วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

โอ้ ความเบื่อ




ผมมีความเห็นว่า “ความเบื่อ” เป็นแรงผลักดันให้เกิดการทำกิจกรรมมากมาย เป็นแรงผลักดันในเชิงลบ ผู้คนส่วนใหญ่ดิ้นรนเพื่อจะหลุดพ้นจากอิทธิพลของมัน
ขอระบายหน่อยครับ วันนี้เรียนภาษาอังกฤษที่ AUA อาจารย์บ่าก้วยก๋า(แปลว่าฝรั่ง) เขาให้จับคู่กับผู้หญิงในชั้น จำลองสถานการณ์ว่าอยู่ในผับโดยการเปิดเพลงดังๆ แล้วให้เราพยายามพูดทำความรู้จักกับฝ่ายตรงข้าม
ประโยคหนึ่งจากคู่ของผมที่โดนใจผมมากก็คือ do you think it’s boring อื้อหือ.. จี๊ดโดนใจจนหน้าชา สมองมึนตึ้บไปชั่วขณะทีเดียวเชียวครับ ผู้อ่านที่เป็นวัยรุ่นชายราวๆมัธยมปลายน่าจะเข้าใจความรู้สึกของผมดีครับ เรื่องแบบนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีตามธรรมชาติของวัยรุ่นชายเลยนะครับ
โดยส่วนใหญ่ที่ผมสังเกตเห็นและตัวผมเอง วัยรุ่นให้ความสำคัญของหน้าตาตนเองในสังคมค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่จะเป็นสังคมประเภทเพื่อน ยกตัวอย่างเช่น การตามแฟชั่น การใช้คำหยาบเป็นหางเสียง(เห้! เยะเข้!) วัยรุ่นก็ต้องการเกียรติในหมู่วัยรุ่นด้วยกัน คงไม่มีใครชอบหากถูกตราหน้าว่าเป็นคน น่าเบื่อ
ผมก็รู้ตัวว่าผมบ่อมีไก๊เรื่องพวกนี้ ผมก็พยายามเต็มทีแล้วมันก็ได้แค่นี้แหละครับ แต่ผมคิดว่าตัวเองพอจะมีไก๊เรื่องบ่นเป็นตัวอักษร เลยเลือกที่จะมาระบายความรู้สึกในบล็อกสะเลย
ผมพยายามคิดให้มีสาระด้วยนะครับ ผมคิดว่า “ความเบื่อ” ก็เป็นรูปแบบของความทุกข์อย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากความเจ็บปวด ขออนุญาตเรียกว่า ความเบื่อ ก็เป็นวิภาวะตัณหา(สิ่งที่ไม่ให้อยากเกิด ธรรมมะธรรมโมนิดหน่อยอย่าเพิ่งหลับนะครับพี่น้อง!!)เช่นเดียวกับความเจ็บปวด
แต่สังคมเราให้ความสำคัญของความทุกข์สองอย่างนี้ไม่เท่ากันครับ ความเจ็บปวด ยิ่งผู้ใดแบกรับมากก็ดูเหมือนยิ่งได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ อย่างเช่น พระเยซูไถ่บาปให้มนุษย์ ส่วน ความเบื่อนี่ ยิ่งใครแบกรับมันมากก็ยิ่งได้รับการดูถูกนะครับผมว่า และดูเหมือนทุกคนที่แบกรับก็ไม่มีใครตั้งใจจะแบกรับมันสักคน
พระอาจารย์เคยบอกไว้ว่า อยากจะพ้นทุกข์ก็ต้องเรียนรู้จากความทุกข์ ความเบื่อก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เช่นกัน
ผมคิดว่าคนสมัยใหม่ที่ทำอะไรห่ามๆและดูถูกคนน่าเบื่อ ผมว่าลึกๆเขาก็กำลังกลัว “ความเบื่อ” และต้องทำอะไรสักอย่างเพื่ออยู่ห่างจากมันมากที่สุด
แต่หนีต่อไป จนแล้วจนรอดมันก็คงตามทันในที่สุด มีใครบางคนที่มีความรู้เคยบอกไว้ว่า จงเผชิญหน้ากับความทุกข์ด้วยการเรียนรู้มัน
เช่นนั้นแทนที่เราจะเอาแต่ดิ้นรนหนีความเบื่อ พวกเรามาหัดเรียนรู้มันบ้างดีกว่าครับ และโปรดให้โอกาสคนน่าเบื่อด้วย(ขอร้องล่ะครับ โฮๆๆ)
ผมก็ดีแต่พูดแสดงความคิดเห็นไปอย่างนั้นแหละครับ ตัวเองยังไม่ค่อยจะรอดเลย ใครมีความคิดเห็นอะไร ก็ลองแสดงกันได้นะครับ ดีไม่ดีว่ากันอีกทีครับ
ปล.บทความนี้เขียนคู่กับเรื่องสั้น “เดี๋ยวก็ชิน”ครับ มือผมยังไม่ถึง กลัวว่าผู้อ่านอ่านแล้วจะไม่เข้าใจว่าเรื่องสั้นต้องการสื่อถึงอะไร(หลักๆ) ขอบคุณที่อ่านนะครับ

เดี๋ยวก็ชิน

เดี๋ยวก็ชิน
ฉันโล่งใจเมื่อรวบรวมความกล้าประกาศตัวเองให้เป็นอิสระจากความแห้งเหี่ยว ณ ร้านอาหารตามสั่งร้านเดิม ที่นั่งประจำที่เดียวกันกับเมื่อสามเดือนก่อน ฉันคิดว่าเป็นการกระทำที่สมควรแล้ว ทุกคนมีอิสระเป็นของตัวเอง ฉันเลือกที่จะไม่จมปลักกับชายที่กำลังซบหน้าลงกับฝ่ามือร้องไห้คนนี้ ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาการใช้ชีวิตร่วมกับเขาช่างซังกระตาย กิจวัตรประจำวันซ้ำๆซาก กลางวันไปทำงาน กลับมาก็หมกตัวอยู่แต่ในอพาร์ตเม้นท์ ฉันเบื่อที่จะเห็นเสื้อเชิร์ตขาวกางเกงสแล็คที่เขาใส่ได้ทุกวี่ทุกวัน เบื่อร้านอาหารร้านนี้ที่พามาทุกครั้งเมื่อต้องการเอาใจฉัน
“คุณว่าดีแล้วเหรอที่เราจะแยกทางกันอย่างนี้”
“ฉันมีทางเดินของฉัน”
“ขอโอกาสผมปรับปรุงตัวหน่อยได้มั้ย”
“คุณดีเกินไปสำหรับฉัน”
“ถ้าคุณต้องการเช่นนั้นก็แล้วแต่คุณ ผมไม่มีสิทธิไปห้าม แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ผมก็ยินดีต้อนรับคุณกลับมาเสมอ”เขากางแขนออกทำท่าเหมือนจะโอบกอด
“คุณดีเกินไปจริงๆ”
ฉันชักขยาดผู้ชายประเภทมนุษย์เงินเดือนเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ฉันตัดสินใจคบเขา ก็เพราะเห็นว่าฐานะมั่นคงและเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ ในตอนแรกฉันอาจจะรักเขาจริงๆก็ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคงเส้นคงวาจนเกินเหตุ และวิถีชีวิตที่เป็นรูปแบบของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกจองจำไปด้วย มันทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนๆของฉัน สมัยที่คบกันเราสนุกสุดเหวี่ยง ซ้อนมอเตอร์ไซต์ตระเวนราตรี ปลดปล่อยอารมณ์ตามสถานเริงรมย์ เราในฐานะผู้ใช้ชีวิตมีหน้าที่แสวงหาความสุข แล้วจะไปทนกับความเบื่อที่ไร้สาระเหล่านั้นทำไม
ฉันได้มาสนุกกับเพื่อนๆอีกครั้ง ฉลองวันปลดปล่อยพันธะทางหัวใจให้กับตัวเอง ทั้งๆที่จากกันตั้งนานน่าจะมีเรื่องอยากเมาท์กันให้แซ่ด แต่ทำไมฉันถึงคุยกับเพื่อนไม่ค่อยติดก็ไม่รู้ แสงสีวูบวาบท่ามกลางความมืดและความเบียดเสียด ชายหนุ่มรูปลักษณ์โดดเด่นคนหนึ่งเดินฝ่าฝูงชนมาจากโต๊ะอีกฟากหนึ่ง เรือนร่างของเขากระตุ้นความเร่าร้อนของฉันทันทีที่เห็น อีกทั้งใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนเสือขี้เล่นนั้นอีกเล่า
“เต้นกับผมไหมครับ”
ฉันเล่นตัวเล็กน้อยก่อนจะตกลงให้เขาจูงมือเดินไปที่ฟลอร์ ฉันสวมเดรสสีแดงรัดรูปมาวันนี้ก็เพราะกะจะแผลงฤทธิ์อยู่แล้ว ทว่าสามเดือนที่ฉันจมปลักกับความแห้งเหี่ยว เหมือนกับว่าฉันถูกสูบความสุนทรีย์ออกไปจากหัวใจจนเกือบหมด เขาเต้นกับฉันสักครู่หนึ่งก็ยิ้มแห้งๆ กล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปหาเหยื่อรายใหม่ ฉันรู้สึกหน้าชาแต่ก็พยายามมองโลกในแง่ดีปลอบใจตัวเอง กลับไปนั่งโต๊ะกับเพื่อนๆ เพื่อนๆไม่ได้พูดถึงฉัน และทำเป็นไม่ได้สนใจฉัน วิจารณ์ผู้ชายคนนู้นทีคนนี้ทีแล้วก็หัวเราะกระซี้กระซิก ฉันก็พยายามกู้ความมั่นใจของตัวเองกลับมาด้วยการยิ้มและหัวเราะฝืนๆผสมโรงกับเพื่อน เมื่อก่อนฉันเปรียบเสมือนดาวเด่นของกลุ่ม แต่วันนี้กลับมากลายเป็นตัวประกอบไปเสียได้ ฉันพยายามยิ้มกับตัวเองและไม่คิดมากกับมัน แต่มันก็เป็นแค่การหลอกตัวเองทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ
ก่อนจะกลับฉันเห็นหนุ่มคนที่เต้นกับฉัน โอบเอวเพื่อนของฉันคนหนึ่งพากันเดินออกจากผับ เพื่อนฉันคนอื่นๆก็หัวเราะต่อกระซิกซุบซิบกันว่า พาไปต่อที่อื่นแหงๆ ไม่มีใครสนใจฉัน ฉันล่ำลากับเพื่อนอยากลวกๆตามประสาคนรู้จักก่อนจะกลับออกมา ฉันว่าอากาศหนาวเกินกว่าจะโชว์ไหล่เปลือยเปล่า หรือต้นขาขาวๆ ตอนนี้ฉันไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาทักหรือทำความรู้จักเพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายพอใจได้หรือไม่ ฉันเข้าห้องน้ำและเปลี่ยนจากเดรสสีแดงเป็นชุดลำลองธรรมดา
ฉันกลับไปยังอพาร์ตเม้นท์ ที่ๆฉันจมปลักกับความแห้งเหี่ยวอยู่กว่าสามเดือน ประตูยังเปิดอ้าค้างไว้ และเขาก็ยืนรออยู่ เขาส่งยิ้มให้ กางแขนออกทำท่าเหมือนจะโอบกอด เหมือนประตูขุมนรกที่นำไปสู่ความเบื่อหน่ายซังกะตาย ฉันเข้าประตูไปซุกกายอยู่กับอ้อมอกมัจจุราช ประตูนรกปิดเข้าหากันกระชับแผ่นหลังของฉันไว้
“ไม่ว่าจะกี่ครั้งๆ ผมก็มั่นใจว่าคุณจะกลับมาหาผมเสมอ”
เพระเหตุนี้ล่ะมั้งเขาถึงเปิดประตูไว้และยืนรออยู่ ฉันพริ้มตาสัมผัสมือกับแผ่นหลังของเขา นรกขุมนี้ยังถือว่าอบอุ่นเมื่อเทียบกับขุมอื่นๆข้างนอกนั่น …..อยู่ๆไปเดี๋ยวก็ชินเอง

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

เด่นด้วยดี มีบ้างไหม

คุณเคยอยากเป็นที่สนใจของคนอื่น หรืออยากให้ใครคนหนึ่งสนใจไหมครับ
ใครคนหนึ่งในที่นี้หมายถึงใครคนที่เราประทับใจ อาจจะเป็นผู้หญิงที่เราแอบชอบ หรืออาจจะเป็นคนอื่นที่เราอยากให้เขาเห็นความสำคัญของเรา
ใครคนหนึ่งที่ว่านี้คงจะมีอะไรบางอย่างโดนใจเราเป็นพิเศษ เช่น ท่าทีสบายๆ หน้าตาดี มีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษ หรือบางครั้งอาจจะถูกชะตาอย่างหาเหตุผลไม่เจอ
เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนี้ สำหรับผมแล้ว ความรู้สึกที่ตามมาก็คืออยากโชว์ความเก่งที่ตัวเองมีออกไปให้เขาเห็น
ยกตัวอย่างเช่น รุ่นน้องคนหนึ่งกำลังเล่นบาส พอรุ่นพี่ที่เป็นฮีโร่ในดวงใจผ่านมาดู ก็เกิดความรู้สึกอยากแย่งลูกจากเพื่อนมาโชว์ท่าเลย์อัพสวยๆ
ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ เพราะผมเป็นออกบ่อย เท่าที่ผมสังเกตจากตัวผมเอง ผมแบ่งความรู้สึกแบบนี้ได้เป็น 2 แบบ
1.ต้องทำอะไร เจ๋งๆเด่นๆ ให้เธอหรือเขาร้องว้าวในใจ
2.อย่าทำพลาด อย่าทำงึกๆงักๆต่อหน้าเธอหรือเขาเชียวนะ
สำหรับข้อ 2 นั้นผมเป็นบ่อยมากครับ ยิ่งตอกย้ำเท่าไหร่ก็ยิ่งพลาด ยิ่งเกร็งจนแสดงความทุเรศออกไป ผมเป็นบ่อยจนเริ่มเข้าใจกลไกของมัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทำอะไรกับความรู้สึกนี้ไม่ได้ ทุกข์ใจมาจนถึงทุกวันนี้
มาที่ข้อ 1 ซึ่งผมจะขอเน้นที่ข้อนี้นะครับ ขออนุญาตยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริงของผมแล้วกันครับ ในชั้นเรียนผมไปสนใจเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเข้า(ไม่ถึงขั้นปิ๊งหรอกครับ) ผมก็พยายามแสดง(อวด)ความฉลาดโดยการตอบคำถามครู ทำตัวเองให้ร่าเริงในสายตาคนอื่น สายตาผมก็คอยชายดูเธอว่าเธอสนใจเราบ้างไหม แต่เปล่าเลยครับ ทีแรกที่ผมยังทำตัวปรกติธรรมดา ผมยังแอบเห็นว่าเธอสนใจผมบ้าง(แค่สนใจอ่ะนะครับ) มากกว่าในตอนนี้เสียอีก
อย่าเพิ่งส่ายหน้าแล้วกดปิดหน้าต่างไปเสียล่ะครับ ผมคิดว่าเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้อาจจะยังเกิดขึ้นกับอีกหลายคน แม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
หลังจากที่รู้ว่าเธอไม่ได้สนใจอะไรผม ผมก็มาถามตัวเองว่าเรายังไม่ดีที่ตรงไหน คำตอบที่ได้เป็นการถามตัวเองกลับครับ นั่นคือ… คุณเป็นคนดีแล้วหรือยัง คนดีในความเห็นของผมคือคนที่ทำสิ่งดีๆเป็นส่วนใหญ่
การแสดงความฉลาดให้คนอื่นเห็นเพื่อยกยอตัวเองเป็นสิ่งดีไหม ผมว่าไม่นะครับ การทำตัวร่าเริงเพื่อให้เป็นที่ชื่นชมในสายตาคนอื่น ถือเป็นความดีไหม ผมก็ว่าไม่เช่นกันนะครับ ผมว่าบ่อยครั้งมนุษย์จะมีเซ็นส์ในการแยกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มว่า มาจากความจริงใจหรือไม่ รอยยิ้มที่เผื่อแผ่ความปรารถนาดีกับรอยยิ้มที่มุ่งบำรุงหน้ากากตัวเอง ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนก็คงแยกออกได้ด้วยเซ้นส์เช่นกันครับ (เรื่องแบบนี้ เด็กจะมีsenseที่เร็วมาก)
ผมนึกย้อนดูตัวเองว่าช่วงนี้ได้ทำความดีอะไรบ้าง เท่าที่นึกได้นั้นไม่มีเลย และพอคิดว่าเดี๋ยวจะทำความดีอะไรได้บ้าง ช่วงหนึ่งนาทีนั้นผมคิดไม่ออก ให้ดิ้นตายเถอะครับ! และนาทีต่อมาผมค่อยคิดได้ว่า เก็บขยะ โอ้ว! พระเจ้าช่วยมันกล้วยมาก การคิดเรื่องดีๆผมกลับด้อยกว่าเด็กอนุบาลบางคนเสียอย่างนั้น
ผมคิดว่าการใส่ใจกับบางสิ่งมากเกินไปจะทำให้เผลอละเลยบางสิ่งไปโดยไม่รู้ตัวนะครับ เช่น วัยรุ่นที่ลุ่มหลงในความรักจนลืมเลือนพระคุณของพ่อแม่ การที่คนเรามุ่งมั่นแต่จะทำให้ตนเองเก่งก็อาจจะทำให้ความคิดที่จะทำดี เลือนหายไป
ผมแอบไม่สนับสนุนถ้อยคำที่ว่า ให้ตัวเองเก่งก่อนแล้วค่อยทำความดี ครับ เพราะเมื่อเราเก่งจนถึงขั้นนั้นที่เราคิดว่าพอใจ ความคิดที่อยากจะทำดีก็อาจจะเลือนหาย มองไม่เห็นคุณค่าของการทำดีอีกต่อไป ถ้าจะเริ่มก็ต้องมาเริ่มใหม่อย่างเช่น คิดเก็บขยะ แต่งานเก็บขยะก็เป็นงานที่ดีและทำได้ง่ายนะครับ ผมคิดว่าจิตคิดดีก็ต้องได้รับการปลูกฝังไม่ต่างจากการฝึกฝนถึงจะมีได้ ถ้าไม่หมั่นรดน้ำก็จะเฉาตาย วัชพืชต่างๆก็จะขึ้นมาแทนที่
ผมว่าทางที่ดีควรจะพัฒนาความสามารถควบคู่ไปกับการทำความดี เท่าที่สมรรถภาพของเราจะเอื้ออำนวย(การเบียดเบือนตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องดีนะครับ หุๆ) และเมื่อถึงวันที่เราเก่งสมใจ เมื่อนั้นเราก็พร้อมที่จะนำความเก่งของเราไปทำเรื่องดีๆที่ยิ่งใหญ่ได้ในทันที
นี่เป็นแค่การแสดงความคิดเห็นส่วนตัวครับผม ไม่ได้ตั้งใจยัดเยียดความคิดอะไรใส่หัวผู้อ่านหรอกครับ ใครเห็นอย่างไรก็ลองแสดงความคิดเห็นก็ได้นะครับ ที่ผมเขียนบทความ(เรียกว่าบทความได้ไหมนี่)ชิ้นนี้ก็เพราะอยากทำอะไรดีๆบ้าง ตอนนี้ผมคิดได้แค่นี้ล่ะครับ หวังว่านอกจากจะจับผิดผมเพื่อความสะใจ ผู้อ่านทุกท่านจะเกิดแรงจูงใจอยากทำความดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย ผมมีคำกล่าวอยู่ท่านหนึ่ง จำไม่ได้ว่าปราชญ์ท่านใดเป็นคนกล่าว แต่ประทับใจผมมาก
“ถ้าเราเปิดใจ แม้แต่เด็กทารกก็สอนเราได้”
ขอบคุณที่อ่านนะครับ