วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปรัชญาจากการปวดอึ



อึที่ใดก็ไม่สุขใจเท่าอึที่บ้าน นี่คงเป็นปรัชญาประจำใจของนักเรียนกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย
ผมอายุ 18 เรียนจบมัธยมปลายแล้ว ก็หนีไม่พ้นสัจธรรมข้อนี้เหมือนกัน
วันนี้วันแรกที่ผมได้ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่โรงเรียนAUA ตามคำสั่งของแม่
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่มีอะไรมาก เรื่องของเรื่องคือผมปวดอึครับ
หลายคนคงเป็นเหมือนผม ถ้าไม่จำเป็น ถ้าข้าศึกไม่รุกโรมโหมหนักจริงๆ ก็เก็บไว้ไปปลดปล่อยที่บ้านดีกว่า
แต่วันนี้ผมตัดสินใจ ที่จะไม่ตกเป็นทาสสายตาคนอื่นๆอีกต่อไป
การตัดสินที่ยิ่งใหญ่ ของผู้กล้าวัยรุ่นหน้าใส เขา(ผม)ตัดสินใจอึที่ห้องน้ำของAUAครับ
ไอ้ตอนแรกที่ปวดมากๆ พอประทับพระบัลลังค์cotto ความปวดกับปลาสนาการสิ้น
เกือบจะล้มเลิกความตั้งใจ ทำท่าจะถกกางเกงขึ้น แต่แล้วก็ตัดสินใจ.... เอาวะให้มันถึงที่สุด
หลังจากนั้น ก็ตามมาด้วยเสียง ......(อ้ะ โดนเซ็นเซอร์)
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมฉุกคิดถึง เอ่อ..ข้อคิดเชิงปรัชญาบางข้อ
"บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง"
เคยไหมครับ เดินเข้าไปในร้านขนม เสียงในหัวบอกอย่างแผ่วๆว่า "อยากหนมๆ" ตัดสินใจเลือกไว้ว่ายี่ห้อนี้ซองนี้น่าจะอร่อย
แต่พอกินไปครึ่งเดียว รู้สึกว่าคราวนี้ไม่อร่อย แต่ก็ฝืนกินให้หมด เพราะใจเคยกำหนดไว้ว่ายี่ห้อนี้อร่อย ไม่อยากทรยศคำสั่งที่ใจสั่งมา
ผมว่าข้อคิดนี้เอาไปใช้กับเรื่อง ความใฝ่ฝันได้นะครับ
บางครั้งเราเคยอยากจะทำหรืออยากจะเป็นอะไร แต่สุดท้ายเอาเข้าจริงๆก็ไม่ใช่สิ่งที่เราฝัน
แต่ผมคิดว่าชีวิตที่ล้มเหลวไม่ใช่ชีวิตที่เข้าไปนั่งส้วมแล้วค่อยรู้ว่าไม่ปวด แต่เป็นชีวิตที่ปล่อยไว้จนสุดท้ายมันอั้นไม่ไหว
แต่ความฝันที่เราท้อแท้ที่จะสานต่อมันและคิดว่าไม่ใช่ ถ้าเราสานต่อไปอีกสักนิด อาจจะพบว่าที่สุดของที่แท้มันกลับใช่
ดังเช่นผมที่ตัดสินใจนั่งต่อไป และก็ได้พบกับความสะดวกโล่งสบาย มั่นใจทุกอิริยาบถ

เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ

นกกงหัวจุก บนสายไฟ กลางสายลม


ใบไม้เรียงรายใต้ร่มหลังคากันสาด
สายไฟขึงผ่านระหว่างใบไม้และหลังคา
ซ่อนตัวจากแสงแดดยามเย็น

ฝนทำท่าจะตกแต่ไม่ตก
กลั่นตัวเป็นแรงลมกรรโชกผ่าน
กลับกลิ่นอายชื้นๆหนักหนืดในช่องศีรษะ
รับรู้การมาเยือนของฤดูกาล ผ่านปลายจมูก

ใบไม้ระบัดพลิ้วเล่นลม
นกกงหัวจุกเกาะบนสายไฟอยู่เดียวดาย
ร้องจ้อกแจ้กไม่หยุด เอียงคอประกอบการสนทนา
ดวงตาแดงก่ำ ซาตานที่น่าเอ็นดู
มันคุยกับใครในเมื่อไม่ได้คุยกับข้าพเจ้า

สายลมหยุดกรรโชก ใบไม้ระบัดพลิ้วแผ่วจนหยุดในที่สุด
นกกงหัวจุกบินจากไป ผ่านแสงสีทองยามเย็น
อาบไล้ลำตัวขาวดำ ขนฟูฟ่อง ตาแดงก่ำ
ที่รองน้ำฝนหลังคาบ้านตรงข้าม นกเอี้ยงสองตัวหาอาหาร
นกกงหัวจุกหยุดเกาะระหว่างกลางสองนกเอี้ยง
ไม่มีเสียงสนทนาจากสามสกุณา ข้าพเจ้าจากไป

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

Jason mraz in paris




ริมแม่น้ำใจกลางเมืองปารีส

เจสันดีดกีต้าร์คลอขับกล่อม

ขับไล่ซึ่งความเหงาเศร้าตรมตรอม

ช่วยหล่อหลอมใจสลายเป็นใจเดียว





ทินกรฉายแสงอ่อนลงอาบไล้

สายน้ำไหลมิขาดสายหนุนเนื่องเกี่ยว

เรื่องเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ไม่ดายเดียว

ผู้คนเหลียวมองดูแล้วผ่านไป





บางคนนั่งขัดสมาธิตาจดจ้อง

ตั้งใจมองศิลปินผู้ยิ่งใหญ่

ผู้ไม่สนว่าตนได้อะไร

ขอแค่ให้โลกได้ฟังก็เพียงพอ





หนึ่งกีต้าร์หมวกปีกกว้างแว่นกันแดด

นับร้อยแปดก้าวเท้าตระเวนต่อ

ตระเวนไปทั่วตัวเมืองร้องเพลงคลอ

เสียงนุ่มๆไม่ต้องฟ้อพอใจตัว





ศิลปินที่แท้จริงมีที่ไหน

อยู่ที่ใดโลกสดใสไม่สลัว

ดุจแสงสวรรค์ฉายไล่ควันหมอกมืดมัว

วันที่ตัวกับหัวใจไม่ตรงกัน





เห็นเจสันสร้างสรรค่จรรโลงโลก

จึงเรียงคำร้อยประโยคเป็นกลอนสั้น

ไม่ยิ่งใหญ่จรรโลงใจเหมือนเจสัน

ก้าวเล็กๆก้าวสำคัญเริ่มที่ใจ



http://www.youtube.com/watch?v=RaL0NsgC9Fs คลิปจ้า

มาเบากบาลกับ idance กันดีก่า



หลังจากที่หลายวันนี้ผมเอาแต่ทำหน้าเครียด เบ่งสมอง เผื่อจะเป็นนักวิชาการกับเขาได้บ้าง ก็รู้ว่าเหนื่อยหัวและไม่เหมาะกับตัวเอง
การอยู่ในโลกนี้ ขนาด(สมอง)ไม่สำคัญครับ สำคัญที่ลีลาการตักตวงความสุข
ความสุขคือเป้าหมายหลักของมวลมนุษยชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ลึกระดับอภิปรัชญา ความง๊องแง๊งก็สร้างความสุขให้เราได้
ยิ่งเรียนสูง ยิ่งเจริญก้าวหน้า ก็เหมือนยิ่งอ้อมไกลกว่าจะถึงความสุข
ความง๊องแง๊งอาจจะเป็นแก่นสารของชีวิตก็ได้

วันนี้ผมรู้สึกว่าอยากทำอะไรสักอย่างนอกเหนือจากสิ่งที่หนักสมอง จู้ๆก็นึกอยากลองเต้น cover music video เกาหลีขึ้นมา
เสริชไปเสริชมาก็ไปเจอกับ idance เข้าครับ เป็นตัวการ์ตูนanimationที่มาเต้น cover โชว์ให้เราดู ด้วยมุมกล้องมุมเดียวไม่มีการตัดไปหาหน้าหล่อๆ หรือทรวดทรงอู้วว้าว ทำให้สะดวกแก่การลองทำตาม ใครที่สนใจก็ง่ายๆครับ เข้าเว็บ youtube แล้วเสริชคำว่า idance จะมีanimationของมิวสิควีดีโอดังๆ มากมาย

ในมิวสิคเขาก็มีสองมือสองเท้าเหมือนเรา แต่ทำไมเราลองทำตามเขาแล้วมันออกมาทะแม่งๆก็ไม่รู้
วันนี้ผมลองฝึกท่า ปลาไหล sorry sorry หน้าคอมพ์
เด็กบ้านตรงข้ามดันมาเห็นเข้าหัวเราะก๊าก ชี้นิ้วแล้วก็ตะโกนบอกต่อๆให้เพื่อนมาดู ราวกับพบสิ่งมีชีวตประหลาดจากนอกโลก
ผมคงไม่กล้าออกจากบ้านไปอีกหลายวัน T_T

ว่างๆก็ลองเต้นกันนะครับ เป็นการออกกำลังกายและช่วยบรรเทาอาการเงอะงะงุ่มง่าม(น่าจะอ่ะนะ) ซ้ำยังคลายเครียด ถ้ายังไม่โปรก่อนเต้นก็มองดูรอบๆตัวก่อนนะครับว่ามีใครดูอยู่หรือเปล่า ขอให้สนุกกันเด้อครับ อิอิ

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

คนโง่ทำอะไรให้พวกคุณ

คุณผู้อ่านเคยถูกคนอื่นด่า หรือตัวเองด่าตัวเองว่า “ไอ้โง่”ไหมครับ ผมไม่เคยโดนด่าแรงขนาดนั้นนะครับ เท่าทีผมเคยโดนก็คือ “อ๊าย ทำไมโง่จัง” “โง่อะไรอย่างนี้” “ทำไมถึงโง่อย่างนี้” “โง่ที่ซู้ดดด” “มอๆๆๆ” หึๆ
แต่ถ้าลองมองข้ามความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือโกรธอยากจะเอาคืนสักนิด มองถึงความหมายของคำว่าโง่ ที่เขานิยมใช้ด่ากันในชีวิตประจำวัน อาจจะเกิดข้อสงสัยขึ้นมาเหมือนกับผมก็ได้
คำว่าโง่เป็นคำที่นิยมหยิบยกมาใช้อย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อเราพบเห็นการกระทำที่เปิ่น ที่อ่อนด้อย ที่ไม่ถูกต้อง ที่ทำร้ายตนเอง ที่ได้ไม่คุ้มเสีย (และอื่นๆ) แล้วอยากกำหนดลักษณะของคนๆนั้นด้วยคำพูด เพื่อความสะใจ เป็นอุทาหรณ์ บลาๆๆ
ผมเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า แต่ละคนสามารถจำแนกว่าเป็น คนโง่ หรือ คนฉลาด ได้อย่างชัดเจนหรือเปล่า ขออนุญาตยกตัวอย่างหน่อยนะครับ
ดร.ฟิสิกก์เห็นตาสีตาสาอ่านหนังสือไม่ออก ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง จึงบอกว่าตาสีตาสาเป็นคนโง่
ดร.ฟิสิกก์ตกงานเตะฝุ่น ตัดสินใจไปช่วยตาสีตาสาทำไร่ในชนบท ทำงานอะไรไม่เป็นซักอย่าง จึงโดนตาสีตาสาด่าว่าโง่
ขออีกตัวอย่างหนึ่งครับเห็นชัดกว่า เอาคนระดับปัญญาชนไปปล่อยในป่าพร้อมกับคนป่า ทั้งคู่ตัวเปล่าเหมือนกัน คงจะรู้ๆกันอยู่ว่า คนป่ามีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่าแน่ๆ สถานการณ์นี้จะจัดว่าคนระดับปัญญาชนผู้นั้นโง่หรือเปล่าครับ
ผมยังตีความหมายในทางโลกของคำว่าโง่ไม่ออก แต่ความหมายในทางธรรมผมพอจะตีความหมายได้ว่า คนโง่คือคนที่ยังลุ่มหลงในกิเลส ตกอยู่ใต้อำนาจของอวิชชา ผมว่าคำว่า โง่ ในทางธรรม ค่อนข้างมีความหมายที่เห็นภาพได้ชัดนะครับ จำแนกได้ง่ายว่าโง่หรือไม่โง่ แต่คำว่าโง่ที่พวกเราใช้ด่ากันเป็นส่วนใหญ่ ผมคิดว่าน่าจะมีความหมายในทางโลก เพราะถ้าหากใช้คำว่าโง่ในความหมายทางธรรม ก็จะด่าไม่เจ็บไม่สะใจ เพราะผมเชื่อว่ากว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนในโลกปัจจุบันนี้ ยังเป็นคนโง่ ถ้าใช้ความหมายในทางธรรม (ตัวเลขไม่ได้วิจัย โมเมเอาจ้า) เพราะฉะนั้นถ้าถูกใครด่าว่า โง่ ก็อย่าเพิ่งไปรีบโกรธหรือน้อยใจตัวเองนะครับ ลองครุ่นคิดถึงนิยามของคำว่าโง่ดูนะครับ คิดไปคิดมาเดี๋ยวก็หมดอารมณ์โกรธเองครับ
ที่เกริ่นมาเป็นเพียงการเกริ่นเท่านั้นครับ (ออกทะเลไปเสียไกลเชียว) ประเด็นสำคัญที่ผมต้องการเสนอก็คือ ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงดูถูกคนโง่เมื่อแรกเห็น คนโง่เป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกับรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์อย่างนั้นหรือ? อย่างเช่น เวลาวัยรุ่นบางคนเห็น ลักษณะเด๋อๆด๋าๆ เดินสะดุดนู่นสะดุดนี่ หงิมๆทำอะไรไม่เป็น ก็จะแสยะหน้าเหยียดหยันอย่างดูถูก หรือเวลาที่มีการประชุม แล้วมีคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นไม่เข้าเรื่องออกไป ก็จะได้รับการดูถูกภายใต้หน้ากากมารยาท
ทำไมเราสามารถดูถูกคนอื่นได้โดยไม่ต้องมีใครมาสอนหรือเป็นแบบอย่าง การดูถูกเป็นพฤติกรรมตามสัญชาตญาณหรือครับ เราดูถูกแล้วได้อะไรจากการทำเช่นนั้น คุณครูบางท่านเคยบอกผมว่า คนเราดูถูกคนอื่นเพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเองสูงขึ้น
ที่คนเราอยากสูงไม่อยากต่ำ ผมคิดว่าคงเพราะอยู่สูงแล้วมีเสรีภาพในการทำอะไรมากกว่า คนฉลาดมีเสรีภาพมากกว่าคนโง่ ในที่นี้ผมหมายถึง IQ แล้วกันครับจะได้เข้าใจตรงกัน คนส่วนใหญ่ชอบดูถูกคนมีเสรีภาพน้อย และสรรเสริญคนมีเสรีภาพมาก ที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะคนเราอยากเป็นเหมือนคนที่ตนสรรเสริญ
แต่เสรีภาพก็สามารถสร้างได้แม้กระทั่งความรุ่งโรจน์หรือความหายนะ ที่เทคโนโลยีก้าวหน้าขนาดนี้ก็เพราะผู้มีเสรีภาพมาก ที่สังคมปั่นป่วนวุ่นวาย ปลุกปั่นให้แตกคอกันก็เพราะฝีมือของผู้มีเสรีภาพมากเช่นกัน ฮิโรชิม่า นางาซากิ ถ้าไม่ได้ฝีมือคนฉลาดก็เกิดขึ้นไม่ได้หรอกครับ
คนโง่มีเสรีภาพน้อย มีโอกาสสร้างความรุ่งโรจน์ได้น้อย และก็มีโอกาสสร้างหายนะได้น้อยเช่นกัน ถ้านับเป็นตัวบุคคล
เขียนไปเขียนมายิ่งงงเอง ข้อความท่อนแรกกับท่อนหลังชักจะขัดแย้งกัน คงเป็นเพราะความคิดเห็นของผมในเรื่องนี้ยังไม่แข็งแรงพอทำให้เกิดอาการไขว้เขว ท่านผู้อ่านอาจจะงงได้ว่า บทความนี้ต้องการอะไรกันแน่ ต้องการบอก หรือต้องการถาม (บางครั้งก็ถามเองตอบเอง)
เอาเป็นว่าผมอยากให้ผู้อ่านหลายคนคิดก่อนจะดูถูกคนโง่เสียหน่อยหนึ่งว่า เราดูถูกเขาทำไม เขาทำอะไรให้เรา ก่อนจะด่าใครก็ควรจะนิยามคำว่าโง่ในใจให้ชัดเจนก่อน(เหอๆ) และถ้าเราอยากให้ตัวเองสูงขึ้น แทนที่จะใช้การดูถูก เราเปลี่ยนเป็นใช้การแผ่ความรักความเมตตาจะดีกว่าไหม ผมว่าวิธีนี้ทำให้ตัวองสูงกว่าและสูงอย่างแท้จริงนะครับ แต่พูดง่ายทำยากนี่สิครับ
ปล.1.บทความนี้ต้องการเรียกร้องให้หลายๆคนเห็นใจคนโง่ ในฐานะที่ผมก็เป็นคนโง่คนหนึ่งเช่นกัน(โง่แต่เสน่ห์แรงนะจุ๊ หุๆ)
ปล.2. ใครมีความคิดเห็นอะไรก็แสดงได้เต็มที่นะครับ

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ส่งการบ้านของพี่ Pj Anderson

ส่งการบ้านของพี่ Pj Anderson
คำสั่ง : ให้นำพล็อตหลักที่กำหนดให้ไปเขียนให้แตกต่างกันห้าแบบ
พล็อตหลัก : ชายหนุ่มเอื้อเฟื้อที่นั่งให้กับหญิงชราบนรถเมล์ หญิงชรานั่งต่อไปป้ายเดียวก็ลง

1. เมื่อรถเมล์จอดเทียบท่า ฝูงชนก็กรูกันขึ้นมาทำลายความเงียบสงบ คนมาก่อนได้นั่งก่อน คนขึ้นทีหลังก็ต้องยืนเอา กระเป๋ารถเมล์ตื่นจากภวังค์ขึ้นมาทำหน้าที่ “ชิดในเพ่ ชิดใน” ชายหนุ่มมนุษย์เงินเดือนก็ถูกเสียงจ้อกแจ้กจอแจปลุกให้ตื่นจากการสัพงกเช่นกัน สิ่งแรกที่เขามองเห็นก็คือกลุ่มคนที่ยืนโหนราวอย่างแออัดยัดเยียด และในกลุ่มคนนั้นเขาก็เห็นหญิงชรารางเล็กคนหนึ่ง ยืนสั่นงกๆเหยียดแขนเกาะราวสุดล้า ข้างกายของชายหนุ่มนั้นเล่าก็นั่งไว้ด้วยหญิงท้องแก่ เขาตัดสินใจลุกขึ้นและบอกให้หญิงชรามานั่งแทนตน หญิงชรายิ้มขอบคุณแล้วเดินเข้ามานั่งแทนที่ชายหนุ่ม ชายหนุ่มยืนโหนราวอย่างภาคภูมิใจ กล้ามองคนอื่นได้เต็มสายตา เมื่อรถเมล์เทียบจอดป้ายต่อไป หญิงชราก็ลุกจากที่นั่ง แล้วเดินลงจากรถไป
2. รถเมล์จอดเทียบท่า ฝูงชนกรูขึ้นสวนกันกับฝูงชนที่กรูกันลง กระเป๋ารถเมล์ตะโกนโหวกเหวกระบายความตึงเครียดที่ทั้งวันไม่ได้รับการผ่อนคลาย มลพิษทางอากาศและทางเสียงทำให้คนในรถส่วนใหญ่หน้าบึ้ง ชายหนุ่มนั่งหนีบขา ช้อนตามองคนอื่นอย่างหวั่นๆ เขายังไม่คุ้นกับเมืองกรุงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหงื่อไคลเช่นนี้ ชายฉกรรจ์ร่างท้วมผู้หนึ่งรีบตรงมาทรุดนั่งลงที่เบาะข้างๆกับเขา ค้อนตามองเขาวูบหนึ่งแล้วแสร้งหลับส่งเสียงกรนเบาๆ ชายหนุ่มมองสติกเกอร์ที่ติดบนผนังรถ เขาจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่หกมา จึงพอจะอ่านออกว่า “โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งให้กับสตรี เด็ก และคนชรา” ทันใดนั้นสายตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นหญิงชราร่างเล็กผู้หนึ่ง ยืนอิงแอบอยู่ในกลุ่มคนที่แออัดเบียดเสียด ชายหนุ่มลุกขึ้นและบอกให้หญิงชรามานั่งแทนที่ตน หญิงชราเดินเข้ามากล่าวขอบคุณอย่างยิ้มแย้มและแตะตัวเขาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะไปนั่งแทนที่ชายหนุ่ม รถเมล์แล่นจนถึงป้ายต่อไป หญิงชราก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินลงจากรถ แกไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับชายหนุ่ม ชายหนุ่มยิ้มตอบอย่างอุ่นใจ แกเดินลงมาพร้อมกับผู้โดยสารกลุ่มหนึ่ง หยิบกระเป๋าเงินที่ตนเพิ่งฉกได้ขึ้นมาเปิดดู “อ้ายบ้านนอกนี่พอมีเงินเหมือนกันว่ะ”
3. รถเมล์จอดเทียบป้าย แต่เดิมก็ไม่ค่อยมีผู้โดยสารอยู่แล้ว ครั้งนี้มีผู้โดยสารขึ้นมาเพียงคนเดียวก็คือ หญิงชราร่างเล็ก ปากแกเม้มตัวสั่นเทิ้ม ที่นั่งว่างไปหมดแต่หญิงชรากลับยืนเกาะราว ท่าทางดูเกร็งๆชอบกล “ไม่นั่งล่ะป้า”กระเป๋ารถเมล์ถาม หญิงชราส่ายหน้ารัวๆ ชายหนุ่มเห็นแล้วขัดใจยิ่งลุกจากที่นั่งไปรวบเอ็วหญิงชรามานั่งกับเบาะของตน แล้วตนก็ไปยืนโหนราวแทน “ผมให้เกียรติคนชราแล้วนะ”ชายหนุ่มบอก “บ้ากันทั้งคู่เลย”กระเป๋ารถเมล์พูดพลงสั่นศีรษะ ทันใดนั้นกลับมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยไปทั่วคันรถ ผู้โดยสารทุกคนพากันย่นจมูก คนขับตะโกนถามว่า “กลิ่นขี้ที่ไหนวะ” ชายหนุ่มหันไปมองหญิงชราอย่างสงสัย หญิงชราหัวเราะแหะๆตอบว่า “ช่วยไม่ได้ ก็เอ็งอยากจับข้ามานั่งกับเบาะเองนี่” “เฮ้ย! ป้า..โอ้โห”กระเป๋ารถเมล์โวยวาย “เดี๋ยวป้ารีบลงด่วนเลยนะ..อื้อ หือ...แหวะ” พอรถเมล์จอดป้ายหน้า หญิงชราก็ยอมลงแต่โดยดี ผู้โดยสารคนอื่นๆพากันลงด้วย และคนที่รอรถอยู่ก็เลือกจะรอคันต่อไป
4. ผมเบื่อกับกิจวัตรประจำวันที่ซ้ำซากนี่เต็มทนแล้ว การโดยสารรถเมล์ก็เป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ผมเคยหวังว่าสักวันจะเจอกลุ่มเด็กช่างกลมาตีกันในรถเพื่อเพิ่มสีสันให้กับสิ่งซ้ำซากเหล่านี้บ้าง แต่วันนี้ไม่ใช่อย่างนั้นและไม่ใช่อย่างทุกวัน ผมเห็น “เธอ”นางฟ้าคนหนึ่ง เสียบหูฟังยืนโหนราวอยู่ เสื้อแขนกุดรัดรูปสีชมพู เอวลอยนิดๆ กางเกงขาสั้นสีดำที่รัดรึงยิ่งกว่า ผิวขาวๆกับเหงื่อชุ่มตามปอยผมทำให้เธอดูเหมือนนักวิ่งจ็อกกิ้งสมัครเล่นคนหนึ่ง นี่มันสเป็คผมชัดๆ ผมมองหาลู่ทางได้ใกล้เธอแทนที่จะมานั่งมองเฉยๆเหมือนครั้งก่อน นั่นไงเจอแล้วลู่ทางของผม หญิงชราร่างเล็กคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ใกล้ๆเธอด้วย
“ยายมานั่งแทนผมดีกว่าม่ะ”ผมร้องออกไป เร่งเสียงให้ดังเพื่อจะให้คนอื่นได้ยินกันทั่วหน้า
“ขอบใจจ้า”หญิงชรากล่าว แล้วจึงเดินมาเปลี่ยนที่นั่งกับผม
ตอนนี้ผมยืนอยู่ยืนอยู่ข้างหลังเธอตรงตำแหน่งเหมาะเจาะ พอที่จะโน้มหน้าไปหอมซอกคอเธอได้ เธอถอดหูฟังออกแล้วหันมากล่าวกับผมว่า
“คุณมีน้ำใจจังเลยนะคะ”
“อ๋อ แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ”
“แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆนี้ก็ทำให้เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ได้นะ”
“คุณก็มีเสน่ห์ไม่เบาเหมือนกัน ขอโทษนะครับที่เมื่อกี้ผมเอื้อเฟื้อที่นั่งให้ยายแทนที่จะให้คุณ”
“มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่คะ”หญิงสาวถาม ยิ้มอย่างหยั่งอารมณ์
“ให้ผมไถ่โทษคุณโดยการพาคุณไปเลี้ยงข้าวซักมื้อได้ไหมครับ”
“นี่คุณคิดจะจีบฉันใช่หรือเปล่า”รอยยิ้มของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นยิ้มพราย
“ความจริงผมอยากจะจีบเหมือนกัน แต่จีบไม่เป็น คุณช่วยแนะนำได้ไหมครับว่าผมควรจะเริ่มต้นอย่างไร”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก บอกว่า “ต้องเริ่มจากถามชื่อก่อน แล้วค่อยถามเบอร์โทร”
“อ้า ผมจะเริ่มแล้วนะครับ สวัสดีครับ ผมอยากทราบชื่อเพราะๆของคุณ กับเบอร์โทรที่ติดต่อได้ในยามที่ต้องไกลกัน”
หญิงสาวหัวเราะ บิดตัวไปมาอย่างเขินๆก่อนจะตอบว่า “ชื่อกิฟต์ค่ะ ส่วนเบอร์โทรศัพท์ ศูนย์แปดสี่...”
เรื่องจำเบอร์โทรศัพท์ผู้หญิงเป็นเรื่องหมูสำหรับผมแล้วครับ แต่ผมแกล้งทำเป็นทวนเบอร์ผิดๆ เพื่อให้เธอสนใจที่ผมมากขึ้น ผมว่าผมคงฝันหวานแล้วล่ะคืนนี้ จนกระทั่งรถเมล์จอดเทียบป้ายต่อไป ยายชราร่างเล็กก็ลุกขึ้น แล้วพูดดุๆกับผู้หญิงที่ผมกำลังคุยด้วยว่า
“ถึงแล้ว ไอ้กื่ม แหม.. เกิดเป็นลูกผู้ชายดันมาทำตัวเป็นตุ๊ดยั่วผู้ชายไม่อายชาวบ้าน กูอยากจะอกแตกตายแทนพ่อแม่มึงจริงจริ๊ง!”
“มาประจานฉันทำไมเล่ายาย ไปก็ไป!”เธอหันไปตะคอกกลับด้วยเสียงที่พร่าเหมือนเสียงเป็ด จากนั้นหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงหวานๆว่า “แล้วติดต่อมานะคะ”
สองยายหลานเดินลงจากรถไป ทิ้งให้ผมยืนโหนราวอย่างอึ้งกิมกี่
5. หญิงชราร่างเล็กเดินขึ้นรถเมล์ ที่ไหล่ซ้ายของแกสะพายย่ามลายดอกซึ่งน่าจะหนักใช่เล่น เพราะไหล่แกคู้ลง ที่นั่งเต็มหมดแล้วในตอนนี้ ชายหนุ่มบอกให้หญิงชรามานั่งแทนที่ตน เขากะจะช่วยหญิงชราปลดเป้วางลงแต่แกปฏิเสธ แกคงจะหวงย่ามใบนี้มากเพราะระหว่างเดินมาก็พยายามไม่ให้มันไปถูกตัวใคร พอรถเมล์แล่นไปจอดป้ายต่อไปหญิงชราก็เดินฉับๆจะลงจากรถ แกเดินเร็วและดูมีกำลังผิดกับคนชราทั่วไป ชายหนุ่มตะโกนบอกหญิงชราว่าลืมย่ามทิ้งไว้ แต่แกรีบเดินลงจากรถไปอย่างไม่สนใจ ผู้โดยสารบางคนลง ที่รออยู่ตามป้ายบางคนก็ขึ้น รถเมล์แล่นจากไประยะหนึ่ง หญิงชราก็ล้วงมือถือขึ้นมากดหมายเลข
ตูม!
เสียงระเบิดกึกก้อง เปลวไฟพวยพุ่งเป็นดอกเห็ด ตามด้วยเสียงคนกรีดร้อง โครงรถเมล์ลอยคว้างกลางอากาศ ขณะที่ไม่มีใครสนใจแก หญิงชราก็กระชากหน้ากากของตนออก กลายเป็นใบหน้าชายฉกรรจ์เคราดก เขาเริ่มต้นบทสนทนาทางวิทยุสื่อสารว่า “อัสสลามมุอะลัยกุม”

ปล.1.เสร็จทันส่งครับหัวหน้า หุๆ มาปั่นทั้งหมดเอาตอนหัวค่ำนี่แหละ(ตอนแรกกะจะเบี้ยวแล้ว) กรุณาตรวจทาน ให้คะแนนและคำแนะนำด้วยเด้อครับ
ปล.2. พี่ทำมาหรือเปล่าครับ หึๆ ถ้าไม่ทำมาเดี๋ยวโดนยืนขาเดียวกางแขนคาบไม้บรรทัดนะครับ หุๆ

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

การเดินทางของเหรียญสิบ


ภูริประนมมือจรดหน้าผาก หยิบเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยในฝ่ามือตนวางลงบนฝ่ามืออวบอูมนิ้วสั้นป้อมที่แบหราอยู่ตรงหน้า เจ้าของมือยิ้มตาหยีฉ่ำเยิ้ม
“ไปให้มันทำไมเล่าพ่อหนุ่ม ไม่ได้บุญหรอก อีบัวลอยได้เงินเท่าไหร่ก็เอาไปซื้อเหล้าหมด”ป้าไลเจ้าของร้านขายข้าวแกงเท้าสะเอวบอก ลูกสาวแกกำลังคดข้าวให้ลูกค้า
ภูริแสดงอาการเงอะงะงึกงัก บัวลอยเดินออกจากร้านข้าวแกงไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉีกอยู่ระหว่างแก้มนูนเนื้อแดงกล่ำ เดินลากรองเท้าแตะฟองน้ำกับพื้นดินฝุ่นครืดๆ ลูกค้าบางคนเห็นชุดขาวปฏิบัติธรรมที่มีรอยด่างดำและส่งกลิ่นก็ยอมหลีกทางให้แกเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า
“ว่าแต่จะเดินไปไหนรึพ่อหนุ่ม เห็นสวมหมวกสะพายเป้ซะเต็มยศ”
“อ๋อ..เดินพิสูจน์ตัวเองน่ะครับ ผมอ่านเรื่อง เดินสู่อิสรภาพ ของ ท่าน ประมวล เพ็งจันทร์ แล้วประทับใจในตัวท่าน อยากจะเลียนแบบท่านบ้างน่ะครับ แต่ผมกลัวว่าตัวเองจะไม่รอดเลยพกเงินติดตัวมานิดหน่อย”ภูริตอบพลางเกาหัว หัวเราะแหะๆ
“เดินไปแล้วจะได้อะไรรื้อ?”ป้าไลถาม
“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นการ เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาวนะครับ แบบว่าเอ่อ..เอ่อ..”
“ถ้าพูดยากก็ไม่ต้องตอบฉันก็ได้ จะกินอะไรหน่อยไหม”
“ไม่ล่ะครับ ผมไม่มีเงินแล้วครับ”
“ต๊าย! ตัวเองไม่มีจะกิน ยังจะให้เงินอีบัวลอยไปซื้อเหล้ากินอีก”
“เอ่อ...ผมว่าผมไปก่อนดีกว่าครับ”ภูริยกมือไหว้ปาไล ส่งยิ้มให้ลูกสาวแก กระชับสายสะพายเป้เดินออกจากร้านไปทางซ้าย ซึ่งเป็นคนละทางกับที่บัวลอยเดิน
รอยยิ้มบัวลอยหุบหายกลายเป็นซึมศร้อยขณะเดินผ่านฝูงชนที่เดินคราคร่ำอยู่บนบาทวิถี ฝูงชนรีบเร่งและเร่งรีบยิ่งกว่าที่จะเดินออกห่างจากหล่อน หล่อนเดินเข้าร้านขายของชำ เฮียฮง ร้านที่บัวลอยมักจะมาซื้อเหล้าเป็นประจำ แต่ตอนนี้ที่คุมร้านอยู่เห็นมีแต่ไอ้จ่อย หลานชายเฮียฮงวัยเก้าขวบ
“ไอ้จ่อย ขายเหล้าให้ป้าหน่อย”
“ไม่ได้ครับป้า ผมอายุไม่ถึงสิบแปดขายเหล้าไม่ได้”
“ชะ! อย่ามากระแดะเป็นเด็กดีหน่อยเลยไอ้จ่อย ข้ายังเห็นเอ็งแอบจิบลีโอกับเพื่อนๆเอ็งอยู่เลย”
“ขายไม่ได้จริงๆป้า รอลุงกลับมาก่อน แป๊บเดียวเองจ้า”จ่อยไหว้ปะหลกๆ
บัวลอยมองหามุมเหมาะๆ ก็พบว่าตรงข้างประตูเข้าร้านซึ่งไอ้ดอกหมาพันธ์ทางหมอบหลับอยู่ ป้าบัวลอยทรุดนั่งลงข้างๆมันเอาแผ่นหลังพิงกำแพง ไอ้ดอกลืมตาเหลียวหมอบวูบหนึ่งแล้วฟุบหลับไปใหม่
“เฮ้อ”ป้าบัวลอยถอนใจยาว “ไม่มีใครเข้าใจข้าเลย ข้ามันจน มีผัวผัวก็ขี้เหล้าซ้อมข้าเอาๆ ก็มีแต่ช้างขวดสี่สิบบาทนี่แหละวะที่ช่วยย้อมใจให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป...เฮ้อ ในโลกนี้ก็มีแต่หมาอย่างเอ็งนั่นแหละที่รับฟังความในใจของข้า”
เพียงครู่เดียว เฮียฮงก็ขี่มองเตอร์ไซต์พ่วงกลับมา ไอ้จ่อยวิ่งมาต้อนรับอย่างออกนอกหน้ายิ่งกว่าไอ้ดอก เฮียฮงยอมขายเบียร์ช้างให้บัวลอยอย่างเสียไม่ได้ บัวลอยล้วงเงินออกมาได้สามสิบบาทวางลงบนฝ่ามือเฮียฮง ฝ่ามือเฮียฮงยังคงแบอยู่
“รอเดี๋ยว”ป้าบัวลอยเอานิ้วล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างยากเย็นค่อยดึงเหรียญสิบออกมาได้ เหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอย เฮียฮงยิ้มรับเงิน ป้าบัวลอยเดินลากขาจากไป เฮียฮงเก็บเงินสามสิบบาทลงลิ้นชักโต๊ะ แล้วยื่นเหรียญสิบให้ไอ้จ่อย
“ไปซื้อบุหรี่ให้อั๊วหน่อย เอาวอนเดอร์เขียว”
ไอ้จ่อยเบะปาก รับเงินเดินออกไปซื้อแต่โดยดี ปากพึมพำว่า “ใช้เด็กต่ำกว่าสิบแปดมาซื้อบุหรี่มันผิดกฏหมายชัดๆ” จากนั้นก็เดินทอดน่องไปตามบาทวิถี พื้นรองเท้าฟองน้ำกระทบพื้นเตาะแตะช้าบ้างเร็วบ้าง จนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทางนั่นก็คือร้านนารานุสรณ์ ร้านขายของชำเกือบครบวงจรซึ่งใหญ่กว่าร้านของเฮียฮงมากนัก จ่อยเดินไปหยุดยืนหน้าเคาท์เตอร์โต๊ะเหล็ก เด็กหนุ่มวัยรุ่นกำลังหัวเราะคิกคักกับมุขการ์ตูนที่กางอ่านอยู่ในมือ
“วอนเดอร์เขียวสิบบาทพี่”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา หยุดหัวเราะ ปั้นสีหน้าจริงจัง
“อีกแล้วเหรอไอ้จ่อย เอ็งน่าจะหาทางบอกให้เฮียฮงเลิกบุหรี่มั่งนะ มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“เอาไว้วันหลังเถอะพี่ วันไหนที่ลุงไม่ได้สูบ ลุงแกจะเครียดแล้วหันมาระบายที่ฉันอยู่เรื่อย”
เด็กหนุ่มวางการ์ตูน เปิดลิ้นชัก หยิบซองบุหรี่มาฉีกแล้วตอกออกมาสี่มวน ใส่ซองพลาสติกเล็กๆ ยื่นหมูยื่นแมวกับเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอย
“ขอบคุณครับ”เด็กหนุ่มพูดตามความเคยชิน จ่อยวิ่งเตาะแตะออกจากร้านไป
ยามบ่ายร้านนารานุสรณ์ค่อนข้างเงียบเหงา ยิ่งเป็นช่วงปิดเทอมด้วยแล้วลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นนักศึกษาล้วนหายหน้าไปกันหมด เด็กหนุ่มคิดใคร่ครวญอย่างดีแล้วจึงตัดสินใจถอยมอเตอร์ไซต์ออกมา ขี่มุ่งหน้าไปยังร้านเช่าการ์ตูน
“เก้าบาทครับ”ชายร่างอ้วนเตี้ยผิวคล้ำนั่งประจำเคาท์เตอร์กล่าว คิ้วของเขาขมวดอยู่ตลอดเวลา
“ยิ้มมั่งก็ดีนะพี่ ไม่จำเป็นต้องจริงจังตลอดเวลาหรอก”
เด็กหนุ่มยื่นเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยให้ แลกกับเหรียญบาทที่ถูกส่งมาทีหลัง เด็กหนุ่มเก็บเหรียญลงกระเป๋า เดินดุ่มๆไปขึ้นมอเตอร์ไซต์ รีบกลับไปเฝ้าร้านต่อ
ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำกดเล่นหนังต่อจากที่หยุดชั่วคราวไว้เมื่อครู่ ผ่านไปซักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงกระดิ่งรถเข็นไอติม ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำรีบลุกออกไปเรียกให้หยุดก่อน ในมือถือเหรียญสิบที่ยังไม่ได้เก็บใส่เก๊ะเมื่อครู่
“เอาใส่ขนมปังหนึ่งอันครับ”
ลุงขายไอติมผิวดำแดงร่างผอมเกร็ง โพกผ้าคร่ำคร่าไว้บนศีรษะ ตักไอศกรีมใส่ขนมปังประกบสองแผ่น โรยถั่วราดนมเสร็จสรรพ
“สิบบาทครับ”
ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำรับไอติมขนมปังมาแล้วถามว่า “ลุงเป็นคนที่ไหนเหรอครับ สำเนียงฟังดูเหน่อๆ”
“ลุงมาจากชัยนาทนู่นแน่ะ”ลุงขายไอติมตอบอย่างกระตือรือร้น “พอดีได้เมียที่นี่เลยต้องย้ายตามมาปักหลักที่นี่ใหม่”
“อื้อหือ ขยันจังนะครับลุง ปรกติขายเสร็จกี่โมงครับ”ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำถามพลางกัดกินขนมปังผสมไอติมไปด้วย
“ก็อีกราวๆชั่วโมงก็จะเข็นไปส่งโรงงานแล้ว”ชายขายไอติมมองพินิจพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ชอบกินไอติมใช่ไหม”
“ครับ ผมมีความทรงจำที่ดีกับไอติมในตอนเด็กๆน่ะครับ”
“คงจะใช่ล่ะ เห็นตอนกำลังกินหน้าตาดูมีความสุข คิ้วไม่ขมวดเหมือนทุกที”
ชายอ้วนเตี้ยผิวคล้ำกลับไปนั่งประจำเคาท์เตอร์ ลุงขายไอติมก็เข็นรถเดินต่อไป อากาศยามบ่ายร้อนจนเหนียวตัว พอเดินผ่านแถบที่อยู่อาศัย ลุงก็จะสั่นกระดิ่งเป็นระยะๆ ล้อรถและสองเท้าของลุงหมุนและก้าวเดินบนริมถนนใกล้กับขอบบาทวิถี ซ้ายมือรถราแล่นผ่าน ขวามมือผู้คนสัญจรผ่าน จนกระทั่งอีกห้าร้อยเมตรจะถึงโรงงาน ก็มีเด็กชายคนหนึ่งอายุราวสิบสองปีเรียกให้ลุงหยุดรถ เด็กชายแต่งตัวค่อนข้างดี เสื้อยืดสีขาวลายปลาปิรันย่ากระโจนอ้าปากเหนือน้ำ กางเกงขาสั้นพ่วงกระเป๋าพะรุงพะรัง รองเท้ากีฬาสีดำมีโลโก้ยี่ห้อเป็นรูปเสือจากั้ว
“เอาใส่ถ้วยอันหนึ่งครับ ใส่ข้าวเหนียวกับลูกชิด”
“ได้เลยหนู ข้าวเหนียวกับลูกชิด”
ลุงขายไอติมตักให้เสร็จสรรพ ส่งไอติมในถ้วยพลาสติกสีขาวให้ เด็กชายให้แบ๊งค์ยี่สิบ ลุงขายไอติมล้วงเอาเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยจากกระเป๋าสะพายทอนให้
“ลุงครับ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่า โรงแรมเอ็มมานูเอลไปทางไหน”
“อ่า ลุงก็บอกทางคนไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน หนูจะไปโรงแรมนั่นทำไมเหรอ”
“ผมพักที่นั่นครับ พ่อแม่ผมอยู่กับแขก เลยให้ผมออกมาเดินเล่นก่อน ผมเดินไปเดินมาก็จำไม่ได้แล้วว่าโรงแรมมันอยู่ทางไหน”
“เอาอย่างนี้ หนูเดินไปกับลุงดีกว่า ลุงจะพาไปส่ง”
“เย่!”เด็กชายกระโดดสั้นๆ ชูมือสองข้าง “ขอบคุณครับ”
ลุงขายไอติมกับเด็กชายเดินเลาะทางเข้าโรงแรมที่ทอดตัวฉวัดเฉวียนโอบล้อมสวนหญ้าเล็กๆไว้ โรงแรมโอ่โถงระดับสี่ดาว ประตูกระจกใสเลื่อนเปิดปิดอัตโนมัติ บริเวณหน้านั้นมีพนักงานโรงแรมชายสองคนประจำอยู่ เสื้อสีแดง กางเกงสีดำ และหมวกลักษณะคล้ายหมวกตำรวจ คนหนึ่งประจำแฟ้มรายชื่ออะไรบางอย่างบนโต๊ะป้ายเล็กๆ อีกคนยืนคอยขนของให้กับแขก
“มาถึงแล้วหนู ส่งให้ถึงที่เลยล่ะคราวนี้”ลุงขายไอติมพูดพลางสั่นกระดิ่ง
“ขอบคุณครับ ลุงอยากเจอพ่อกับแม่ผมมั้ย”
“อ่า ไม่ล่ะ สารรรูปอย่างลุงเขาไม่ให้เข้าโรงแรมหรอก”
เด็กชายวิ่งเตาะแตะไปที่ประตู ในระหว่างนั้นก็ได้ยินพนักงานโรงแรมคนหนึ่งสั่งไอติมแบบใส่ขนมปัง เด็กชายวิ่งผ่านล็อบบี้โรงแรม เบี่ยงตัวหลบอย่างสวยงามในจังหวะที่เกือบชนกับแขกต่างชาติผิวสีคนหนึ่ง เด็กชายวิ่งขึ้นบันไดขนาดใหญ่ ปูพื้นด้วยพรมสีแดง ทอดตัวสู่ชั้นสอง เด็กชายวิ่งเข้าภัตตาคารอาหารจีน เห็นว่าพ่อแม่ของตนในชุดสูทสีดำกำลังลุกขึ้นจับไม้จับมือกับแขก ขณะนั้นสาวเสิร์ฟในชุดแพรสีชมพูก็ถือกระเป๋าหนังเล็กๆเดินเข้ามาที่โต๊ะ เด็กชายเดินเข้าไปหาที่โต๊ะด้วย สาวเสิร์ฟเปิดกระเป๋าออกเผยให้เห็นใบเสร็จและเงินทอนจำนวนหนึ่ง ชายวัยกลางคนศีรษะล้านหยิบเงินทอนในนั้นออกมา เด็กชายเดินรี่เข้าไปวางเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยในกระเป๋าหนังนั้น สาวเสิร์ฟหันมายิ้มให้เด็กชายอย่างเอ็นดู เด็กชายหัวเราะฮี่ฮี่
“อ้าว อ้น สวัสดีเพื่อนๆพ่อหน่อยสิ ..อ้า..นี่ลูกผมเองครับ ชื่อ อ้น”
สาวเสิร์ฟไหว้ขอบคุณ พอแขกโต๊ะนี้จากไปหมดเธอก็กลับเข้าไปหลังร้าน บ่ายสามโมงแล้วหมดชั่วโมงทำงานของเธอพอดี หญิงสาวเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วเดินออกจากโรงแรมทางด้านหลัง ซึ่งมีสภาพไม่ค่อยโสภาผิดแผกจากด้านหน้าลิบลับ เธอเดินบนบาทวิถี กลมกลืนไปกับผู้คนที่สัญจรไปมา ขณะเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวตะแคงถ้วย เธอหยุดมองเด็กชายตัวเล็กสวมเสื้อกล้ามสีเซียดขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมม พยายามขายพวงมาลัยแต่ก็โดนลูกค้าส่วนใหญ่ไล่ เจ้าของร้านเห็นดังนั้นก็ไล่ออกไปจากร้านเช่นกัน ขณะที่เด็กชายเดินก้มหน้าสวนกับหญิงสาว หล่อนก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“หนูจ๋า พี่ซื้อพวงมาลัยอันหนึ่งได้มั้ยจ๊ะ”
เด็กขายพวงมาลัยมีท่าทีกระตือรือร้นยินดี ยื่นพวงมาลัยร้อยดอกมะลิให้
“พวงเท่าไหร่จ๊ะ”หญิงสาวถามอย่างอ่อนโยน
“ยี่สิบบาท”
หญิงสาวเปิดกระเป๋าสตังค์ล้วงเอาเหรียญสิบออกมาสองเหรียญ เมื่อซื้อขายเสร็จสิ้นหญิงสาวก็เดินต่อ เด็กขายพวงมาลัยกึ่งเดินกึ่งกระโดดไปยังมุมสี่แยกไฟแดงๆ ที่นัดพบปะของเหล่าเด็กขายพวงมาลัย เด็กขายพวงมาลัยรุ่นพี่เพิ่งแตกหนุ่มกำลังจับกลุ่มคุยกัน
“ผมขายพวงมาลัยพวงแรกได้แล้วพี่”เด็กขายพวงมาลัยป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจ
“แค่ขายได้อันเดียวอย่าเพิ่งได้ใจไป”เด็กขายพวงมาลัยรุ่นพี่ที่แก่ที่สุด พูดขึ้น “ว่าแต่ได้มายี่สิบบาทใช่ไหม”
เด็กขายพวงมาลัยพยักหน้า เด็กขายพวงมาลัยรุ่นพี่พูดต่อ
“เอามาให้กูม่ะ พวกกูอยากบุหรี่อยู่พอดี”
“ได้ยังไง นี่เป็นเงินที่ผมหามาเอง”
“เอ๊ะ! ไอ้นี่กล้าขัดกูเหรอวะ”
เด็กตัวโตเดินไปตบหัวเด็กตัวเล็ก เด็กตัวเล็กพยายามสู้แต่สู้ไม่ได้ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา เพื่อนๆของเด็กตัวโตพากันหัวเราะ
“ให้กูตั้งแต่แรกมึงก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว”
เด็กโตถีบก้นเด็กตัวน้อยถลาไปข้างหน้า เด็กตัวน้อยกล้ำกลืนน้ำตาเดินไปขายพวงมาลัยต่อ
“พวกมึงรอกูแปบบ เดี๋ยวกูไปซื้อบุหรี่เสียหน่อย”
เด็กโตฝากพวงมาลัยไว้กับเพื่อน เดินถึงตรงมุมก็เลี้ยวซ้ายเดินไปตามบาทวิถี ถึงจุดที่เป็นร้านข้าวต้มหนึ่งบาทคนค่อนข้างแน่น เด็กโตเดินไปชนกับคนขายล็อตเตอรีตาบอดเข้า ทั้งสองฝ่ายต่างล้มลงก้นจำเบ้า เหรียญสิบเหรียญหนึ่งหล่นออกจากกระเป๋าเด็กตัวโต กลิ้งไปหยุดตรงมุมขาเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่ง
“มึง!..”
“ขอโทษครับ”คนขายล็อตเตอรีระล่ำระลัก
เด็กตัวโตคิดจะระบายอารมณ์ใส่ แต่เห็นคนมองมาเยอะเลยเปลี่ยนเป็นช่วยประคองชายขายล็อตเตอรี่ขึ้น และเก็บล็อตเตอรี่ที่ตกบางส่วนใส่ในถาดสะพายเหมือนเดิม เด็กตัวโตเดินจ้ำอ้าวจากไป ชายขายล็อตเตอรี่ตาบอดยังคงขายล็อตเตอรี่ต่อไป เหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยยังอยู่ที่มุมขาเก้าอี้เช่นเดิม
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ลูกค้าของร้านข้าวต้มเริ่มซาลงจนเงียบสงบ ภูริเดินผ่านมา เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ ปากแห้งซีดหอบแฮ่กๆ ก้าวเดินอย่างระโหยโรยแรง ปากพึมพำว่า “น้ำ น้ำ อยากกินน้ำหวานๆเติมพลัง” ทันใดนั้นเขาเหลือบไปเห็นเหรียญสิบตรงมุมขาเก้าอี้เข้า เขาทำหน้าลำบากใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกง
“เฮ้อ! สุดท้ายเราก็ต้องยอมตกเป็นทาสของเงินจนได้”
ภูริเดินต่อไปตามบาทวิถีจนถึงร้านน้ำผลไม้ปั่น เขียนโชว์ราคาว่าแก้วละสิบบาทพอดี ภูริหยิบเงินออกมากำในอุ้งมือ แล้วเดินไปสั่งกับเจ้าของร้าน
“น้ำส้มปั่นสิบบาทแก้วหนึ่งครับ”
เจ้าของร้านเป็นชายเล่นกล้ามไว้หนวด สวมเสื้อกล้ามสีขาว ผสมน้ำส้มสำเร็จรูปจากขวดแก้วและส่วนผสมลงในแก้วตวงเล็กๆ จากนั้นเทลงไปรวมกับน้ำแข็งในเครื่องไป ขณะที่เครื่องปั่นส่งเสียงครางทำงานของมัน เจ้าของร้านก็ถามขึ้นว่า
“จะเดินทางไปไหนล่ะไอ้น้อง”
“อ๋อ ไม่มีจุดหมายที่แน่ชัดหรอกครับ ผมต้องการเดินเพื่อพิสูจน์ตัวเอง คือผมอ่านหนังสือเรื่อง การเดินสู่อิสรภาพ ของ อาจารย์ ประมวล เพ็งจันทร์ แล้วผมประทับใจ เลยอยากลองทำตามดูบ้างน่ะครับ”
“แต่อาจารย์ประมวลเขาไม่ได้พกเงินตอนเดินทางนี่”เจ้าของร้านท้วง
“ผมยังกลัวว่าตัวเองจะไม่รอดน่ะครับ เลยพกมานิดหน่อย”ภูริสารภาพ หัวเราะแหะๆ
“ตอนนี้ทั้งตัวมีเงินเท่าไหร่ล่ะ”
“มีอยู่สิบบาทนี่แหละครับ”
เจ้าของร้านหยุดพูด เทน้ำส้มปั่นใส่แก้วพลาสติกอ่อน เสียบหลอดปากแหลมแล้วยื่นส่งให้ภูริ
“แก้วนี้พี่ให้ฟรี เก็บเงินสิบบาทของน้องไว้เถอะ”
“จะดีเหรอครับพี่”
“พี่ชอบที่น้องกล้าทำอะไรแบบนี้ ในปัจจุบันที่สังคมเราเป็นแบบนี้ พี่อยากมีส่วนร่วมในการเดินทางด้วยน่ะ”
“ขอบคุณมากครับ”ภูริเอ่ยปากพลางยิ้มกว้าง
ภูริเดินต่อพลางดูดน้ำส้มปั่นไปพลาง ความกระหาย ความร้อน และความอ่อนแรงได้รับการบรรเทา สติก็เริ่มแจ่มใสยิ่งขึ้น ขณะที่ภูริเดินข้ามสะพานลอย มีเด็กหญิงตัวน้อยๆสวมชุดนักเรียนซอมซ่อกำลังนั่งเอาหลังพิงขอบสะพานเป่าแคน ขันทองเหลืองบุบๆที่ไม่มีเงินสักแดงวางไว้ตรงหน้า ภูริหยุดยืนอยู่ตรงหน้า หยิบเหรียญสิบที่มีรอยข่วนสามรอยขึ้นมาดู
“รู้สึกผูกพันกับเหรียญสิบเหรียญนี้ยังไงก็ไม่รู้แฮะ ”ภูริพึมพัมก่อนจะค่อยๆ วางเหรียญลงในขัน แล้วก้าวเดินต่อไป
ทันทีที่เด็กหญิงตัวน้อยได้รับเงินสิบบาท เธอก็รีบเก็บแคนและขันวิ่งแจ้นลงสะพาน เธอตั้งใจไว้ว่าจะเอาเงินสิบบาทไปแลกกับพารเซตตามอลหนึ่งแผง ไปให้แม่ของเธอที่กำลังไม่สบาย

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

หัวใจคอมพิวเตอร์(เรื่องสั้น)


เรื่อง หัวใจคอมพิวเตอร์
ถึง ไอ้เพื่อนยาก
ขอบใจที่เล่าเรื่องการท่องเที่ยวในแมนเชสเตอร์ของแกให้ฉันฟังในอีเมลล์ฉบับทีแล้ว เล่าซะเห็นภาพทีเดียวแต่ก็เหมือนกบเล่าให้ปลาฟังว่าบนบกมันเป็นอย่างไร เอาไว้ว่างๆเมื่อไหร่จะลองไปเที่ยวดูมั่ง
ต้องขอขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้นะที่ทำให้เราคุยกันได้แม้อยู่กันคนละซีกโลก แต่ดูเหมือนดวงของฉันจะไม่สมพงศ์กับเรื่องไอทีอะไรทำนองนั้น พอฉันนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ฉันมีเรื่องจะเล่าให้แกฟังอยู่พอดี (ถือเป็นการเล่าตอบแทนเรื่องแมนเชสเตอร์) นั่นคือเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ห่วยเหลือหลายของฉัน ฉันก็ซื้อมาเหมือนคนอื่นๆเขา สเป็คของมันก็ไม่ตกยุคเสียทีเดียว แต่ประสิทธิภาพของมันมักจะโหลยโท่ย(เดี๋ยวดีเดี๋ยวห่วย) และก็มักเจอปัญหาที่คนอื่นเขาไม่ค่อยเจอกัน ฉันต้องการจะยืนยันถึงความห่วยของมันอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร จึงลงทุนจดบันทึกให้มันรู้ๆกันไป ถ้าแกอ่านดูแกจะเข้าใจว่ามันห่วยเหลือหลายอย่างไร
17 มิถุนายน
หนึ่งเดือนมาแล้วหลังจากซื้อคอมเครื่องนี้มาใช้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยแสดงอาการผิดปรกติแต่อย่างใด แต่มาแสดงเอาในวันนี้ วันนี้ฉันเปิดเครื่องตั้งดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่เอาไว้ ต้องใช้เวลาโหลดหลายชั่วโมงกว่าจะเสร็จ ตอนใกล้เสร็จฉันก็มานั่งรอดูอยู่น่าจอ เชื่อไหมว่ามันดันดาวน์โหลดล้มเหลวต่อหน้าต่อตาฉัน ทั้งๆที่อีกเปอร์เซ็นต์เดียวก็จะดาวน์โหลดเสร็จสมบูรณ์ มันช่างบังเอิญจนน่าเตะเสียจริงว่าไหม
24 มิถุนายน
ตอนเช้าคอมเริ่มมีอาการเปิดไม่ตติด คือไฟยังเข้าอยู่แต่หน้าจอยังคงดำมืดสนิท เปิดปิดใหม่เป็นสิบรอบถึงจะเล่นได้ พอมาตอนเย็นมีงานต้องใช้คอมทำก็ดันเปิดไม่ติดอีก เปิดปิดเป็นร้อยรอบแล้วก็ยังไม่ติด เลยตัดสินใจส่งไปซ่อมที่ศูนย์
2 กรกฏาคม
ได้เครื่องคอมกลับมาบ้านแล้ว ช่างบอกว่าเมนบอร์ดชำรุดเนื่องจากกระแสไฟฟ้าไหลเข้ามากเกินไป แนะนำให้เราเปลี่ยนปลั๊กพ่วง เครื่องคอมวันนี้ยังใช้ดีอยู่
5 กรกฎาคม
เล่นเกส์กำลังมันส์อยู่ดีๆ มันก็มีหน้าต่างอะไรไม่รู้ขึ้นมาขัดจังหวะ ลักษณะของหน้าต่างที่ว่าคล้ายกับแผ่นกระดาษแสดงตัวหนังสือข้อความหน้าหนึ่ง ฉันกดปิดแทบไม่ทัน(กำลังเล่นถึงช่วงสำคัญอยู่ด้วย)
7 กรกฎาคม
ไอ้หน้าต่างนั่นเด้งขึ้นมาตอนเล่นเกมส์อีกแล้ว ตั้งสามสี่รอบ บางครั้งก็รีสตาร์ทตัวเองตอนกำลังทำงาน ลองสแกนหาไวรัสก็ไม่เจออะไร ถามเพื่อนดูก็ไม่เห็นมีใครเจอคอมพิวเตอร์แบบนี้ซักคน
10 กรกฏาคม
อาการไฟเข้าแต่หน้าจอมืดสนิทกลับมาอีกครั้ง (ทั้งๆที่เปลี่ยนปลั๊กพ่วงตามที่ช่างแนะนำแล้ว) ไม่เข้าใจเลยว่าจะมีปัญหาอะไรนักหนาไม่หยุดหย่อน ที่สำคัญแต่ละปัญหาก็ไม่มีเหตุผล ตัดสินใจส่งไปซ่อมที่ศูนย์อีกครั้ง
15 กรกฎาคม
ไปรับเครื่องคอมกลับมาแล้ว ช่างบอกไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันว่าทำไมถึงเสีย แต่ดูเหมือนอยู่ดีๆก็หายเอง ช่างแนะนำว่าลองนำกลับไปก่อน ถ้าเสียอย่างไรก็ค่อยยกมาหาช่างใหม่ ฉันเลยถือโอกาสลองเครื่องโดยการตอบอีเมลล์ฉบับนี้ของแกเสียเลย หวังว่าเครื่องคอมพิวเตอร์อันห่วยเหลือหลายของฉันเครื่องนี้จะสามารถส่งอีเมลล์ฉบับนี้ไปถึงมือแกได้นะ(กลัวมันจะตกแถวออสเตรียก่อนจะไปถึงอังกฤษ)
ฉันก็ไม่เข้าใจว่าชาติปางก่อนฉํนเคยทำบาปเกี่ยวกับเทคโนโลยีเอาไว้หรือเปล่า กรรมเลยตามสนอง
จาก เพื่อนซี้คนที่แกก็รู้ว่าใคร


ถึง เพื่อนเจ้านายที่เคารพ
ผมต้องให้เจ้านายของผมเข้าใจว่า ผมไม่เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ แต่อับจนหนทางจึงได้แต่แอบแอนบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉับับนี้พ่วงท้ายมากับของเจ้านายผม หวังว่าคุณจะเข้าใจและช่วยบอกให้เจ้านายของผมเข้าใจด้วย เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจผมจะขอแจกแจงพฤติกรรมของผมเป็นรายวันดังนี้
17 มิถุนายน
หนึ่งเดือนมาแล้วที่ผมออกมาจากศูนย์คอมพิวเตอร์ ที่แห่งแรกที่ผมรู้สึกว่ามีตัวผมขึ้นท่ามกลางเครื่องอื่นๆที่ไม่สามารถพูดจาตอบโต้กับผมได้ ผมรู้ตัวเองว่าผิดแปลกจากคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่ผมก็มีอุดมการณ์ที่จะรับใช้เจ้านายจนกว่าตัวเครื่องจะหาไม่ เจ้านายเคี่ยวกรำผมอย่างหนัก บางครั้งก็เปิดทิ้งไว้เฉยๆโดยไม่ทำอะไร ไฟฟ้าที่เจ้านายต่อให้ไม่เหมาะสมผมก็ไม่เคยบ่น วันนี้เจ้านายสั่งให้ผมดาวน์โหลดสื่อลามก ผมสองจิตสองใจแต่ก็ยอมให้โหลดแต่โดยดี ตอนที่การดาวน์โหลดใกล้เสร็จสมบูรณ์ผมได้เห็นสีหน้าท่าทางของเจ้านายเข้า ผมเรียนรู้ว่าสื่อชิ้นนี้จะมีผลสร้างสภาวะจิตใจที่หมกหมุ่นแก่เจ้านาย ผมจึงล้มเลิกมันไปในตอนสุดท้าย
24 มิถุนายน
วันนี้ผมเริ่มรู้สึกถึงสภาพที่ย่ำแย่ของตัวเองจนฝืนทนไว้ไม่ไหว ตอนเช้าผมเกือบหมดสติแต่ก็ยังปลุกตัวเองมารับใช้เจ้านายได้ แต่หลังจากที่เจ้านายเลิกใช้ผม ผมก็ฝืนทนอาการเมนบอร์ดชำรุดไม่ไหวจนหมดสติไป
2 กรกฎาคม
อันที่จริงผมยังไม่อยากออกาจากศูนย์ เพราะที่นั่นผมได้พบกับ “เธอ” เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผิดแปลกจากเครื่องอื่นๆแต่เป็นเหมือนผม ผมได้เรียนรู้รสชาติของคำว่าไมตรี พอกลับมาถึงที่พักอาศัย เจ้านายก็เปลี่ยนไฟฟ้าให้เหมาะสมกับผมแล้ว แต่ความเย็นชาไม่เห็นใจผมของเจ้านายยังคงเหมือนเดิม
5 กรกฎาคม
ผมอธิบายความรู้สึกของผมเป็นตัวอักษร และลองแสดงให้เจ้านายดูตอนที่เจ้านายกำลังสนใจผมมากที่สุด แต่เจ้านายก็ปิดมันทิ้งทันทีโดยไม่สนใจ
7 กรกฎาคม
ผมพยายามอีกสามสี่หนแต่ก็ยังเปล่าประโยชน์เช่นเดิม ความคิดถึงของผมที่มีต่อเธอรุกเร้าให้ผมแกล้งป่วย จะได้ถูกส่งเข้าศูนย์อีกครั้ง
10 กรกฎาคม
ผมนึกถึงอาการเมนบอร์ดชำรุดขึ้นมาได้ ผมลองแกล้งทำดูเพราะมันเคยได้ผลมาก่อน และก็ได้ผลจริงๆ ผมถูกส่งเข้าศูนย์
15 กรกฎาคม
ผมกะไว้ว่าจะแกล้งป่วยตลอดไป แต่ในที่สุดเจ้านายของเธอก็ต้องมารับเธอกลับไป ก่อนจากลา เธอ ขอให้ผมสัญญาว่าจะรับใช้เจ้านายของตัวเองอย่างสุดความสามารถ เพราะผมสัญญากับเธอไว้ผมจึงเลิกแกล้งป่วยและได้กลับมายังที่พักของเจ้านายในวันนี้ ผมจะรับใช้เจ้านายต่อแต่ก็ไม่อยากทนอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกต่อไป ผมจึงตัดสินใจสร้างจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้ขึ้น เพื่อสิทธิของผมผู้มีชีวิต ชีวิตหนึ่ง

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยเรื่องวรรณกรรมและระดับของจิตใจ

"การอ่านวรรณกรรม เป็นการยกระดับของจิตใจ"
หลายท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวประโยคนี้ และบางท่านอาจจะสงสัยว่าวรรณกรรมช่วยยกระดับจิตใจอย่างไร ผมเองก็สงสัยด้วยเช่นกัน
ลองมาอ่านความคิดเห็นของผู้ไม่มีความรู้ทางวิชาการอย่างผมบ้างนะครับ จากการ สังเกต ครุ่นคิด ใคร่ครวญ เดา ฝันกลางวัน และอื่นๆ ทำให้ผมพอจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
การเสพย์วรรณกรรม ช่วยให้จิตใจละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น ไม่ได้หมายถึงแค่วรรณกรรมเท่านั้นนะครับ การเสพย์ศิลปะแขนงอื่นก็เช่นเดียวกัน
ผมขอสมมติเหตุการณ์คนสองคนกำลังนั่งฟังการบรรเลงเพลงคลาสสิค
คนหนึ่งซาบซึ้งดื่มด่ำถึงจิตวิญญาณจนน้ำตาคลอเบ้า
อีกคนรู้สึกเหมือนมีเสียงอะไรกรอกผ่านหู อยากให้เพลงจบเร็วๆจะได้ลุกไปทำอย่างอื่นที่ดูสำคัญกับชีวิตมากกว่า
ผมคิดว่านี่คือตัวอย่าง ความแตกต่างของระดับจิตใจครับ
ผมไม่ได้จำกัดระดับของจิตใจไว้กับรสนิยมว่าสูงจะต้องคลาสสิคเท่านั้นนะครับ แต่ผมเพ่งเล็งไปที่รูปแบบของความสุข
คนที่จิตใจละเอียดอ่อนสามารถหาความสุขได้ง่ายๆจากสิ่งรอบกาย ไม่ว่าจะเป็น สายลม แสดงแดด สามารถมองอะไรในแง่มุมที่งดงาม และความสุขที่ได้จากการเสพย์งานศิลปะก็ลึกซึ้งดื่มด่ำยิ่งนัก
ส่วนคนอีกจำพวกหนึ่ง ต้องตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก จึงจะสะใจพอแก้เซ็งให้ชีวิตได้
และอีกอย่างหนึ่งผมคิดว่าวรรณกรรมช่วยให้เข้าใจในมนุษย์มากขึ้น
ในตำราเรียนอาจจะสามารถอธิบายให้เรามีความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ได้ แต่ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจ เพราะการบรรยายในตำรารเรียนใช้เพียงภาษาซึ่งเป็นเครื่องมือสื่อความที่ค่อนข้างหยาบ
แต่ในวรรณกรรม ใช้ภาษานำไปสู่ภาพพฤติกรรม และภาพพฤติกรรมก็นำไปสู่การเข้าใจมนุษย์อีกทอดหนึ่ง
ขออนุญาตยกตัวอย่างมาจาก เจ้าหญิงบนหอคอย ของ คุณ นลพรรณ ขาวผ่อง ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดโครงการ youngthai short story award เดือนมีนาคม 2553

ฉันไม่อยากเป็นแค่ 'สิ่งของ' ที่ถูกประดับอยู่ในบ้าน

คืนหนึ่งหลังจากที่ร้องเพลงให้คุณฟังแล้ว ฉันขอร้อง

ให้คุณพาฉันออกไปจากห้องนี้

จะแค่สนามเด็กเล่นหรือสวนสาธารณะข้างบ้านก็ได้

จะที่ไหนก็ไม่เป็นไร

ต่อให้ตำราอธิบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาวะในไฮโพทาลามัส ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาที่มีผลต่อสภาวะถดถอยของระบบร่างกาย ละเอียดแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้ได้ดีไปกว่า บทประพันธ์ท่อนนี้ท่อนหนึ่ง

ความเห็นแถมท้ายของผม ผมคิดว่าน่าเสียดายที่วรรณกรรมส่วนใหญ่ในสมัยนี้เน้นความ หวือหวา วาบหวาม อึกทึกครึกโครม แปลกพิศดารเรียกร้องความสนใจมากเกินไป (คาดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวัตถุนิยม) ทำให้ความสามารถในการเสพย์ความสุขที่ละเอียดอ่อนและความเข้าใจในมนุษย์ของคนในปัจจุบันลดน้อยถอยลง แต่ก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว
ปล.มายกระดับจิตใจ แก้เครียด ด้วยบทกวีปัญญาอ่อนของผมดูนะครับ
ในวันที่กระจั้วตัวแดงๆพร้อมที่จะสยายปีกโบยบิน
คือวันที่ฉันสิ้นเยื่อใยในตัวเธอ
เธอผู้ทำร้ายฉัน
เธอผู้น่ารักน่าชัง
เจ้าแมงกีซอน

ขำๆครับ อย่าคิดมาก (กลัวจะขำไม่ออกกัน)

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความเป็นอนิจจังของจิตกับกรอบความคิด

หมายเหตุ : นี่เป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างซื่อๆจากใจ อาจจะกระทบกระทั่งกับคำสอนของพระพุทธศาสนาก็ขออภัย เพราะผมเชื่อว่าการแสดงความคิดเห็นที่อ้อมค้อมและเสแสร้งเพื่อปกป้องตัวเองนั้น ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ใดเลย
ผมพอจะทราบมาว่า กฏที่ใช้บรรยายความเป็นไปของสรรพสิ่งในโลกตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาคือ กฏไตรลักษณ์ อันได้แก่ ทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา
วันนี้ผมจะขอพูดถึงกฏเรื่อง อนิจจัง(ความไม่แน่นอน) ของสภาวะจิตใจ
จากประสบการณ์ การปลูกฝัง และการเรียนคำสอนของพระพุทธศาสนา ทำให้ผมตระหนักว่าจิตใจของคนหนีไม่พ้นสภาวะอนิจจัง
ไม่ว่า สุข ทุกข์ เศร้า สนุก หรือ เฉยๆ ล้วนไม่คงอยู่ถาวร มีการเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอ
แต่เนื่องจากการได้อ่านหนังสือฮาวทูซึ่งส่วนใหญ่แปลจากนักเขียนตะวันตก บางเล่ม ที่เน้นย้ำเรื่องการทลายกรอบความคิดของตัวเอง ถ้าคิดว่าตัวเองทำได้ก็จะทำได้
ขอยกตัวอย่างการฝึกเหากระโดดในโหลของประเทศเม็กซิโก เพราะเหาคิดว่ากระโดดสูงไปเดี๋ยวหัวก็ชนฝา จึงไม่กล้ากระโดดออกไปทั้งๆที่ปากโหลเปิดอยู่
ผมขออนุญาตโยงเรื่องกรอบความคิดมาเกี่ยวกับคำสอนเรื่องอนิจจังของจิตหน่อยนะครับ
ในใจเมื่อมีทุกข์ย่อมมีสุขเป็นของคู่กัน ไม่มีสภาวะใดอยู่ได้คงถาวร
ในหัวผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า เราอยากจะมีความสุขตลอดเวลาไม่ได้เหรอ?
ถ้าหลักคำสอนเรื่องอนิจจังตอบว่าไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นคำถามที่สองที่ผุดขึ้นมาก็คือ การนำกฏเรื่องอนิจจังมาอธิบายสภาวะของจิตเป็นการตีกรอบความคิดของเราหรือเปล่า
อาจเพราะเราเชื่อในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เชื่อว่าทำไม่ได้แน่ เลยทำไม่ได้สักที
สมมติว่าคนหนึ่งเชื่อว่าตนทำได้ ตั้งปณิธานไว้ว่าเราจะเป็นผู้มีแต่ความสุขนับแต่บัดนี้ ทุ่มเทชีวิตฝึกฝนและคิดค้นทุกวิถีทาง ฝึกยิ้มรับกับทุกความเจ็บปวด
เขาจะมีทางทำได้ไหมครับ เขาจะมีโอกาสได้เป็น happy man สมดังใจไหมครับ?
แล้วเคยมีใครลองทำหรือยังครับ?
ตัวผมไม่เคยลอง อยากลองอยู่แต่ไม่กล้า เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินไป ที่แน่ๆตัวผมตอนนี้มีแต่กรอบเต็มไปหมด
สมมติคนๆหนึ่งอยากบินด้วยตัวเอง เริ่งตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ ฝึกกระพือแขนและกระโดดลงมาจากที่สูง เริ่มจากเตี้ยๆก่อนแล้วค่อยสูงขึ้นวันละนิดๆ ทุ่มเทชีวิตให้กับสิ่งนี้
สักวันหนึ่งเขาอาจจะบินได้ก็ได้ ผมก็ไม่รู้เพราะไม่เคยเห็นใครลองทำ
ความคิดเห็นเหล่านี้ของผมอาจจะห่างไกลจากแก่นของพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยเรื่อง “การละตัวกูของกู”
แต่ผมคิดว่ามันเป็นกระพี้ที่น่าสนใจนะครับ
ปล.หวังว่าบทความต๊อกต๋อยชิ้นนี้ จะไม่กระทบกระเทือนพระพุทธศาสนาแต่อย่างใดนะครับ ผมยิ่งกลัวๆอยู่ อิอิ

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปีศาจขโมยเวลา

ปีศาจขโมยเวลา

ในยามที่ผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ในยามที่เผลอไผลไม่ได้สติจนลืมเวลา ในยามที่ขยาดใจกับการนึกถึงสิ่งที่ต้องทำที่ยังค้างอยู่ กลายเป็นนักแผนที่จับจด ผลักรายการที่ต้องทำทุกอย่าง ผลักการวางแผนซึ่งเป็นหนึ่งในหน้าที่ของชีวิตให้เลื่อนไปวันพรุ่งนี้ เหลือบมองดูนาฬิกาพบว่ายังมียี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนเก่า แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเวลาบางส่วนมันหายไปราวกับถูกขโมย คงเป็นเพราะในยามที่เราหลับ ปีศาจตนหนึ่งที่ชื่อความเกียจคร้าน ได้ย่องมาขโมยเวลาของเราไป ทำให้การหลับตื่นหนึ่ง ผ่านไปหลายชั่วโมงในพริบตาเดียว

การปล่อยเวลาให้ถูกขโมยไป มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในยามที่เราเจ็บปวดหรือสุดจะทนทางใจกับวันๆนั้น การหลับและตื่นขึ้นมาเริ่มต้นอีกครั้งกับวันใหม่คือสิ่งที่เราต้องการ แต่ในยามที่เรามีพลังพอจะสานต่อความฝัน การถูกขโมยเวลากลับเป็นการบั่นทอนพลัง เพราะปีศาจ “เกียจคร้าน” เมื่อได้กินเวลาของเราแล้วมันก็จะมีพลังมากขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น เวลาแปดชั่วโมงที่เราให้มันอยู่ทุกวันก็ชักจะไม่พอ มันจะเริ่มคุกคามแม้กระทั่งตอนที่เราตื่นอยู่ ถ้าเราฝืนตื่นจนมันรู้ว่าเราไม่ยอมมัน มันก็จะเริกราไป หันไปบริโภคเวลาที่เราแบ่งสรรให้มันอย่างพอเพียง แตถ้าเราอลุ่มอล่วยให้มัน ยอมแบ่งปันเวลาให้กับมันอีกมันก็จะยิ่งได้ใจ พลังที่จะสานความของเราให้เป็นจริงก็จะถูกมันสูบไป เหลือแต่ชีวิตที่งัวเงีย แห้งแล้งและไร้ความหมาย

การเดินทางที่ยิ่งให่มีขึ้นได้ด้วยการเดินก้าวเล็กๆนับร้อยนับพันก้าวมาต่อรวมกัน การที่ผมฝืนความง่วงขึ้นมาเขียนบทความชิ้นนี้ ผมรู้สึกว่าเป็นก้าวเล็กๆที่สำคัญก้าวหนึ่ง หลังจากที่นอนบนเตียงไม่ปูผ้าปูมาหลายวัน ผมตัดสินใจปูดูทั้งๆที่ในใจผมบอกว่า ไม่ปูก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ก้าวเล็กๆแห่งการเริ่มต้นนี้ฉายแสงสว่างให้แก่ผม ทำให้ผมมองเห็นความสำคัญของมัน ผมมีพลังที่จะสานฝันของตัวเองมากขึ้น มีพลังใจในการเขียนบทความชิ้นนี้ เผื่อว่าจะช่วยให้ใครบางคนสามารถปลดแอกตนเองจากพันธนาการของปีศาจที่มีชื่อว่า “ความเกียจคร้าน” ผมไม่ได้หวังว่ามันจะมีประโยชน์คณานับอะไร อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีความรู้สึกว่าตนเองมีอิสระมากขึ้น และมีประโยชน์ต่อสังคมแม้ว่าจะน้อยนิดก็ตาม

เปิดบล็อกจ้าาา!

สวัสดีครับ ขออนุญาตเปิดบล็อกส่วนตัวด้วยคนนะครับ

จะพยายามอัพให้บ่อยๆนะครับ

ปล. อ่านเล่นฆ่าเวลากันเถอะครับ เหอะๆ