจะไปฟังความเห็นของนักวิชาการกันนะครับ”

ภาพในโฮโลแกรมตัดมาที่ห้องส่ง เก้าอี้นวมดูเหมือนจะลอยอยู่กลางอากาศนั่งไว้ด้วยชายวัยกลางคน สวมสูทสีดำ เน็กไทด์สีแดง ผมรองทรงมันปลาบหวีเรียบแปล้ ใบหน้าแบนกว้างรูขุมขนใหญ่ เก้าอี้อีกตัวหนึ่งนั่งไว้ด้วยพิธีกรชายลอยมาหยุดอยู่ข้างๆ ฉากในห้องส่งเป็นจักรวาลจำลองสีน้ำเงิน ดาวพฤหัสขนาดเท่ากำมือโคจรผ่านหน้าพิธีกรไป

“คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับการปักปันเขตแดนให้มนุษย์ต่างดาวครับ”

“อืม...ในความคิดของผม”นักวิชาการณ์ยกขาขึ้นไขว่ห้าง “เรื่องที่อยู่ของมนุษย์ไม่ใช่ปัญหาเพราะปัจจุบัน การคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพถึงเก้าสิบแปดจุดเจ็ดก้าวเปอร์เซ็นต์ ส่วนสิ่งก่อสร้างก็สามารถต่อเตริมให้สูงขึ้นไปได้เสมอ เรื่องความมั่นคงกระทรวงกลาโหมก็มั่นใจในแสนยานุภาพของตน”

“คุณคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรเลยหรือครับ”พิธีกรซัก

“มีครับ มีตรงที่ว่าวิถีชีวิตของมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ค่อนข้างล่อแหลม อาจจะมีอิทธิพลต่อการนำไปเป็นแบบอย่างของมนุษย์บางกลุ่ม”

“แล้วพฤติกรรมของมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้มันล่อแหลมอย่างไรครับ”

“วิถีชีวิตของพวกเขามีพื้นฐานอยู่บนความเพ้อฝัน จากสองร้อยปีที่ผ่านมากระทรวงวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาทดลองเกี่ยวกับสมองมนุษย์ จนสามารถคิดค้นวัคซีนระงับความเพ้อฝันออกมาได้ กฏหมายกำหนดไว้ว่าประชาชนทุกคนที่เกิดในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมาจะต้องได้รับวัคซีนในช่วงอายุหนึ่งถึงสองขวบ เมื่อประชากรมีความเพ้อฝันลดลง ผลที่ตามมาก็คือ ประสิทธิภาพในการทำงานและการคุมกำเนิดสูงที่สุดในประวัติกาล”

“แล้วทำไมปัญหานักอนุรักษ์นิยมผิดกฎหมายยังไม่หมดไปล่ะครับ”พิธีกรถาม พลางโน้มตัวมาข้างหน้า

“ปัญหานี้ยังหาข้อสรุปของสาเหตุไม่ได้ครับ”นักวิชาการณ์ตอบ ท่าทีอึดอัด


“ท่านผู้ชมครับ ฟังความคิดเห็นของนักวิชาการไปแล้ว คราวนี้มาฟังสัมภาษณ์จากท่านนายกรัฐมนตรีกันบ้างดีกว่าครับ”

ภาพตัดไปที่ท่านนายกรัฐมนตรีกำลังเดินออกมาจากสำนักงาน ถูกขวางหน้าด้วยหุ่นยนต์ไมโครโฟนพร้อมบันทึก รอบตัวรายล้อมด้วยสื่อมวลชน ข้างกายมีบอดี้การ์ดเป็นคนสองคนและหุ่นยนต์สองตัว ท่านเป็นชายร่างท้วม ศีรษะใหญ่ จมูกใหญ่ ปากหนา ตาตี่เล็ก สวมแว่นตาวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งจะมีตัวหนังสือและรูปภาพปรากฎเป็นระยะๆ

“ไม่ต้องถามผมผมก็รู้ว่าพวกคุณต้องการถามอะไร ผมว่าเราควรให้โอกาสชาวดาวเคาะ แต่พวกเขาเองก็ต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ว่าพวกเขามีสมรรถภาพพอที่จะอยู่ในสังคม และเมื่อไม่นานมานี้กระทรวงกลาโหมได้ร่วมมือกับกระทรวงวิทยาศาสตร์พัฒนาหุ่นยนต์รุ่นอาร์ที820 จุดประสงค์คือเพื่อทดแทนกำลังตำรวจและทหารบางส่วน เนื่องจากทางเราต้องการแสดงสมรรถนะของอาร์ที820ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกเช่นกัน ดังนั้นผมจึงขอประกาศให้มีการชกระหว่าง หุ่นยนต์อาร์ที820 กับ ตัวแทนชาวดาวเคาะในอีกสามเดือนหลังจากนี้ โดยมีที่อยู่และการยอมรับการมีตัวตนของชาวดาวเคาะเป็นเดิมพัน”

ภาพตัดกลับมาที่ชุมชนชาวดาวเคาะในซากปรักหักพังอีกครั้ง

“เมื่อมนุษย์ต่างดาวทราบข่าว พวกเขาก็สามารถเฟ้นหาตัวแทนนักชกได้ภายในวันนั้น”นักพากย์บรรยาย

ตัวแทนนักชกต่างดาวมีรูปร่างสมส่วนและเลือนรางน้อยที่สุดในหมู่มนุษย์ต่างดาวทุกตน แต่ก็ยังดูผอมเกร็งเกินไปในสายตาของผม รายการเผยให้เห็นการฝึกซ้อมอย่างคร่าวๆ ไม่ว่าจะเป็น ยกก้อนหินต่างตุ้มน้ำหนัก ชกล่อเป้าโดยมีแมลงวันเป็นเป้า กระโดดแกว่งแขนยิกๆคิดว่ามีเชือกอยู่ในมือ ชกกับคู่ชกที่สร้างจากจินตนาการ เป็นต้น

“เรามาดูการฝึกซ้อมทางด้านอาร์ที820กันบ้างนะครับ”

อาร์ที820เก็บตัวอยู่ในห้องแล็บสีขาวแสงนวลตา นักวิทยาศาสตร์คอยสังเกตและบันทึกอยู่ห่างๆ การฝึกซ้อมของแอนดรอยด์สีขาวมีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น เข้าเครื่องบิดตัวเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับโครงสร้าง กระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความทนทาน บันทึกรูปแบบการชกของนักชกชื่อดังในอดีตลงในสมองกล ซ้อมชกกับคู่ชกที่เป็นหุ่นยนต์โดยไม่ต้องพึ่งคำสั่ง

“ใช้คนเป็นคู่ชกไม่ได้เพราะจะขัดกับกฎสามข้อของหุ่นยนต์” นักวิทยาศาสตร์อธิบายเพิ่มเติม “ ส่วนการชกกับนักชกต่างดาวนั้นไม่เป็นปัญหา เพราะในสายตาหุ่นยนต์ไม่ได้มองมนุษย์ต่างดาวว่าเป็นมนุษย์”

จากนั้นภาพก็ตัดมาที่ใบหน้าของพิธีกร

“ทั้งหมดที่ชมไปนี้เป็นแค่ไฮไลท์ครับ ก่อนที่จะไปชมการถ่ายทอดสดมวยคู่หยุดโลก มาฟังนักชกแต่ละคนพูดสักหน่อยดีกว่าครับ”

“เราจะสู้เพื่อการมีตัวตนของพวกเรา”นักชกต่างดาวพูดพร้อมกับกำหมัดชูขึ้น

“เจ้านายสั่งให้ผมมาชนะ”นักชกหุ่นยนต์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ภาพตัดมาที่ฮอลล์สเตเดี้ยม ผู้ชมนั่งเต็มทุกที่นั่ง นักชกต่างดาวกำลังร้องพร้อมเต้นตามเพลงประจำดาวเคาะ พอเพลงจบ อาร์ที820ก็ยืนตรง เพลงชาติดังขึ้น ทุกคนในฮอลล์ยืนตรงเช่นกัน พอเพลงจบผู้ชมก็พากันนั่งลง นักชกต่างดาวกับอาร์ที820มายืนประจันหน้า หุ่นยนต์อาร์ที41ตัวสีทอง ตากลมโตดูเด๋อด๋ารับหน้าที่เป็นกรรมการ อธิบายกติกาอย่างคร่าวๆ เสียงระฆังยกแรกดังแก๊ง! นักชกต่างดาวกับอาร์ที820ตีนวมกันทีหนึ่งก่อนจะผละจากกันมาเต้นหาจังหวะ

นักชกต่างดาวเต้นไปรอบๆเวทีในขณะที่อาร์ที820เต้นอยู่กับที่ สิบห้าวินาทีผ่านไป นักชกต่างดาวตัดสินใจสืบเท้าเข้าไปแย็บหมัดใส่การ์ดของอาร์ที820

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันก็สวนกลับหรอก”ผมเชียร์

เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด อาร์ที820สวิงหมัดฮุคขวาออกมาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่นักชกต่างดาวฉากหลบไปข้างหลังได้ทัน ยกขาขวาขึ้นถีบยอดอกสกัดไม่ให้นักชกหุ่นยนต์เข้ามาซ้ำเติม ผมถึงกับเผลอหัวเราะก๊ากออกมา กรรมการเข้ามาแยก เตือนและตัดคะแนนนักชกต่างดาว ผู้ชมพากันส่งเสียงโห่อย่างไม่พอใจ ดูเหมือนเสียงโห่จะมีผลทำให้สีหน้าของมนุษย์ต่างดาวแย่ สีตัวก็เริ่มเลือนรางลง

สองนาทีผ่านไปนักชกต่างดาวพยายามเต้นอยู่วงนอกและเข้าตอดเล็กตอดน้อยเก็บคะแนนเป็นระยะ หมัดตัดลำตัวของนักชกต่างดาวเก็บคะแนนไปได้ไม่น้อย แต่อาร์ที820ก็เปิดช่องให้ชกโดยไม่สะดุ้งสะเทือน พอห้าวินาก่อนจะหมดยกแรก นักชกต่างดาวโถมสุดตัวปล่อยหมัดเข้าที่ท้อง อาร์ที820ไม่ป้องกันแต่สวิงหมัดสวนกลับเข้าที่ปลายคางจังๆ ล้มลงไปนอนตัวสั่นริกๆ พยายามลุกขึ้นมาอย่างยากเย็น โชคดีที่หมดยกลงเสียก่อน ผู้ชมพากันส่งเสียงครางอย่างเสียดาย พี่เลี้ยงรีบเข้ามาลากนักชกกลับไปที่มุม สีตัวของนักชกต่างดาวเลือนรางและกระพริบ ดวงตาฉายแววขยาดระคนท้อแท้

“มันยุติธรรมตรงไหน!” ผมร้องพลางยื่นสองมือไปหาภาพโฮโลแกรม “เอาสิ่งมีชีวิต มีความรู้สึก ไปแลกกับหุ่นกระป๋องไร้ความรู้สึก”

“ความไม่เหมาะสมของพฤติกรรมอยู่ที่ หกสิบสองเปอร์เซ็นต์”ซันนี่เตือน

ผมรีบหุบปากสนิท แต่ในใจยังระอุอยู่ พี่เลี้ยงนักชกต่างดาวตบบ่าพูดอะไรสองสามประโยค ฉับพลันทันใดผมสังเกตเห็นแววตาของนักชกแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมัน มันทำให้ผมนิ่งอึ้งสงสัยว่าอะไรกันหนอที่เป็นแรงผลักดันให้สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งเดินเข้าไปรับความเจ็บปวดในยกที่สองอย่างแน่วแน่ แต่ยกนี้อาร์ที820เอาจริงผิดกับยกที่แล้ว สไตล์การชกวงนอกของนักชกต่างดาวเริ่มสับสน ถึงจะระวังคางไว้ได้แต่ก็โดนตัดลำตัวลงไปนอนจุกถึงสี่หน พอลุกขึ้นมาขาก็เริ่มเต้นไม่ค่อยออก ผู้ชมตะโกนเชียร์อาร์ที820อย่างสะใจ สิบวินาทีก่อนหมดยก สองมือผมกุมกันแน่น หยดเหงื่อไหลผ่านปลายจมูก แปดวินาทีก่อนจะหมดยกหมัดฮุคขวาของอาร์ที820ทะลายการ์ดนักชกต่างดาว ห้าวินาทีก่อนจะหมดยก นักชกต่างดาวอาศัยจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันวกแขนกลับมาตั้งการ์ดเสยหมัดอัปเปอร์คัตเข้าที่คางเต็มแรง ร่างของแอนดรอยด์สีขาวกระตุกและเซไปข้างหลัง คงเป็นเพราะสมองกลถูกกระทบกระเทือน สีตัวของนักชกต่างดาวเริ่มชัดขึ้น

“อย่างนี้สิลูกพ่อ!”ผมลุกขึ้นกระโดดบนโซฟา “ซ้ำมันเลย! ซ้ำเลย!”

“พฤติกรรมไม่เหมาะสมเกิน เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ เข้าข่ายวิกลจริต!”เสียงซันนี่ร้องเตือนเหมือนนก

“อย่า!”ผมคิดจะห้ามซันนี่ แต่มันก็ส่งวิทยุแจ้งไปเสียแล้ว หลังจากระฆังหมดยกสองดังไม่กี่วินาที เสียงโครม!ของประตูห้องผมก็ดังตามมา ชายสามคนสวมชุดปลอดเชื้อสีขาววิ่งกรูเข้ามาหาผม หน้ากากหมวกแผ่นใสๆเผยให้เห็นใบหน้าข้างในของพวกเขา แผ่นหลังโป่งนูนออกเพราะเป็นที่เก็บถังออกซิเจน

“ผมมาควบคุมตัวคุณไปยังศูนย์บำบัดผู้วิกลจริต”หนึ่งในสามคนนั้นพูดขึ้น

“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนซี่ ยังดูมวยคู่หยุดโลกไม่จบเลย มามะมาดูด้วยกันก่อน ถึงยังไงเดี๋ยวผมก็ต้องไปกับคุณอยู่แล้ว”ผมเชิญชวนพลางกดปุ่มขยายโซฟาเพิ่มเป็นสี่ที่นั่ง ทั้งสามคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมานั่งกับผม

ระฆังยกที่สามดังขึ้น อาร์ที820เดินเข้าใส่คู่ต่อสู้ คงกะจะน็อคให้ได้ภายในยกนี้ นักชกต่างดาวทิ้งสไตล์การชกวงนอกของตัวเองเดินเข้ามาแลกหมัดเช่นกัน หมัดของทั้งสองฝ่ายรัวใส่กันตุบตับจนผมแทบมองไม่ออก ผู้ชมในฮอลล์และเจ้าหน้าที่สามคนข้างๆผมส่งเสียง เอิ้ว! เมื่อหมัดของอาร์ที820สะกิดถูกปลายคางของนักชกต่างดาวจนเดินเป๋ไปอีกทิศ แต่กระนั้นแขนนักชกต่างดาวก็ยังเหวี่ยงหมัดไม่มีหยุด หมัดถูกปลายคางของอาร์ที41ที่เป็นกรรมการเข้า สมองกลสั่นสะเทือนจนเดินเป๋ไปมาทั่วเวที เมื่อนักชกต่างดาวเรียกสติกลับมาได้ก็เดินหน้าเข้าไปแลกหมัดกับนักชกหุ่นยนต์ต่อ นักชกต่างดาวเริ่มเป็นฝ่ายถูกถลุงอย่างหนัก แต่ก็ยังเหวี่ยงหมัดโต้ตอบตามสัญชาตญาณ ภาพเหล่านี้ทำเอาผมน้ำตาคลอเบ้า อาร์ที820ทิ้งฮุคสั้นๆเข้าที่ปลายคางฝ่ายตรงข้ามตามด้วยฮุคยาวๆอีกหมัดหนึ่ง จนนักชกต่างดาวลงไปนอนกองกับพื้น เนื้อตัวของเขาสั่นเทา พยายามยันกายลุกขึ้นมาอย่างช้าๆและยากเย็น

“พอเถอะ! นายทำดีที่สุดแล้ว!”ผมร้องออกมาอย่างพลุ่งพล่าน

กรรมการนับจนถึงเก้าจึงค่อยลุกขึ้นมาได้สำเร็จ สีตัวของนักชกต่างดาวเข้มขึ้น ตั้งการ์ดแล้วเดินเข้าไปแลกหมัดต่ออีกครั้ง คราวนี้ต่างฝ่ายต่างเหวี่ยงหมัดใส่กันอย่างไม่คิดชีวิต หมัดชนหมัดบ้าง หมัดชนหน้าบ้าง คละกันไป แต่ฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต นอกจากสู้กับคู่ต่อสู้ภายนอกแล้วก็ยังต้องสู้กับคู่ต่อสู้ภายใน เรี่ยวแรงเริ่มโรยรา ความบอบช้ำสะสมเริ่มออกอาการ หมัดของนักชกต่างดาวช้าลง อาร์ที820ซัดหมัดฮุคเข้าเต็มคาง นักชกต่างดาวเข่าอ่อนเซหลัดๆแต่ก็ยืนหยัดไม่ยอมล้ม สีตัวเข้มขึ้นอีก หุ่นยนต์นักชกตามเข้าไปซ้ำอีกหมัด นักชกต่างดาวเซถลาไปด้านข้างจนหัวเข่าแตะพื้น แต่ยืนกลับขึ้นมาได้ด้วยสองขาที่สั่นพั่บๆ สีตัวเข้มขึ้นอีก อาร์ที820ตามเข้าไปซ้ำอีกหมัด แววตาของนักชกต่างดาวแปรเปลี่ยนเป็นเคว้งคว้าง ร่างส่ายโงนเงนราวกับไม่ได้สติ แต่หมัดขวายังเหวี่ยงออกไปเป็นวงกว้าง เท่ากับเปิดช่องว่างใหญ่มากสำหรับให้ฝ่ายตรงข้ามสวนกลับ แต่ทว่าสีตัวของนักชกตอนนี้กลับชัดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น รอยเกล็ดบางๆเด่นชัด ความเลือนรางไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป

“จบแล้วสินะ” ผมทอดถอนใจ

ทว่าทันใดนั้น แทนที่อาร์ที820จะซ้ำอีกหมัด มันกลับฉากหลบไปข้างหลัง ตัวของนักชกต่างดาวล้มลงไปตามทิศของการเหวี่ยงหมัด พอร่างสัมผัสกับพื้นก็นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งไม่ไหวติง กรรมการสั่งยุติการชก ทุกคนที่เป็นชาวโลกในฮอลล์แห่งนั้นส่งเสียงเฮสนั่น สามคนข้างๆผมก็เช่นกัน ผมเองก็โห่ร้องออกมาด้วยความพลุ่งพล่านใจ

“ต่อสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีมาก เจ้าต่างดาว!”ผมร้อง

“อาร์ที820 สมรรถนะดีเยี่ยมจริงๆ”หนึ่งในสามคนข้างๆผมพูด

“ต่อสู้อย่างหนักแต่แทบไม่สึกหรอ อาร์ที820ยอดเยี่ยมมาก”อีกคนหนึ่งพูดตอบอย่างตื่นเต้น

ผมอึ้งกิมกี่แล้วหันไปสนใจที่ภาพโฮโลแกรมต่อ เสียงเชียร์อาร์ที820 ของผู้ชมยังดังกระหึ่ม พี่เลี้ยงพยุงนักชกต่างดาวลงจากเวที ขณะที่พิธีกรขึ้นเวทีไปสัมภาษณ์

“สมรรถนะคุณดีเยี่ยมจริงๆ แต่ผมและผู้ชมทุกคนอยากรู้จะแย่แล้วว่า ทำไมตอนสุดท้าย คุณถึงไม่ชกหมัดออกไป”

อาร์ที820ถอดนวมอย่างรวดเร็ว รับไมโครโฟนไปถือแล้วตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า

“วินาทีนั้นสมองกลส่วนหนึ่งของผมประมวลผลออกมาว่าเขาเป็นมนุษย์ ผมตระหนักถึงกฎสามข้อของหุ่นยนต์ จึงไม่ชกหมัดสุดท้ายออกไป”

ผู้ชมทั้งฮอลล์เงียบกริบ ริมฝีปากและคิ้วของพิธีกรกระตุก ก่อนที่จะหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วพูดออกมา

“ขอเสียงปรบมือให้กับอาร์ที 820 อีกครั้งครับ”

เสียงปรบมือดังกระหึ่ม เสียงโห่ร้องอย่างยินดีดังสนั่น เจ้าหน้าที่ที่นั่งทางซ้ายมือของผมลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับผมว่า

“หมดเวลาแล้วครับ”

ทั้งสามคนค่อยๆควบคุมตัวผมพาเดินออกจากห้อง ผมเหลียวไปดูภาพโฮโลแกรมเป็นครั้งสุดท้าย ภาพตัดไปที่นักชกมนุษย์ต่างดาวและพี่เลี้ยงที่กำลังจะเดินออกจากฮอลล์

“และขอเสียงปรบมือให้กับ นักชกชาวดาวเคาะด้วยครับ”

จากเสียงปรบมือเกรียวกราวก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงเปาะแปะ เจ้าหน้าที่ที่เดินรั้งท้ายพูดออกมาว่า

“สุดท้ายชาวดาวเคาะก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตไร้ที่อยู่”

“ใครบอก” ผมหันหลังกลับไปเถียงเขา “พวกเขาอยู่ในใจผมเรียบร้อยแล้ว และผมก็รู้ว่าคนอย่างพวกคุณไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่ผมพูดหรอก”

แล้วผมก็ถูกนำตัวออกจากห้อง พร้อมๆกับนักชกต่างดาวที่ถูกพยุงออกจากฮอลล์ไป

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

เสือและป่าคอนกรีต




เขากำลังจ้องตาเสืออยู่ เสือโคร่งลำตัวหนาใหญ่ลายพาดกลอน ตาดำของมันหดเล็กลงจนเกือบจะเป็นเส้น เหมือนในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดทำให้มันสะทกสะท้านได้ อาวุธที่เขาใช้ต่อกรกับมันก็คือดวงตาแห่งความเมตตา เปล่งประกายแห่งความเสียสละ หยั่งลึกเข้าไปในความรู้สึกของเจ้าเสือโคร่ง เขาพลันเข้าใจว่าเสือตัวนี้น่าสงสารเพียงไร มันเบียดเบียนสัตว์อื่นเพราะตามธรรมชาติของมันไม่สามารถกินพืชเป็นอาหารได้ เขายื่นแขนไปหามัน เป็นการสื่อว่า เขายอมสละร่างกายตัวเองเพื่อความสันติ ยอมให้เสือกินจนอิ่มเพื่อที่เสือจะได้ไม่ไปเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นต่อ ตาดำที่หดเล็กเป็นเส้นของเสือโคร่งพลันขยายกว้างขึ้น ประกายตาสุกใสหลั่งน้ำตา มันเลียมือเขาตอบเป็นการสื่อว่า มันเข้าใจและจะดำเนินตามเจตนารมณ์ของเขา ทั้งคนและเสือสวมกอดกันก่อนจากกัน ทั้งคู่เดินสวนกันไปคนละทิศ เสือโคร่งหยุดฝีเท้าแล้วก้มลงเล็มกินหญ้าใต้ต้นไม้ เขาแอบเอาใจช่วยให้เสือตัวนี้เปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติได้สำเร็จ
สิบกว่าปีแล้วที่เขาพเนจรไปทั่วพนาป่าเขา ชีวิตเขาเริ่มต้นที่วัดป่าเล็กๆ มารดาผู้ไม่ประสงค์ออกนามนำทารกน้อยมาฝากฝังกับเจ้าอาวาส เขาได้รับการอบรมจากท่านเจ้าอาวาสอย่างใกล้ชิดในฐานะศิษย์ฆาราวาส บำเพ็ญตบะจนแก่กล้าตั้งแต่อายุยังน้อย จนกระทั่งถึงวัยหนุ่มฉกรรจ์ เขาคิดว่าไม่ถูกต้องหากจะเก็บตัวอยู่ในวัดแล้วช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นแต่เพียงคนเดียว เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางไปโปรดสัตว์
จักจั่นเรไรประสานเสียงเป็นบทเพลงเตือนใจถึงความน่ากลัวที่รออยู่เบื้องหน้า เขาตระหนักได้ว่าผืนป่าคงสิ้นสุดข้างหน้าไม่ไกลนี้ ก่อนจะพ้นจากป่า เขาก็พบกับสองลิงแม่ลูกอ่อน แม่ลิงร้องบอกเขาว่าอย่าไปต่อเลย แต่ความหวังดีของแม่ลิงนั้นถูกรับไว้ด้วยใจ เขาพยักหน้าขอบคุณแล้วเดินต่อ แม่ลิงส่ายหน้าอย่างผิดหวังก่อยจะกระโจนโหนต้นไม่พร้อมกับลูกน้อยเกาะบนบ่า
ผืนป่าสิ้นสุดลงที่ริมเขา มองลงไปเบื้องล่างคือป่าคอนกรีต แม้จะยืนมองอยู่ห่างๆแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความวุ่นวาย หนทางไม่น่าไปต่อแต่เขาต้องไป ความยากลำบากมีไว้เผชิญหน้าไม่ใช่ไว้หนี ถึงเวลาที่เขาจะต้องไปโปรดเพื่อนมนุษย์แล้ว
เขาไม่สามารถเปิดประตูหัวใจใครได้หากไม่ได้สบตา ในป่าคอนกรีตแห่งนี้ ทุกคนดูเหมือนหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องของตัวเอง ก้าวเท้าเดินฉับๆในขณะที่ใจครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น เขาเห็นคนจำพวกหนึ่งดิ้นรนเพื่อความสบาย อีกจำพวกหนึ่งดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด แต่ละคนไม่มีเวลาใส่ใจคนอื่น บางครั้งเขาก็เห็นรอยยิ้มที่แห้งแล้ง การสัญจรบนถนนสร้างความสับสนให้แก่เขาไม่น้อย เขายืนกะจังหวะอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจเดินพรวดพราดข้ามไป เสียงล้อบดถนนกับเสียงแตรดังลั่น รถเก๋งคันหนึ่งไถลล้อเป็นรอยยางมาหยุดอยู่แทบเบื้องหน้าเขา คนขับชะโงกหน้าออกมาชูกำปั้นด่า
“ช้ามถนนหัดดูตาม้าตาเรือซะมั่งสิวะ ชนมึงตายเดี๋ยวกูก็ติดคุกอีก”
เขาตระหนักว่าตนไปขวางทางสัญจรของคนผู้นี้ จึงส่งจิตผ่านสายตาไปขอโทษและปลอบโยนหัวใจของคนขับ คนขับรถบีบแตรใส่อีกครั้ง
“มายืนทำหน้าแอ๊บแบ๊วขวางทางรถทำไมอีกวะ หลีกทางสิโว้ย!!”
เขาเดินข้ามถนนต่ออย่างงกๆเงิ่นๆ กว่าจะข้ามได้ก็โดนรถคันอื่นบีบแตรไล่อีกสองครั้ง ผู้คนละแวกนั้นหันมามองอย่างดูถูกแวบหนึ่ง เขายิ้มปลอบใจตัวเอง ตอนเข้าป่าใหม่ๆเขาก็เคยได้รับการต้อนรับที่ไม่ดีเท่าใดนัก โดยเฉพาะสัตว์ดุร้ายจำพวก งู จระเข้ หรือเสือ เขาคิดว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะป่ายังไม่รู้จักเขาและยังไม่รู้จักกับจิตใจที่เผื่อแผ่ ป่าคอนกรีตแห่งนี้ก็คงเช่นเดียวกัน
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขารู้สึกกระหายและเมื่อยล้า ความท้อที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจปรากฏออกมาให้เห็นชัดขึ้น ป่าคอนกรีตผิดกับป่าทั่วไปที่เขาเคยเจอ ในป่า ต้นไม้ทุกต้นสามารถสื่อสารกับเขาได้ เขามักจะขออนุญาติและขอบคุณเสมอทุกครั้งที่เด็ดผลของพวกมันกิน ต้นไม้เองก็ไม่ว่าอะไร ออกจะดีใจที่ตนมีส่วนช่วยในการหล่อเลี้ยงชีวิตผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ เขาตอบแทนมันด้วยการช่วยพวกมันขยายพันธุ์เท่าที่จะทำได้ แต่ในป่าคอนกรีตแห่งนี้ เขาไม่สามารถสื่อสารกับต้นคอนกรีตต้นไหนได้เลย
เขาเดินผ่านร้านขายผลไม้ หยุดมองดูแผงผลแอ๊ปเปิ้ลสีแดงสดฉ่ำน้ำ เขาเห็นว่าผลแอ๊ปเปิ้ลเหล่านี้ไม่ได้อยู่ติดกับขั้วต้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใครจึงหยิบลูกหนึ่งขึ้นมากัดกินประทังความหิวกระหาย พ่อค้าสวมเอี๊ยมมีกระเป๋าด้านหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา พร้อมกับส่งยิ้มให้ ถึงเขาจะสัมผัสถึงไมตรีไม่ค่อยจะได้แต่เขาก็ยิ้มตอบอย่างจริงใจ เขาและพ่อค้าผู้นี้ล้วนเป็นเพื่อนร่วมโลก มนุษย์ทุกคนในโลกก็เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ๆครอบครัวหนึ่ง เขาเดินต่อไปพร้อมกับผลแอ๊ปเปิ้ลในมือ
“อ้าวเฮ้ย! จกกินไม่จ่ายตังค์ แล้วจะเดินจากไปอย่างหน้าด้านๆอย่างนี้เนี่ยนะ กลับมาก่อนนะเว้ยเฮ้ย!!”
เขาถูกพ่อค้าตามไปฉุดลากตัวกลับมา
“จ่ายเงินมา!”
เขาแบมือทั้งสองข้างออก เขาไม่เข้าใจ
“แล้วจะชดใช้ยังไง!”
เขายักไหล่ ถูกพ่อค้าทุบตีไปเสียหลายตุ้บ แต่สักพักก็เลิกราไปเพราะเห็นว่าไม่คุ้มที่จะเอาเรื่องกับแอ๊ปเปิ้ลเพียงผลเดียว พ่อค้าหันไปสนใจแผงแทน เขาเดินต่อ เป้าหมายเริ่มเลือนรางลงเรื่อยๆ ตกเย็นแล้วแทบไม่มีอะไรตกถึงท้อง เขาเดินมาจนถึงตลาด ของกินวางอยู่บนแผงเรียงรายเกลื่อนกลาด แต่เขาตระหนักว่าของถูกอย่างล้วนถูกคนอ้างเป็นเจ้าของแล้ว เขาเห็นการใช้แผ่นกระดาษและโลหะกลมๆแลกเปลี่ยนกับของเหล่านั้น จากการฟังหลายๆคนพูดกัน จึงทำให้เขาเริ่มรู้ว่า สิ่งที่ใช้แลกอาหารเหล่านี้เรียกว่า เงิน แต่เขายังไม่รู้ว่าจะหาได้จากที่ไหน
เขาเดินผ่านตลาด ขึ้นสะพานลอยไป บนสะพานนั้นเขาได้พบชาบยคนหนึ่งเนื้อตัวสกปรกแต่งตัวซอมซ่อ นอนคว่ำคู้ตัวอยู่ ใต้แขนเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาลคราบดำเขรอะนั้นไร้ท่อนแขนและท่อนขา ขันใส่เศษเงินบุบๆวางอยู่เบื้องหน้า เขารู้สึกเวทนาชายพิการผู้นี้ มองเศษเงินในขันพลันคิดได้ว่า เศษเงินเหล่านี้นำไปแลกอาหารได้ ด้วยความหวังดีต่อชายพิการเขาจึงเดินเข้าไปหยิบเศษเงินในขัน ตั้งใจจะเอาไปซื้ออาหารมาให้
“ไอ้ห้าร้อย!” ขอทานพิการพลันโผล่แขนออกมาจากแขนเสื้อขึ้นมาตบใส่ เขาตกใจหงายหลังก้นจ้ำเบ้าหลบฝ่ามือนั้นได้ทันพอดี ขอทานโผล่ขาออกมายืนขึ้นจะเตะซ้ำ เขารีบผุดลุกขึ้นวิ่งหนีลงบันไดไป
“ไอ้โง่เอ๊ย! ไม่รู้ซะแล้วว่ามาแหยมกับใคร ถุย!”
ขอทานเห็นว่าถ้าวิ่งตามไปจะเสียภาพพจน์คนพิการจึงนอนคว่ำลงซ่อนแขนขาของตัวเองตามเดิม
ชายหนุ่มวิ่งหนีความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ มันกะทันหันเกินกว่าที่เขาจะรับได้ทัน เขาวิ่งไปหยุดริมสี่แยกแห่งหนึ่ง แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว แสงสีพร่าพรายตาเข้ามาแทนที่ เขารู้ตัวแล้วว่ายังไม่พร้อมสำหรับป่าคอนกรีตแห่งนี้ เขาต้องการจะกลับเข้าป่า แต่หันซ้ายหันขวาไม่รู้ทางไหนเป็นทางไหน เขาเริ่มรู้สึกกลัวและโดดเดี่ยว เขาอยากร้องไห้
สามวันต่อมา
ใต้สะพานลอย เขานอนคู้ตัวซ่อนแขนซ่อนขาเอาไว้ ขันทองเหลืองบุบๆใบหนึ่งวางไว้เบื้องหน้า
“ตำรวจมา ตำรวจมา!”
พวกตั้งแผงลอยริมถนนตะโกนบอกต่อกันพลางหอบโกยข้าวของเผ่นหนี เขาโผล่แขนออกมาคว้ากระชับขันทองเหลืองไว้กับอก สองขาโผล่ออกมาลุกยืนแล้ววิ่งจ้ำอ้าว ตำรวจคนหนึ่งวิ่งไล่กวดตามเขามา ด้วยแรงขับดันของสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เขาวิ่งทิ้งห่างตำรวจคนนั้นออกไปเรื่อยๆ
“หยุดให้จับซะดีๆ!”
“ตามจับกูไม่ทันหรอก!”เขาตะโกนตอบอย่างเยาะหยัน
ในที่สุดตำรวจก็วิ่งตามเขาไม่ทัน และเขาเองก็ตามตัวเองไม่ทันแล้วเช่นกัน